สวัสดีค่ะ กระทู้นี้อยากฝากถามถึงพี่ๆ HR และพี่ๆ ที่กำลังทำงาน รวมไปถึงผู้ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะเดียวกันนะคะ (ซึ่งอาจจะยาวอยู่พอสมควรค่ะ

)
หนูสำเร็จการศึกษามาได้ 3 เดือนแล้วค่ะ จบเกียรตินิยมอันดับ 1 เกรดเฉลี่ย 3.81 ของมหาวิทยาลัยของรัฐ (ต่างจังหวัด) ตอนจบใหม่ๆ ก็ได้ลองหางานในเว็บ Jobtopgun ลองหางานที่เหมาะสมไปเรื่อยๆ ตอนนั้น Location ที่เลือกคือ กทม. ค่ะ และได้กดสมัครพร้อมส่งเอกสารเพิ่มเติมอย่าง resume และ transcript ไปประมาณ 5 บริษัท วันถัดมาก็มีพี่ HR จากบริษัทแห่งหนึ่งโทรนัดให้ไปสัมภาษณ์งานในวันจันทร์ (HR โทรมาวันเสาร์ค่ะ) ก็ตกใจนะคะมันค่อนข้างกระชั้นชิด อีกอย่างคือระยะทางไกลมากพอสมควร (จขกท.อยู่ภาคเหนือสุดค่ะ) พี่เค้าก็ถามว่าสะดวกมาไหม จึงบอกกับพี่ HR ไปว่าขอคิดดูก่อนเดี๋ยวจะแจ้งให้ทราบ หนูได้ปรึกษาพี่ๆ ที่รู้จักและปรึกษาพ่อกับแม่ว่าควรไปดีไหม หลายคนบอกว่ามันคือโอกาส บวกกับที่หนูเองก็คิดว่าลองไปหาประสบการณ์ที่อื่นบ้างก็ดีเหมือนกัน เลยตัดสินใจไปสัมภาษณ์งานที่กทม.ค่ะ สุดท้ายไม่ผ่าน เนื่องจากหนูยังขาดคุณสมบัติบางอย่างเช่น การใช้โปรแกรม Microsoft Excel ในการคำควณหาสูตรต่างๆ ซึ่งยอมรับว่าอ่อนตรงจุดนี้ เพราะไม่ค่อยได้ใช้โปรแกรมนี้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเรื่อง Microsoft word สู้ตายค่ะ เพราะคลุกคลีกับการทำวิจัยมามาก อีกเหตุผลหนึ่งที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ก็คือ ภาษาอังกฤษยังไม่คล่อง ซึ่งตำแหน่งงานดังกล่าวภาษาอังกฤษสำคัญมากค่ะ แต่ก็ไม่ค่อยเสียใจมากเท่าไหร่ เพราะทางบริษัทต้องหาบุคคลากรที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการเพื่อเข้ามาทำงานให้อยู่แล้ว ถึงแม้ผู้สัมภาษณ์จะใช้คำพูดที่ค่อนข้างแรง แต่ก็คิดว่าคำเหล่านั้นเป็นการบอกจุดบกพร่องที่เราจะต้องนำกลับไปพัฒนา คิดอีกมุมคือคำดูถูกคือแรงผลักดัน ซึ่งหนูได้ยิ้มรับกับข้อตำหนิดังกล่าว ก็ดีนะคะที่อย่างน้อยทางบริษัทได้เปิดโอกาสให้เราได้มาแสดงศักยภาพ เชื่อว่าทางบริษัทได้คัดกรองบุคคลที่จะให้มาสัมภาษณ์แล้ว ซึ่งก็เป็นกระบวนการการแข่งขันที่ยุติธรรมดีค่ะ
หลังกลับจาก กทม. หนูได้ใช้เวลา 1 เดือนกว่าๆ ในการอ่านหนังสือเตรียมสอบข้าราชการ ช่วงนั้นไม่ได้หางานที่ไหนเลย เพราะตั้งใจจะอ่านหนังสืออย่างเดียว หลังสอบเสร็จจึงได้เริ่มหางานอีกครั้ง ครั้งนี้หาแถวจังหวัดที่ใกล้เคียงค่ะ เพราะแถวบ้านงานน้อยมาก สมัครไว้หลายที่แต่ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับ ล่าสุดนี้ได้ชวนเพื่อนอีกคนสมัครงานด้วยกันค่ะ คือทำการสมัครทาง E-mail นะคะ หนูส่งเอกสารการสมัครในช่วงเช้า แต่เพื่อนส่งช่วงเย็นค่ะ และในวันถัดมาของช่วงเย็นเพื่อนบอกว่าได้รับโทรศัพท์จากทางบริษัทให้ไปสัมภาษณ์งาน แต่หนูไม่ได้รับการติดต่อมากลับเหมือนเพื่อน คือตอนแรกคิดว่าเราอาจจะมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานพร้อมกัน เพราะเค้ารับ 2 อัตราในตำแหน่งดังกล่าว แต่สุดท้าย จขกท. ไม่ได้ถูกคัดเลือกให้ไปสัมภาษณ์ค่ะ
ก็เกิดอาการนอยด์บ้างพอสมควร และไม่เข้าใจว่าฝ่ายบุคคลมีเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคคลให้มาสัมภาษณ์งานอย่างไร นี่คือเหตุผลที่หนูข้องใจและสงสัย จึงเป็นที่มาของหัวข้อกระทู้วันนี้ค่ะ ....
ร่ายมาซะยาวขอระบายและพูดถึงสาเหตุที่เกิดความมึนงงไม่เข้าใจมาตรฐานกันเลยนะคะ 555 คือว่าหากจะพิจารณารูปแบบของการขอสมัครงานทาง E-mail แล้ว รูปแบบ การใช้ภาษา และรีซูเม ของเจ้าของกระทู้ดีกว่าของเพื่อนมากนะคะ อันนี้ไม่ได้อวยตัวเองหรือว่าอิจฉาเพื่อน แต่มันทำให้ฉุดคิดค่ะว่ามาตรฐานของบ.เป็นอย่างไร
มาดูความแตกต่างกันนะคะ จขกท. ได้เขียนเมลสมัครงาน โดยมีการเกริ่นแนะนำตัว บอกวัตถุประสงค์ แล้วก็แนบไฟล์เอกสารสำคัญค่ะ ซึ่งในไฟล์จะมี
1. จดหมายสมัครงาน ที่จขกท. คิดว่าเรียบร้อย กระชับ มีระเบียบและถูกต้อง
2. Resume ที่คิดว่าค่อนข้างโอเค (อันนี้ไม่ได้หลงตัวเองนะเคอะ อิอิ) ไม่ใช่รีซูเมแบบจำเจเหมือนที่หาดูตัวอย่างได้จากอินเตอร์เน็ต ซึ่งจขกท. ได้บอกทักษะและคุณสมบัติที่ค่อนข้างมาก แต่กระชับ มีทั้งผลงานทางวิชาการ รางวัล กิจกรรมที่เคยทำ ที่สำคัญคือประสบการณ์ในการฝึกงานที่ค่อนข้างตรงกับตำแหน่งที่สมัคร และบอกรายละเอียดหน้าที่ที่ได้ทำ เรียกได้ว่าค่อนข้างโอเค ดูมีระบบที่ดี มีการออกแบบดีไซน์ที่เรียบหรูสวยงาม แต่ไม่ดูเวอร์ คิดว่าใครๆ ก็ต้องสะดุดตา (ต้องมีคนเบะปากมองบนอยู่แน่ๆ 5555)
3. ใบรับรองคุณวุฒิ และ Transcript ยอมรับนะคะว่าเกรดสวย 3.81 ค่ะ
มาดูฝั่งของคุณเพื่อนนะคะ (จบจากสถาบัน และสาขาเดียวกันค่ะ)อาจจะสงสัยว่าจขกท. ไปทราบข้อมูลที่ใช้ในการสมัครของเพื่อนได้ไง ก็คือว่าเพื่อนได้ส่ง resume และ transcript มาให้ช่วยแปลงไฟล์และจัดให้อยู่ไฟล์เดียวกันค่ะ
1. ไม่มีจดหมายการขอสมัครงาน
2. Resume ไม่น่าสนใจ คือเหมือนรีซูเม่ทั่วๆไป บอกทักษะแบบทั่วๆไป ไม่มีผลงานและรางวัล ไม่บอกรายละเอียดของการฝึกงาน แต่มีประสบการณ์ในการทำงาน Part time เป็นพนักงานเสิร์ฟ (ซึ่งคิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายงานที่จะทำ แต่หาก HR จะพิจารณาตรงจุดนี้ก็สุดแล้วแต่ อิอิ)
3. เกรดเฉลี่ย 2.65
อันนี้คือความแตกต่างนะคะ ออลืมไป รูปของจขกท. ที่ใช้ติดใน resume ก็ไม่ได้ขี้เหร่นะคะ อยู่ในเกณฑ์ที่น่ารัก (เผื่อว่าคัดคนจากหน้าตา อิอิ)
มันจึงเกิดคำถามมากมายในหัวเลยค่ะ เพราะนี่เป็นแค่ด่านแรก เค้าจะรู้จักเราได้โดยการอ่าน resume ที่เราได้ present ตัวเอง ซึ่งคุณสมบัติและทักษะของเราก็มีมากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ แต่เรากลับเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกให้ไปสัมภาษณ์ คือทุกๆครั้งที่จขกท. จะสมัครงาน หรือว่าทำงานส่งอาจารย์ เราก็จะจัดรูปแบบของรายงาน ใบงานที่เรียบร้อย คือป้อนข้อมูลที่ดีที่สุด ตั้งใจทำ ไม่ใช่ทำแบบลวกๆ โดยไม่ศึกษาหลักวิธีการ ซึ่งในการสมัครงาน เราก็ได้แสดงศักยภาพตรงนี้ลงไปในเอกสาร ว่าเราเป็นคนที่มีระบบระเบียบ และมีหลักการพอสมควรอยู่นะ เพื่อที่จะได้รับโอกาสในการสัมภาษณ์ และเคยคิดมาตลอดว่าถ้า Profile ดี โอกาสก็น่าจะมีเยอะกว่า
แต่ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ HR คัดกรองคนอย่างไร คัดจากคนธรรมดาๆ ความสามารถปานกลางหรือเปล่า จขกท.ก็สับสน งงงวย ได้แต่ถามหาข้อบกพร่องของตัวเองค่ะช่วงนั้น ว่าฉ้านนไม่ดีตรงหนายยย ฮือๆๆ และเป็นคนที่ต้องการหาคำตอบให้ได้จึงได้ไป Search ข้อมูลมา ซึ่งหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกันกับเรา คือจบเกียรตินิยมแล้วหางานยาก บางคนยากกว่าและน่าสงสารกว่า จขกท. อีก เพราะเก่งกว่าเยอะมาก แต่โลกนี้มันช่างวกวน วุ่นวาย และอยุติธรรมสำหรับคนที่ตั้งใจเนาะ แต่ก็อาจจะมีบางเหตุผลที่เรายังไม่เข้าใจ และก็มีหลายๆ คนมาให้เหตุผล ดังนี้
1. บริษัทบางที่ไม่รับเด็กเกียรตินิยม เพราะคิดว่าเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างหัวแข็ง Ego สูง ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ควบคุมยาก
2. คิดว่าคนเหล่านี้คงทำงานให้บริษัทได้ไม่นาน
3. นายจ้างหรือหัวหน้าบางคนไม่ชอบใครที่เก่งกว่า Profile ดีกว่า ก็คือไม่อยากให้ใครเด่นกว่า เลยตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เด็กที่เรียนรู้งานเร็วอาจก้าวข้ามตำแหน่งที่ดีกว่าตนเป็นได้ (แบบนี้น่ากลัว😂)
4. เด็กบางคนมี Over qualified ที่เกินว่าคุณสมบัติที่บริษัทตั้งไว้กับตำแหน่งดังกล่าว หากรับมาก็เกรงว่าเด็กจะเรียกเงินเดือนที่สูงเกินไป เขาเลยเลือกคนที่มีคุณสมบัติกลาง ๆ
จริงๆ แล้วจขกท. เองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายนะคะ เรียกได้ว่าธรรมดามากๆ แต่เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรให้เต็มที่ ทำให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ก็คือมีความทุ่มเทมากๆ แต่หลายคนมองว่าเราเก่ง ซึ่งตัวเองคิดว่ามีคนที่เก่งกว่าเราเยอะมากๆ บางทีก็คิดนะว่าเกรดเฉลี่ยและเกียรตินิยมที่เราได้นั้น มันเป็นตัวกดดันชีวิตตัวเองหรือเปล่า เพราะสมัครงานไว้หลายที่ แต่เค้าไม่ได้มองจากความสามารถของเราเลย และไม่มีโอกาสแม้กระทั่งการไปสัมภาษณ์งาน แต่ก็ยังเชื่อว่าต้องมีสักที่ที่ดูเราจากความสามารถ และให้โอกาสเราไปเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาองค์กร
จากเหตุการดังกล่าวคิดว่าถ้ามีโอกาสไปสัมภาษณ์น่าจะดีกว่านี้ ถ้าหากสัมภาษณ์แล้วเค้าไม่ได้ต้องการบุคลิกแบบเรา อันนี้ก็พอเข้าใจว่าเรายังไม่ใช่
HR ท่านไหน หรือเพื่อนๆพี่ๆ มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ แสดงความคิดเห็นได้นะคะ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ🙏🙏
ปล. อาจจะยาวหน่อยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ได้อ่านความอึดอัด ที่บ่นๆ อยู่จนจบ บางคนอาจจะมองว่าคิดมากไปรึเปล่า บอกเลยว่าระดับนึง 55555 แต่ก็ต้องสู้ต่อไป #เดินหน้าประเทศไทย 😊😊😁🙏🙏
เด็กที่จบเกียรตินิยมส่วนมากอยู่ในสายตาของ HR กี่เปอร์เซ็น
หนูสำเร็จการศึกษามาได้ 3 เดือนแล้วค่ะ จบเกียรตินิยมอันดับ 1 เกรดเฉลี่ย 3.81 ของมหาวิทยาลัยของรัฐ (ต่างจังหวัด) ตอนจบใหม่ๆ ก็ได้ลองหางานในเว็บ Jobtopgun ลองหางานที่เหมาะสมไปเรื่อยๆ ตอนนั้น Location ที่เลือกคือ กทม. ค่ะ และได้กดสมัครพร้อมส่งเอกสารเพิ่มเติมอย่าง resume และ transcript ไปประมาณ 5 บริษัท วันถัดมาก็มีพี่ HR จากบริษัทแห่งหนึ่งโทรนัดให้ไปสัมภาษณ์งานในวันจันทร์ (HR โทรมาวันเสาร์ค่ะ) ก็ตกใจนะคะมันค่อนข้างกระชั้นชิด อีกอย่างคือระยะทางไกลมากพอสมควร (จขกท.อยู่ภาคเหนือสุดค่ะ) พี่เค้าก็ถามว่าสะดวกมาไหม จึงบอกกับพี่ HR ไปว่าขอคิดดูก่อนเดี๋ยวจะแจ้งให้ทราบ หนูได้ปรึกษาพี่ๆ ที่รู้จักและปรึกษาพ่อกับแม่ว่าควรไปดีไหม หลายคนบอกว่ามันคือโอกาส บวกกับที่หนูเองก็คิดว่าลองไปหาประสบการณ์ที่อื่นบ้างก็ดีเหมือนกัน เลยตัดสินใจไปสัมภาษณ์งานที่กทม.ค่ะ สุดท้ายไม่ผ่าน เนื่องจากหนูยังขาดคุณสมบัติบางอย่างเช่น การใช้โปรแกรม Microsoft Excel ในการคำควณหาสูตรต่างๆ ซึ่งยอมรับว่าอ่อนตรงจุดนี้ เพราะไม่ค่อยได้ใช้โปรแกรมนี้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเรื่อง Microsoft word สู้ตายค่ะ เพราะคลุกคลีกับการทำวิจัยมามาก อีกเหตุผลหนึ่งที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ก็คือ ภาษาอังกฤษยังไม่คล่อง ซึ่งตำแหน่งงานดังกล่าวภาษาอังกฤษสำคัญมากค่ะ แต่ก็ไม่ค่อยเสียใจมากเท่าไหร่ เพราะทางบริษัทต้องหาบุคคลากรที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการเพื่อเข้ามาทำงานให้อยู่แล้ว ถึงแม้ผู้สัมภาษณ์จะใช้คำพูดที่ค่อนข้างแรง แต่ก็คิดว่าคำเหล่านั้นเป็นการบอกจุดบกพร่องที่เราจะต้องนำกลับไปพัฒนา คิดอีกมุมคือคำดูถูกคือแรงผลักดัน ซึ่งหนูได้ยิ้มรับกับข้อตำหนิดังกล่าว ก็ดีนะคะที่อย่างน้อยทางบริษัทได้เปิดโอกาสให้เราได้มาแสดงศักยภาพ เชื่อว่าทางบริษัทได้คัดกรองบุคคลที่จะให้มาสัมภาษณ์แล้ว ซึ่งก็เป็นกระบวนการการแข่งขันที่ยุติธรรมดีค่ะ
หลังกลับจาก กทม. หนูได้ใช้เวลา 1 เดือนกว่าๆ ในการอ่านหนังสือเตรียมสอบข้าราชการ ช่วงนั้นไม่ได้หางานที่ไหนเลย เพราะตั้งใจจะอ่านหนังสืออย่างเดียว หลังสอบเสร็จจึงได้เริ่มหางานอีกครั้ง ครั้งนี้หาแถวจังหวัดที่ใกล้เคียงค่ะ เพราะแถวบ้านงานน้อยมาก สมัครไว้หลายที่แต่ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับ ล่าสุดนี้ได้ชวนเพื่อนอีกคนสมัครงานด้วยกันค่ะ คือทำการสมัครทาง E-mail นะคะ หนูส่งเอกสารการสมัครในช่วงเช้า แต่เพื่อนส่งช่วงเย็นค่ะ และในวันถัดมาของช่วงเย็นเพื่อนบอกว่าได้รับโทรศัพท์จากทางบริษัทให้ไปสัมภาษณ์งาน แต่หนูไม่ได้รับการติดต่อมากลับเหมือนเพื่อน คือตอนแรกคิดว่าเราอาจจะมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานพร้อมกัน เพราะเค้ารับ 2 อัตราในตำแหน่งดังกล่าว แต่สุดท้าย จขกท. ไม่ได้ถูกคัดเลือกให้ไปสัมภาษณ์ค่ะ
ก็เกิดอาการนอยด์บ้างพอสมควร และไม่เข้าใจว่าฝ่ายบุคคลมีเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคคลให้มาสัมภาษณ์งานอย่างไร นี่คือเหตุผลที่หนูข้องใจและสงสัย จึงเป็นที่มาของหัวข้อกระทู้วันนี้ค่ะ ....
ร่ายมาซะยาวขอระบายและพูดถึงสาเหตุที่เกิดความมึนงงไม่เข้าใจมาตรฐานกันเลยนะคะ 555 คือว่าหากจะพิจารณารูปแบบของการขอสมัครงานทาง E-mail แล้ว รูปแบบ การใช้ภาษา และรีซูเม ของเจ้าของกระทู้ดีกว่าของเพื่อนมากนะคะ อันนี้ไม่ได้อวยตัวเองหรือว่าอิจฉาเพื่อน แต่มันทำให้ฉุดคิดค่ะว่ามาตรฐานของบ.เป็นอย่างไร
มาดูความแตกต่างกันนะคะ จขกท. ได้เขียนเมลสมัครงาน โดยมีการเกริ่นแนะนำตัว บอกวัตถุประสงค์ แล้วก็แนบไฟล์เอกสารสำคัญค่ะ ซึ่งในไฟล์จะมี
1. จดหมายสมัครงาน ที่จขกท. คิดว่าเรียบร้อย กระชับ มีระเบียบและถูกต้อง
2. Resume ที่คิดว่าค่อนข้างโอเค (อันนี้ไม่ได้หลงตัวเองนะเคอะ อิอิ) ไม่ใช่รีซูเมแบบจำเจเหมือนที่หาดูตัวอย่างได้จากอินเตอร์เน็ต ซึ่งจขกท. ได้บอกทักษะและคุณสมบัติที่ค่อนข้างมาก แต่กระชับ มีทั้งผลงานทางวิชาการ รางวัล กิจกรรมที่เคยทำ ที่สำคัญคือประสบการณ์ในการฝึกงานที่ค่อนข้างตรงกับตำแหน่งที่สมัคร และบอกรายละเอียดหน้าที่ที่ได้ทำ เรียกได้ว่าค่อนข้างโอเค ดูมีระบบที่ดี มีการออกแบบดีไซน์ที่เรียบหรูสวยงาม แต่ไม่ดูเวอร์ คิดว่าใครๆ ก็ต้องสะดุดตา (ต้องมีคนเบะปากมองบนอยู่แน่ๆ 5555)
3. ใบรับรองคุณวุฒิ และ Transcript ยอมรับนะคะว่าเกรดสวย 3.81 ค่ะ
มาดูฝั่งของคุณเพื่อนนะคะ (จบจากสถาบัน และสาขาเดียวกันค่ะ)อาจจะสงสัยว่าจขกท. ไปทราบข้อมูลที่ใช้ในการสมัครของเพื่อนได้ไง ก็คือว่าเพื่อนได้ส่ง resume และ transcript มาให้ช่วยแปลงไฟล์และจัดให้อยู่ไฟล์เดียวกันค่ะ
1. ไม่มีจดหมายการขอสมัครงาน
2. Resume ไม่น่าสนใจ คือเหมือนรีซูเม่ทั่วๆไป บอกทักษะแบบทั่วๆไป ไม่มีผลงานและรางวัล ไม่บอกรายละเอียดของการฝึกงาน แต่มีประสบการณ์ในการทำงาน Part time เป็นพนักงานเสิร์ฟ (ซึ่งคิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายงานที่จะทำ แต่หาก HR จะพิจารณาตรงจุดนี้ก็สุดแล้วแต่ อิอิ)
3. เกรดเฉลี่ย 2.65
อันนี้คือความแตกต่างนะคะ ออลืมไป รูปของจขกท. ที่ใช้ติดใน resume ก็ไม่ได้ขี้เหร่นะคะ อยู่ในเกณฑ์ที่น่ารัก (เผื่อว่าคัดคนจากหน้าตา อิอิ)
มันจึงเกิดคำถามมากมายในหัวเลยค่ะ เพราะนี่เป็นแค่ด่านแรก เค้าจะรู้จักเราได้โดยการอ่าน resume ที่เราได้ present ตัวเอง ซึ่งคุณสมบัติและทักษะของเราก็มีมากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ แต่เรากลับเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกให้ไปสัมภาษณ์ คือทุกๆครั้งที่จขกท. จะสมัครงาน หรือว่าทำงานส่งอาจารย์ เราก็จะจัดรูปแบบของรายงาน ใบงานที่เรียบร้อย คือป้อนข้อมูลที่ดีที่สุด ตั้งใจทำ ไม่ใช่ทำแบบลวกๆ โดยไม่ศึกษาหลักวิธีการ ซึ่งในการสมัครงาน เราก็ได้แสดงศักยภาพตรงนี้ลงไปในเอกสาร ว่าเราเป็นคนที่มีระบบระเบียบ และมีหลักการพอสมควรอยู่นะ เพื่อที่จะได้รับโอกาสในการสัมภาษณ์ และเคยคิดมาตลอดว่าถ้า Profile ดี โอกาสก็น่าจะมีเยอะกว่า
แต่ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ HR คัดกรองคนอย่างไร คัดจากคนธรรมดาๆ ความสามารถปานกลางหรือเปล่า จขกท.ก็สับสน งงงวย ได้แต่ถามหาข้อบกพร่องของตัวเองค่ะช่วงนั้น ว่าฉ้านนไม่ดีตรงหนายยย ฮือๆๆ และเป็นคนที่ต้องการหาคำตอบให้ได้จึงได้ไป Search ข้อมูลมา ซึ่งหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกันกับเรา คือจบเกียรตินิยมแล้วหางานยาก บางคนยากกว่าและน่าสงสารกว่า จขกท. อีก เพราะเก่งกว่าเยอะมาก แต่โลกนี้มันช่างวกวน วุ่นวาย และอยุติธรรมสำหรับคนที่ตั้งใจเนาะ แต่ก็อาจจะมีบางเหตุผลที่เรายังไม่เข้าใจ และก็มีหลายๆ คนมาให้เหตุผล ดังนี้
1. บริษัทบางที่ไม่รับเด็กเกียรตินิยม เพราะคิดว่าเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างหัวแข็ง Ego สูง ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ควบคุมยาก
2. คิดว่าคนเหล่านี้คงทำงานให้บริษัทได้ไม่นาน
3. นายจ้างหรือหัวหน้าบางคนไม่ชอบใครที่เก่งกว่า Profile ดีกว่า ก็คือไม่อยากให้ใครเด่นกว่า เลยตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เด็กที่เรียนรู้งานเร็วอาจก้าวข้ามตำแหน่งที่ดีกว่าตนเป็นได้ (แบบนี้น่ากลัว😂)
4. เด็กบางคนมี Over qualified ที่เกินว่าคุณสมบัติที่บริษัทตั้งไว้กับตำแหน่งดังกล่าว หากรับมาก็เกรงว่าเด็กจะเรียกเงินเดือนที่สูงเกินไป เขาเลยเลือกคนที่มีคุณสมบัติกลาง ๆ
จริงๆ แล้วจขกท. เองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายนะคะ เรียกได้ว่าธรรมดามากๆ แต่เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรให้เต็มที่ ทำให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ก็คือมีความทุ่มเทมากๆ แต่หลายคนมองว่าเราเก่ง ซึ่งตัวเองคิดว่ามีคนที่เก่งกว่าเราเยอะมากๆ บางทีก็คิดนะว่าเกรดเฉลี่ยและเกียรตินิยมที่เราได้นั้น มันเป็นตัวกดดันชีวิตตัวเองหรือเปล่า เพราะสมัครงานไว้หลายที่ แต่เค้าไม่ได้มองจากความสามารถของเราเลย และไม่มีโอกาสแม้กระทั่งการไปสัมภาษณ์งาน แต่ก็ยังเชื่อว่าต้องมีสักที่ที่ดูเราจากความสามารถ และให้โอกาสเราไปเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาองค์กร
จากเหตุการดังกล่าวคิดว่าถ้ามีโอกาสไปสัมภาษณ์น่าจะดีกว่านี้ ถ้าหากสัมภาษณ์แล้วเค้าไม่ได้ต้องการบุคลิกแบบเรา อันนี้ก็พอเข้าใจว่าเรายังไม่ใช่
HR ท่านไหน หรือเพื่อนๆพี่ๆ มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ แสดงความคิดเห็นได้นะคะ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ🙏🙏
ปล. อาจจะยาวหน่อยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ได้อ่านความอึดอัด ที่บ่นๆ อยู่จนจบ บางคนอาจจะมองว่าคิดมากไปรึเปล่า บอกเลยว่าระดับนึง 55555 แต่ก็ต้องสู้ต่อไป #เดินหน้าประเทศไทย 😊😊😁🙏🙏