มีคนเขาหาว่าผม
“บ้า” เขาหาว่า
“เพี้ยน” เพราะผมชอบเล่าเรื่องราว
“วิธีการทำเงิน” ของตัวเองให้โลกได้รับรู้ ... เล่าหมดทุกแนวที่เคยทำ ตั้งแต่พ่อค้าตลาดนัด ร้านส้มตำ ร้านเครื่องเขียน ประมูลบ้านจากกรมบังคับคดีฯ ยันสร้างบ้านขาย เล่าไว้ทั้ง 2 ด้านทั้ง กำไรก็เล่า ขาดทุนก็บอก ดังเช่น กระทู้เหล่านี้ ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[แชร์หมดเปลือก] การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ประมูลบ้านจากกรมบังคับคดี
https://pantip.com/topic/32137706
[แชร์เทคนิค] ทำธุรกิจบ้านเช่า ง่ายกว่าที่คิด . . . .
http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2012/11/B12886882/B12886882.html
[แชร์หมดเปลือก : ประสบการณ์ค้าขาย] ลงทุนสองหมื่นสาม กำไรหมื่นเก้า!!!
https://pantip.com/topic/31545759
แชร์เรื่องราว 12 ปี ของการตามหา Passive Income!!!
https://pantip.com/topic/35305247
ปีนี้ธุรกิจผมมีครบเครื่อง ทั้งยอดขายตก ขาดทุนรุ่งริ่ง และ ก็มีกิจการที่รุ่งโรจน์!!!
https://pantip.com/topic/34619391
5 แนวทางการทำธุรกิจให้เจ๊ง ... ผมลองมาแล้วสรุปว่า “เจ๊ง” จริง!!!
https://pantip.com/topic/36849611
และอื่นๆๆอีกมากมาย https://pantip.com/profile/556807
ผมเล่าแบบไม่มีกั๊ก เล่าแบบเต็มใจเปิดเผยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเอาไปปรับใช้ได้จริง ซึ่งวิธีการเช่นนี้หลายคนมองว่ามันเหมือนการทุบหม้อข้าวหม้อแกงตนเอง มันเหมือนเปิดช่องให้คนอื่นมาเห็นสิ่งที่ผมทำ หรือ สนับสนุนให้คนเห็นความลับที่ผมเห็น!!! ก็คงจริงตามที่เขาว่าล่ะครับ สิ่งที่ผมทำนั้นคนทั่วไปเขาคงไม่เล่าหมดกัน แต่ทำไมผมถึงทำ? ... จริงๆแล้วเรื่องนี้มันเรื่องราวของการทดลองแบบลับๆประการหนึ่งของผมที่ยังไม่เคยบอกให้ใครรู้ แต่จะได้รู้วันนี้!!!
หลักการทำงานของความลับที่ว่าคือ
“การแบไต๋ทั้งหมดที่มีเพื่อบีบให้ตัวเองไปหาสิ่งที่ท้าทายกว่า” มันเป็นแนวคิดที่ผมได้มาจากนักเขียนที่ชื่อว่า ออสติน คลีออน จากหนังสือสองเล่มนี้
“มีของดีต้องให้คนอื่นขโมย” และ
“ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน” โดย ออสติน คลีออน
ในหนังสือ มีของดีต้องให้คนอื่นขโมย ... มียกคำกล่าวของ พอล อาร์เดน ว่า ...
“ปัญหาของการหวงของคือคุณจะลงเอยด้วยการหมกตัวอยู่กับสิ่งที่คุณมี แล้วคุณจะกลายเป็นพวกเฉื่อยชาไปในที่สุด แต่ถ้าคุณมอบทุกอย่างที่มีให้คนอื่นจนหมดคุณจะไม่เหลืออะไรเลย ผลที่ตามมาคือคุณจะถูกบีบให้ออกมามองหาและเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ... ในแง่นี้ ยิ่งคุณเป็นผู้ให้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้รับกลับคือมาเท่านั้น”
… ผมว่ามันใช่มากสำหรับผม ผมทดลองของผมทำตามแนวคิดนี้ มาหลายปีผ่านมาจนถึงวันนี้ (ปี 2560) สำหรับผม ผมคิดว่ามันได้ผลดี ได้ผลดีเกินความคาดหมายด้วย … มันเหมือนเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้
“เรียนรู้ – แบ่งปัน – เรียนรู้เพิ่ม – แบ่งปันเพิ่ม – เรียนรู้ยิ่งขึ้นไปอีก – แบ่งปันยิ่งขึ้นไปอีก”
ผมเริ่มเล่าและแบ่งปันความรู้มาหลายปี ...
ในปีแรกๆผมคิดว่าการที่ผมถ่ายทอดสิ่งที่ผมรู้ออกไปจะทำให้ผมหมดเรื่องเล่าและจะทำให้ความรู้ผมหมดตัว แต่เปล่าเลยผลมันตรงกันข้าม ยิ่งผมเล่าถ่ายทอดออก ไปก็เหมือนกับว่าผมยิ่งหาความรู้และไปทดลองทำสิ่งใหม่ๆเพื่อที่จะกลับมาเล่าอีก เผลอแป๊ปเดียวเล่ามาเกือบ 7 ปีแล้ว เล่ามาเกือบสองร้อยบทความ เมื่อหลายปีก่อนผมเริ่มจากการเล่าเรื่องการลงทุนการทำธุรกิจเล็กๆ ผ่านการเรียนรู้-แบ่งปัน-พัฒนาต่อยอด จนมาเล่าเรื่องราวธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ ...
ลองพิจารณาแนวคิดนี้ดูครับ แนวคิดนี้ทำไม่ง่าย แต่ทำได้จริง ลองดูครับ!!!
...[^_^]…
ปล.
- เล่าสู่กันฟังครับ .... ติดตามเรื่องราวผมได้ในเพจนี้ครับ ... เพจคุยเรื่อยเปื่อย ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่
https://www.facebook.com/creativeshooter/
ทำไมผมชอบเล่า “วิธีการทำเงิน” ของตัวเอง !?!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมเล่าแบบไม่มีกั๊ก เล่าแบบเต็มใจเปิดเผยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเอาไปปรับใช้ได้จริง ซึ่งวิธีการเช่นนี้หลายคนมองว่ามันเหมือนการทุบหม้อข้าวหม้อแกงตนเอง มันเหมือนเปิดช่องให้คนอื่นมาเห็นสิ่งที่ผมทำ หรือ สนับสนุนให้คนเห็นความลับที่ผมเห็น!!! ก็คงจริงตามที่เขาว่าล่ะครับ สิ่งที่ผมทำนั้นคนทั่วไปเขาคงไม่เล่าหมดกัน แต่ทำไมผมถึงทำ? ... จริงๆแล้วเรื่องนี้มันเรื่องราวของการทดลองแบบลับๆประการหนึ่งของผมที่ยังไม่เคยบอกให้ใครรู้ แต่จะได้รู้วันนี้!!!
หลักการทำงานของความลับที่ว่าคือ “การแบไต๋ทั้งหมดที่มีเพื่อบีบให้ตัวเองไปหาสิ่งที่ท้าทายกว่า” มันเป็นแนวคิดที่ผมได้มาจากนักเขียนที่ชื่อว่า ออสติน คลีออน จากหนังสือสองเล่มนี้ “มีของดีต้องให้คนอื่นขโมย” และ “ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน” โดย ออสติน คลีออน
ในหนังสือ มีของดีต้องให้คนอื่นขโมย ... มียกคำกล่าวของ พอล อาร์เดน ว่า ...
“ปัญหาของการหวงของคือคุณจะลงเอยด้วยการหมกตัวอยู่กับสิ่งที่คุณมี แล้วคุณจะกลายเป็นพวกเฉื่อยชาไปในที่สุด แต่ถ้าคุณมอบทุกอย่างที่มีให้คนอื่นจนหมดคุณจะไม่เหลืออะไรเลย ผลที่ตามมาคือคุณจะถูกบีบให้ออกมามองหาและเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ... ในแง่นี้ ยิ่งคุณเป็นผู้ให้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้รับกลับคือมาเท่านั้น”
… ผมว่ามันใช่มากสำหรับผม ผมทดลองของผมทำตามแนวคิดนี้ มาหลายปีผ่านมาจนถึงวันนี้ (ปี 2560) สำหรับผม ผมคิดว่ามันได้ผลดี ได้ผลดีเกินความคาดหมายด้วย … มันเหมือนเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้
“เรียนรู้ – แบ่งปัน – เรียนรู้เพิ่ม – แบ่งปันเพิ่ม – เรียนรู้ยิ่งขึ้นไปอีก – แบ่งปันยิ่งขึ้นไปอีก”
ผมเริ่มเล่าและแบ่งปันความรู้มาหลายปี ... ในปีแรกๆผมคิดว่าการที่ผมถ่ายทอดสิ่งที่ผมรู้ออกไปจะทำให้ผมหมดเรื่องเล่าและจะทำให้ความรู้ผมหมดตัว แต่เปล่าเลยผลมันตรงกันข้าม ยิ่งผมเล่าถ่ายทอดออก ไปก็เหมือนกับว่าผมยิ่งหาความรู้และไปทดลองทำสิ่งใหม่ๆเพื่อที่จะกลับมาเล่าอีก เผลอแป๊ปเดียวเล่ามาเกือบ 7 ปีแล้ว เล่ามาเกือบสองร้อยบทความ เมื่อหลายปีก่อนผมเริ่มจากการเล่าเรื่องการลงทุนการทำธุรกิจเล็กๆ ผ่านการเรียนรู้-แบ่งปัน-พัฒนาต่อยอด จนมาเล่าเรื่องราวธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ ...
ลองพิจารณาแนวคิดนี้ดูครับ แนวคิดนี้ทำไม่ง่าย แต่ทำได้จริง ลองดูครับ!!!
...[^_^]…
ปล.
- เล่าสู่กันฟังครับ .... ติดตามเรื่องราวผมได้ในเพจนี้ครับ ... เพจคุยเรื่อยเปื่อย ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่
https://www.facebook.com/creativeshooter/