เรามักเห็นข่าวเด็กไทยคว้ารางวัลการแข่งขันคณิตศาสตร์และโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลกกันบ่อยๆ แสดงว่ากลุ่มเด็กหัวกะทิของไทยก็อยู่ในระดับแนวหน้าของโลกเช่นกัน
เมื่อดูการเตรียมสอบเข้ามหาลัยของประเทศอื่นๆ เช่น
จีน: เด็กนักเรียนหลายคนเตรียมสอบ "เกาเช่า" (Gaokao) ตั้งแต่ ม.ต้น เรียนตั้งแต่เช้าถึงเย็น แล้วยังต้องอ่านหนังสือหรือเรียนพิเศษต่อถึงดึกดื่น บางคนเรียนวันละ 14-15 ชั่วโมง มีการเข้าค่ายติวเข้ม และบางคนสอบไม่ผ่านก็อ่านหนังสือเตรียมสอบใหม่ในปีถัดไป (20-30% ของผู้เข้าสอบเป็นผู้สอบซ้ำ)
เกาหลีใต้: การสอบ ซูนึง (Suneung) ถือว่ายากอันดับต้นๆ ของโลก เด็กเกาหลีหลายคนใช้เวลาเรียนและเตรียมตัววันละ 16 ชั่วโมง บางคนเริ่มตั้งแต่ประถม พอกวดวิชาเสร็จ ก็ไปอ่านหนังสือต่อตามห้องสมุด กลับบ้านหลังเที่ยงคืน ในวันสอบ ร้านค้า ธนาคาร และสถานที่ต่าง ๆ หยุดทำการเพื่อให้เด็กมีสมาธิในการสอบ
ญี่ปุ่น: เด็กญี่ปุ่นทุ่มเทกับการเรียนพิเศษและทบทวนบทเรียนอย่างหนักเพื่อเตรียมสอบ Common Test (เดิมคือ Center Test) นักเรียนม.ปลายโดยเฉลี่ย ทบทวนหลังเลิกเรียน 2-4 ชั่วโมงต่อวัน และเพิ่มเป็น 5-10 ชั่วโมงในวันหยุด คนที่สอบไม่ผ่านหลายคนเลือกที่จะสอบใหม่ในปีถัดไป
สิงคโปร์: เด็กสิงคโปร์เรียนหนักตั้งแต่ประถมเพื่อเตรียมสอบ PSLE สำหรับเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา ใช้เวลาเรียนและติวอย่างหนักจนดึกดื่น กินข้าวเสร็จยังทบทวนฝึกทำข้อสอบต่อจนถึง 4-5 ทุ่ม
อัตราการรับเข้าเรียน (acceptance rates) ของ ม.ชิงหวา/ม.ปักกิ่ง(จีน) = <2% ม. NUS(สิงคโปร์) ประมาณ 5-10%, ม.ในกลุ่ม SKY(เกาหลี) = 8-20%, ม.โตเกียว = ประมาณ 32-36% ม.จุฬา = ประมาณ 45%
แล้วเด็กไทยล่ะ เรียนหนักมั้ย?
หลายโรงเรียนมีการเรียนการสอนที่เข้มข้นและบ้าระห่ำไม่แพ้กัน พ่อแม่หลายคนตกใจกับปริมาณเนื้อหาที่ลูกต้องเรียนว่าทำไมเนื้อหามันมากมายก่ายกองขนาดนี้ บางวิชาพ่อแม่เรียนตอนม.ปลาย แต่เด็กยุคนี้ต้องเรียนตั้งแต่ประถม เรียกได้ว่าเด็กไทยสมัยนี้รู้เยอะกว่ารุ่นพ่อแม่หลายสิบหลายร้อยเท่า นอกจากนี้ เด็กหลายคนยังต้องฝึกกีฬาหรือทำกิจกรรมอื่นๆ จึงต้องรับมือกับความเครียดไม่ใช่น้อย เห็นแล้วอดทึ่งกับความสามารถและความพยายามของเด็กไทยยุคนี้ไม่ได้ครับ ความเข้มข้นของการเรียน ถือว่าอยู่อันดับต้นๆ ของเอเชียเลยมั้ยครับ?
เด็กไทยเรียนหนักไหมครับ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย?
เมื่อดูการเตรียมสอบเข้ามหาลัยของประเทศอื่นๆ เช่น
จีน: เด็กนักเรียนหลายคนเตรียมสอบ "เกาเช่า" (Gaokao) ตั้งแต่ ม.ต้น เรียนตั้งแต่เช้าถึงเย็น แล้วยังต้องอ่านหนังสือหรือเรียนพิเศษต่อถึงดึกดื่น บางคนเรียนวันละ 14-15 ชั่วโมง มีการเข้าค่ายติวเข้ม และบางคนสอบไม่ผ่านก็อ่านหนังสือเตรียมสอบใหม่ในปีถัดไป (20-30% ของผู้เข้าสอบเป็นผู้สอบซ้ำ)
เกาหลีใต้: การสอบ ซูนึง (Suneung) ถือว่ายากอันดับต้นๆ ของโลก เด็กเกาหลีหลายคนใช้เวลาเรียนและเตรียมตัววันละ 16 ชั่วโมง บางคนเริ่มตั้งแต่ประถม พอกวดวิชาเสร็จ ก็ไปอ่านหนังสือต่อตามห้องสมุด กลับบ้านหลังเที่ยงคืน ในวันสอบ ร้านค้า ธนาคาร และสถานที่ต่าง ๆ หยุดทำการเพื่อให้เด็กมีสมาธิในการสอบ
ญี่ปุ่น: เด็กญี่ปุ่นทุ่มเทกับการเรียนพิเศษและทบทวนบทเรียนอย่างหนักเพื่อเตรียมสอบ Common Test (เดิมคือ Center Test) นักเรียนม.ปลายโดยเฉลี่ย ทบทวนหลังเลิกเรียน 2-4 ชั่วโมงต่อวัน และเพิ่มเป็น 5-10 ชั่วโมงในวันหยุด คนที่สอบไม่ผ่านหลายคนเลือกที่จะสอบใหม่ในปีถัดไป
สิงคโปร์: เด็กสิงคโปร์เรียนหนักตั้งแต่ประถมเพื่อเตรียมสอบ PSLE สำหรับเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา ใช้เวลาเรียนและติวอย่างหนักจนดึกดื่น กินข้าวเสร็จยังทบทวนฝึกทำข้อสอบต่อจนถึง 4-5 ทุ่ม
อัตราการรับเข้าเรียน (acceptance rates) ของ ม.ชิงหวา/ม.ปักกิ่ง(จีน) = <2% ม. NUS(สิงคโปร์) ประมาณ 5-10%, ม.ในกลุ่ม SKY(เกาหลี) = 8-20%, ม.โตเกียว = ประมาณ 32-36% ม.จุฬา = ประมาณ 45%
แล้วเด็กไทยล่ะ เรียนหนักมั้ย?
หลายโรงเรียนมีการเรียนการสอนที่เข้มข้นและบ้าระห่ำไม่แพ้กัน พ่อแม่หลายคนตกใจกับปริมาณเนื้อหาที่ลูกต้องเรียนว่าทำไมเนื้อหามันมากมายก่ายกองขนาดนี้ บางวิชาพ่อแม่เรียนตอนม.ปลาย แต่เด็กยุคนี้ต้องเรียนตั้งแต่ประถม เรียกได้ว่าเด็กไทยสมัยนี้รู้เยอะกว่ารุ่นพ่อแม่หลายสิบหลายร้อยเท่า นอกจากนี้ เด็กหลายคนยังต้องฝึกกีฬาหรือทำกิจกรรมอื่นๆ จึงต้องรับมือกับความเครียดไม่ใช่น้อย เห็นแล้วอดทึ่งกับความสามารถและความพยายามของเด็กไทยยุคนี้ไม่ได้ครับ ความเข้มข้นของการเรียน ถือว่าอยู่อันดับต้นๆ ของเอเชียเลยมั้ยครับ?