สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เป็นไปไม่ได้ครับ ตราบใดที่ยังมีคนที่มองอาชีพนักร้อง ศิลปินเป็นพวกเต้นกินรำกิน ไร้อนาคต เพราะอะไรรู้มั้ยครับ เพราะยังไม่มีคนที่ให้คุณค่าในงานศิลปะ และผู้สร้างนั่นก็คือศิลปินมากพอที่จะสามารถยึดมาเป็นอาชีพหลักมีความมั่นคง และสามารถสร้างงานศิลปะอันทรงคุณค่ามาเพื่อจรรโลงโลก จรรโลงสังคมได้
แต่ทุกวันนี้ มากกว่า 80% ของประเทศมีแต่คนหาเช้ากินค่ำ คือในเมื่อท้องไม่อิ่ม นอนไม่เต็มอิ่ม ปัจจัยยังไม่เอื้ออำนวยมันจะมีอารมณ์มาเสพงบานเสพงานศิลป์ได้อย่างลึกซึ้งได้อย่างไรกัน ดังนั้นก็อย่างที่เห็นว่าเพลง ดนตรี ละคร หนัง บ้านเรามันถึงได้ออกมาคุณภาพเทียบต่างประเทศไม่ได้ เพลงก็มีแต่ความรัก อกหัก แอบรัก โดนทิ้งแบบนี้วนๆไปซ้ำๆซากๆ ละครก็มีแค่ตบตีแย่งผัวชิงเมีย หนังก็มีแค่หนังตลกโปกฮาเล่นมุกทะลึ่งปัญญาอ่อนไปวันๆหาสาระไม่ได้
เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะถ้าออกงานดีๆมามันก็เข้าไม่ถึงคนส่วนใหญ่ที่มีสกิลในการเสพงานศิลป์เพียงน้อยนิด แล้วพอมันเข้าไม่ถึงคนส่วนใหญ่ ทีนี้จะเป็นไงต่อล่ะครับ มันก็ขายไม่ได้ แล้วพอมันขายไม่ได้มันก็ขาดทุน ก็เจ๊งสิครับ คือในมุมมองคนทำเขาก็พร้อมเสมอแหละที่จะแสดงฝีมือสร้างงานดีๆออกมาขับเคลื่อนวงการ แต่อยู่ที่คนดูเท่านั้นแหละที่จะพร้อมเปิดรับหรือไม่ คือวงการมันจะขับเคลื่อนไปได้มันก็ก็ต้องพึ่งรายได้ไม่ใช่แค่อุดมการณ์ฝันหวานลมๆแล้งๆ ดังนั้นคนทำเขาก็เลยเลือกทำให้มันง่ายๆโง่ๆจะได้เข้าถึงผู้คนส่วนใหญ่ที่มีสกิลในการเสพงานศิลป์เพียงน้อยนิด เพื่อความอยู่รอด
เปรียบง่ายๆนะครับเหมือนคุณเปิดร้านขายชาเขียวแท้ๆต้นตำหรับ แต่ต้องแพ้ให้กับโออิชิตันหรืออิชิตันเพราะรสชาติที่อร่อยถูกปากกว่า แต่ถ้าคุณลองย้ายร้านคุณไปเปิดในเมืองที่มีคนเห็นคุณค่าชาเขียวแท้ๆ ผลมันจะตรงกันข้าม เพราะลูกค้าเหล่านั้นเขารู้ว่าชาเขียวโออิชิตันหรืออิชิตันมันอร่อยก็จริงแต่มันไม่ได้มีประโยชน์ หรือคุณค่าทางโภชนาการเลย มีก็แค่น้ำตาลกับสารสังเคราะห์ที่ให้โทษต่อสุขภาพมากกว่า
คืองานมีคุณภาพแต่ถ้ามันไม่มีใครเห็นคุรค่ามันก็เท่านั้นครับ
แต่ทุกวันนี้ มากกว่า 80% ของประเทศมีแต่คนหาเช้ากินค่ำ คือในเมื่อท้องไม่อิ่ม นอนไม่เต็มอิ่ม ปัจจัยยังไม่เอื้ออำนวยมันจะมีอารมณ์มาเสพงบานเสพงานศิลป์ได้อย่างลึกซึ้งได้อย่างไรกัน ดังนั้นก็อย่างที่เห็นว่าเพลง ดนตรี ละคร หนัง บ้านเรามันถึงได้ออกมาคุณภาพเทียบต่างประเทศไม่ได้ เพลงก็มีแต่ความรัก อกหัก แอบรัก โดนทิ้งแบบนี้วนๆไปซ้ำๆซากๆ ละครก็มีแค่ตบตีแย่งผัวชิงเมีย หนังก็มีแค่หนังตลกโปกฮาเล่นมุกทะลึ่งปัญญาอ่อนไปวันๆหาสาระไม่ได้
เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะถ้าออกงานดีๆมามันก็เข้าไม่ถึงคนส่วนใหญ่ที่มีสกิลในการเสพงานศิลป์เพียงน้อยนิด แล้วพอมันเข้าไม่ถึงคนส่วนใหญ่ ทีนี้จะเป็นไงต่อล่ะครับ มันก็ขายไม่ได้ แล้วพอมันขายไม่ได้มันก็ขาดทุน ก็เจ๊งสิครับ คือในมุมมองคนทำเขาก็พร้อมเสมอแหละที่จะแสดงฝีมือสร้างงานดีๆออกมาขับเคลื่อนวงการ แต่อยู่ที่คนดูเท่านั้นแหละที่จะพร้อมเปิดรับหรือไม่ คือวงการมันจะขับเคลื่อนไปได้มันก็ก็ต้องพึ่งรายได้ไม่ใช่แค่อุดมการณ์ฝันหวานลมๆแล้งๆ ดังนั้นคนทำเขาก็เลยเลือกทำให้มันง่ายๆโง่ๆจะได้เข้าถึงผู้คนส่วนใหญ่ที่มีสกิลในการเสพงานศิลป์เพียงน้อยนิด เพื่อความอยู่รอด
เปรียบง่ายๆนะครับเหมือนคุณเปิดร้านขายชาเขียวแท้ๆต้นตำหรับ แต่ต้องแพ้ให้กับโออิชิตันหรืออิชิตันเพราะรสชาติที่อร่อยถูกปากกว่า แต่ถ้าคุณลองย้ายร้านคุณไปเปิดในเมืองที่มีคนเห็นคุณค่าชาเขียวแท้ๆ ผลมันจะตรงกันข้าม เพราะลูกค้าเหล่านั้นเขารู้ว่าชาเขียวโออิชิตันหรืออิชิตันมันอร่อยก็จริงแต่มันไม่ได้มีประโยชน์ หรือคุณค่าทางโภชนาการเลย มีก็แค่น้ำตาลกับสารสังเคราะห์ที่ให้โทษต่อสุขภาพมากกว่า
คืองานมีคุณภาพแต่ถ้ามันไม่มีใครเห็นคุรค่ามันก็เท่านั้นครับ
แสดงความคิดเห็น
อุตสาหกรรมบันเทิงไทยจะไปไกลได้แค่ไหน?