กลับมาเจอกันอีกแล้ว ช่วงนี้ใกล้สิ้นปีเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ชนบทบ้านเกิดเมืองนอนสไตล์ล้านนา
การได้กลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัดถือเป็นการตั้งหน้าตั้งตารอคอยของคนที่อยู่ทางโน้น ย่าของเราจะคอยมองเพื่อนบ้านที่มีรถ
มาจอดในตอนเช้ามืดและชะเง้อมองหน้าบ้านของตัวเองว่าจะมีใครมาบ้าง ครอบครัวเรากลับบ้านทุกปี ปีละ 2 ครั้ง กลับไปสาดน้ำให้ม่วน
ซื่นใจ๋และอีกทีก็ไปนับดาวข้ามปี ที่เกริ่นมานี้เพียงเพราะระลึกถึงเหตุการณ์ความทรงจำที่น่าประทับใจ (หรือเปล่า?) เมื่อครั้งไปเที่ยวหาย่า
จริง ๆ เรื่องนี้เราเคยเล่าไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเว็บนี้แรก ๆ ตอนนี้จะขอเล่าส่วนแยกหรือเหตุการณ์ที่มาที่ไปต่อจากนั้นอีกสักนิด
บ้านย่าของเราเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ครึ่งปูน ครี่งไม้ ห้องน้ำสังกะสีที่ย่าใช้อาบน้ำจะอยู่ด้านนอกตัวบ้านซึ่งต้องเดินออกไปทางด้านหลัง
และจะมีต้นมะม่วงต้นใหญ่หนึ่งต้นพร้อมโอ่งดินเผาขนาดกลางพอใส่น้ำอาบได้ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ ในครั้งนั้นที่เรามาบ้านย่าพร้อม
น้องสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องในช่วงเวลากลางคืน ญาติพี่น้องทุกคนไปรวมตัวกันกินข้าวเย็นที่บ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่
เราและน้องสาวได้รับคำสั่งให้มาเอาถ้วยชามเพิ่มเติมเนื่องจากว่ามีการกินเลี้ยงสังสรรค์ของผู้ใหญ่ และเป้าหมายของเราคือบ้านย่า
เพราะว่าอยู่ใกล้ที่สุด ดังนั้นน้องสาวเราจึงสตาร์ทรถขี่มอไซค์เรานั่งซ้อนท้ายมุ่งตรงมายังบ้านย่าทันที เมื่อมอไซค์จอดที่หน้าบ้านย่าสิ่งที่
นึกออกก็คือ กุญแจล่ะ? ต่างคนต่างส่ายหน้าเพราะไม่ได้เอากุญแจมา แต่ย่าเคยบอกว่าประตูบ้านไม่เคยล็อคให้เดินอ้อมไปทางหลังบ้าน
แล้วแงะประตูเข้าไปได้เลย พวกเราจึงจัดแจงถกขากางเกงและปีนรั้วที่สูงเลยหัวเรามานิดหน่อย เราปีนรั้วข้ามเข้ามาคนแรกด้วยความ
ทุลักทุเลกระโดดลงพื้นตุบ! น้องสาวกระโดดตามตุบ! แล้วพากันเดินอ้อมไปทางด้านหลังบ้านซึ่งต้องผ่านต้นมะม่วงสูงใหญ่แผ่กิ่งใบออก
อย่างกว้างขวาง เรายังพูดกับน้องสาวเลยว่า “มะม่วงต้นนี้อายุยืนจังเนอะ เราเก็บลูกมันกินตั้งแต่เด็ก ๆ จำได้ปะ?”
น้องสาวบอกจำได้พร้อมเล่าถึงวีรกรรมที่เราปีนต้นมะม่วงขึ้นไปแล้วถูกมดแดงกัดจนลื่นตูดไถลตกต้นไม้ลงมา เล่าไปพร้อมกับหัวเราะ
สนุกสนานมือก็พลางแงะประตูข้างหลังเข้าบ้าน อันที่จริงแทบไม่ต้องแงะเลยเพราะเอามือสะกิดนิดเดียวประตูก็แง้มออกมาอย่างง่ายดาย
เรายังนึกเป็นห่วงย่าว่าบ้านช่องประตูปิดไม่มิดชิดแบบนี้จะเป็นอันตรายหรือเปล่านะ เมื่อเราเปิดประตูเข้าทางหลังบ้านได้สำเร็จก็ค่อย ๆ
เดินควานหาสวิตไฟแต่น้องสาวตัวดีบอกว่า
"ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้มั้ง มีแสงจันทร์จากข้างนอกส่องเข้ามาพอมองเห็นอยู่ รีบเอาจานรีบกลับเถอะ"
ในเวลานั้นถึงจะเป็นเวลาค่ำแล้วก็ตามแต่คืนนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงจึงทำให้มีแสงจันทร์เล็ดลอดเข้าตามซอกหลืบของบ้าน
แลให้เห็นของภายในบ้านค่อนข้างชัดทีเดียว เมื่อเราและน้องก้ม ๆ เงย ๆ คว้าจานพร้อมทั้งเปิดตู้เย็นแอบกินขนมของย่าขนมปังที่น้า ๆ
ซื้อมาติดตู้เย็นไว้ให้ย่ากิน เรากับน้องก็ยัดเข้าไปเต็มปากพร้อมมองหน้ากันหัวเราะอย่างชอบใจ
“ทำตัวเหมือนขโมยกันเลยอะ” 555 น้องเราหัวเราะออกมา เราก็บอกว่า “ขโมยที่ไหน นี่เรียกว่าขอกินโดยไม่บอกต่างหาก ของย่าเราเอง
ถึงไม่ขอย่าก็ให้กินอยู่แล้ว”
เมื่อพวกเรายัดขนมเข้าปากจนเต็มแก้มเป็นพวงทั้งสองข้าง มือแต่ละคนก็อุ้มจานถ้วยพร้อมทั้งตุเลงเดินออกมาทางประตูด้านหลัง
และเมื่อเราใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก สายตาของเราก็พลันไปประสานกับสายตาของผู้หญิงคนหนึ่ง แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่อง
ลงมาทำให้มองเห็นลักษณะผู้หญิงคนนั้นชัดเจนมากถึงชัดเจนมากที่สุด เมื่อประตูเปิดออกและเราก็ผงะหยุดนิ่งประสานสายตากับ
ผู้หญิงคนนั้นอยู่สักพัก น้องสาวที่เดินตามหลังเรามาก็สะกิดถามว่า “หยุดทำไม! มองอะไร!?” เราตอบแค่ว่า “เปล่า!!!!!”
แต่การกระทำของเรากำลังจะสวนทางกับคำพูด เมื่อเราตอบคำว่าเปล่า แต่เรากลับก้าวขาออกจากบ้านยาวกว่าเดิมและจ้ำขายาวขึ้น
ยาวขึ้น จากเดินจึงค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นวิ่ง เราสับขาวิ่งมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าบ้านของย่าโดยไม่ฟังเสียงเรียกของน้องสาว เมื่อวัตถุ
ที่อยู่ตรงหน้าเรามีความสูงท่วมหัวแต่ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าจะออกจากบ้านย่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อระยะประชิดกับวัตถุตรงหน้า
เรากระโดดคว้าขอบรั้วพร้อมเอาเท้าไถ ๆ แล้วพลิกตัวข้ามรั้วกระโดดลงข้างล่างตุบ! ขึ้นคร่อมมอไซค์บิดกุญแจที่เสียบคาไว้แล้วเหยียบ
เกียร์หนึ่งพร้อมบิดคันเร่ง แฮ่นนน... แล้วยกล้อหน้าออกตัวล้อฟรีลากยาว แฮ๊นนนนนนน!!!!!
ต้องบอกก่อนว่าเราเองตอนนั้นขี่มอไซค์ยังไม่เป็นแต่เราจำได้จากที่ต้องซ้อนมอไซค์เป็นประจำว่าต้องเหยียบเกียร์หนึ่งแล้วตามด้วยสอง
จนไปถึงสี่ถึงจะขี่ยาว ๆ ได้ ทีนี้ด้วยความตกใจเราขี่ลากเกียร์หนึ่งจนมีเสียง แท่ด แท่ด ประมาณนี้ คงเป็นเสียงเตือนให้เหยียบเกียร์สอง
ขณะที่มอไซค์เริ่มมีเสียงดังสติของเราถึงได้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เราตกใจเสียงของมอไซค์และรถเริ่มอืด จังหวะเดียวกันกับที่เรามอง
กระจกส่องหลังแล้วเห็นน้องสาวเราวิ่งตามหลังพร้อมโบกไม้โบกมือตะโกนเป็นภาษาคำเมือง
“อิปี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ รออออเปิ้นจิมมมมมมมม” ตอนนั้นนั่นแหละค่ะสติถึงกลับมา เมื่อน้องสาววิ่งตามมาถึงรถก็บ่นให้เราว่า
“ไหนว่าบ่มีอะหยัง แล้ววิ่งหนีมาปล่อยหื้อเปิ้นปีนฮั้วค๋นเดว จ๋านเฮี่ยเสียหม๊ด”
เราก็บอกว่ารีบขี่รถไปหาย่าก่อนเถอะอย่าเพิ่งบ่นเลย เมื่อพวกเรามาถึงบ้านของลุงพร้อมกับถ้วยจานที่เอาติดมาได้น้อยนิด เราเล่าให้
ญาติผู้ใหญ่ฟังว่าเราเจออะไรที่บ้านย่าถึงทำให้ได้จานมานิดเดียว ทุกคนบอกว่าเราตาฝาดแล้วก็หันไปร้องเพลงเคาะแก้วกันต่อ
เราจึงเดินไปกระซิบย่าว่า "เห็นจริง ๆ นะ ผู้หญิงผมยาวนุ่งผ้าถุงนั่งยอง ๆ อยู่บนปากโอ่งแล้วจ้องหน้าหนูอะ"
ย่าถามกลับ “แล้วเขาทำอะไรหนู?”
"เขาเปล่าทำแต่เขาจ้องหน้าหนูตาไม่กระพริบเลย แต่หนูก็จ้องหน้าเขากลับนะเพราะสงสัยว่าใครกันเข้ามาในนี้ แต่พอมองดี ๆ
ใครที่ไหนจะนั่งยองบนปากโอ่งอย่างนั้น หนูเลยคิดว่าใช่แน่ ๆ เลยรีบวิ่งออกมา" น้องสาวตัวดีรีบเข้ามาสมทบ
“แต่หนูไม่เห็นอะไรนะย่า หนูเห็นแต่พี่ยืนนิ่งมองจ้องอะไรไม่รู้แล้ววิ่งหนีหนูออกมาเนี่ย ดูซิ จานแตกหมดเลย”
ย่าจึงบอกให้เราเอาธูปไปปักกลางแจ้งที่บ้านพรุ่งนี้พร้อมบอกกล่าวเจ้าที่ทางขอขมาซะ เราอาจทำอะไรที่ไม่ดีงามเขาจึงออกมาเตือน
เรากับน้องก็มองหน้ากันแล้วคิดว่าทำอะไรที่ไม่ดีไว้ เพราะบ้านย่านี่ก็ปีนต้นไม้เล่นวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็เอาเถอะขอขมาก็ได้
ไม่เสียหายอะไร...
เช้าวันต่อมาเราไปบ้านย่าอีกครั้งพร้อมธูปปักกลางแจ้งหน้าบ้านยกมือกล่าวขอขมาตามที่ย่าพูดนำ เมื่อปักธูปแล้วย่าบอกว่าไปเอา
ขนมปังในตู้เย็นมากินสิย่าอนุญาต เราชะงักไปนิดนึงแล้วนึกได้ว่าเมื่อคืนเราแอบกินขนมปังในตู้เย็นไปแล้ว เอ... ย่าจะรู้ไหมนะ?
เราจึงบอกย่าไปว่าไม่หิวแล้วทำทีจะเดินออกไปเล่นนอกบ้านกับน้อง ๆ หลาน ๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ ย่าบอกว่าไปเอามากินเถอะ
ย่ายกให้ เราก็บอกว่าไม่หิวพูดเสร็จก็รีบวิ่งสะบัดก้นออกไปอย่างไว แล้ววิ่งไปกระซิบหูน้องสาวที่มาด้วยเมื่อคืนว่ากลัวย่าจะรู้จังเลยว่า
พวกเราแอบกินขนมปังในตู้เย็น น้องสาวก็รีบโบ้ยเราทันทีว่าทำตามเรานั่นแหละถ้าย่ารู้ว่าขี้ขโมยหนูจะโทษพี่... อ้าว!!!
ความจริงแล้วย่าไม่ได้หวงของกินกับหรอกค่ะ แต่เรามาเข้าใจเหตุผลก็เมื่อโตขึ้นว่าการขออนุญาตเป็นสิ่งที่สมควรกระทำและเป็นมารยาท
ที่พึงกระทำไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของนั้นจากญาติพี่น้องคนกันเองก็ตาม แต่ในขณะนั้นที่เรายังเป็นเด็กก็คิดแค่ว่านี่ก็บ้านย่าตู้เย็นย่าของกินย่า
แล้วย่าก็เป็นย่าทำไมเราจะหยิบกินอะไรไม่ได้ หยิบได้ค่ะ... แต่ต้องได้รับการอนุญาตหรือขออนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน
นี่คือการสอนของย่าเรา หลังจากที่พวกเราเล่นกันทั้งวันด้วยความเหนื่อยล้า ญาติพี่น้องทุกคนก็มารวมตัวกันบ้านย่าแล้วทำอาหารกินกัน
เราซึ่งเป็นพี่คนโตของกลุ่มลูกพี่ลูกน้องก็อาสาไปเอาน้ำในตู้เย็นมาแจกจ่ายน้อง ๆ พลันฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่แอบขโมยขนมปังย่า
มันติดคาใจถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เมื่อเรายังเป็นเด็กก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปมันไม่ดี จึงได้เดินไปกอดย่าข้างหลังแล้วบอกว่าเราแอบกิน
ขนมปังย่านะ ย่าไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับสอนให้รู้จักความซื่อสัตย์ต่อตนเอง หากเราโตขึ้นแล้วไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่นก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้
และย่าพูดทิ้งท้ายว่า “คราวหน้าจะหยิบจับอะไรไม่ว่าบ้านใครก็ขออนุญาตก่อนนะ”
ย่าของฉัน
การได้กลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัดถือเป็นการตั้งหน้าตั้งตารอคอยของคนที่อยู่ทางโน้น ย่าของเราจะคอยมองเพื่อนบ้านที่มีรถ
มาจอดในตอนเช้ามืดและชะเง้อมองหน้าบ้านของตัวเองว่าจะมีใครมาบ้าง ครอบครัวเรากลับบ้านทุกปี ปีละ 2 ครั้ง กลับไปสาดน้ำให้ม่วน
ซื่นใจ๋และอีกทีก็ไปนับดาวข้ามปี ที่เกริ่นมานี้เพียงเพราะระลึกถึงเหตุการณ์ความทรงจำที่น่าประทับใจ (หรือเปล่า?) เมื่อครั้งไปเที่ยวหาย่า
จริง ๆ เรื่องนี้เราเคยเล่าไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเว็บนี้แรก ๆ ตอนนี้จะขอเล่าส่วนแยกหรือเหตุการณ์ที่มาที่ไปต่อจากนั้นอีกสักนิด
บ้านย่าของเราเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ครึ่งปูน ครี่งไม้ ห้องน้ำสังกะสีที่ย่าใช้อาบน้ำจะอยู่ด้านนอกตัวบ้านซึ่งต้องเดินออกไปทางด้านหลัง
และจะมีต้นมะม่วงต้นใหญ่หนึ่งต้นพร้อมโอ่งดินเผาขนาดกลางพอใส่น้ำอาบได้ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ ในครั้งนั้นที่เรามาบ้านย่าพร้อม
น้องสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องในช่วงเวลากลางคืน ญาติพี่น้องทุกคนไปรวมตัวกันกินข้าวเย็นที่บ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่
เราและน้องสาวได้รับคำสั่งให้มาเอาถ้วยชามเพิ่มเติมเนื่องจากว่ามีการกินเลี้ยงสังสรรค์ของผู้ใหญ่ และเป้าหมายของเราคือบ้านย่า
เพราะว่าอยู่ใกล้ที่สุด ดังนั้นน้องสาวเราจึงสตาร์ทรถขี่มอไซค์เรานั่งซ้อนท้ายมุ่งตรงมายังบ้านย่าทันที เมื่อมอไซค์จอดที่หน้าบ้านย่าสิ่งที่
นึกออกก็คือ กุญแจล่ะ? ต่างคนต่างส่ายหน้าเพราะไม่ได้เอากุญแจมา แต่ย่าเคยบอกว่าประตูบ้านไม่เคยล็อคให้เดินอ้อมไปทางหลังบ้าน
แล้วแงะประตูเข้าไปได้เลย พวกเราจึงจัดแจงถกขากางเกงและปีนรั้วที่สูงเลยหัวเรามานิดหน่อย เราปีนรั้วข้ามเข้ามาคนแรกด้วยความ
ทุลักทุเลกระโดดลงพื้นตุบ! น้องสาวกระโดดตามตุบ! แล้วพากันเดินอ้อมไปทางด้านหลังบ้านซึ่งต้องผ่านต้นมะม่วงสูงใหญ่แผ่กิ่งใบออก
อย่างกว้างขวาง เรายังพูดกับน้องสาวเลยว่า “มะม่วงต้นนี้อายุยืนจังเนอะ เราเก็บลูกมันกินตั้งแต่เด็ก ๆ จำได้ปะ?”
น้องสาวบอกจำได้พร้อมเล่าถึงวีรกรรมที่เราปีนต้นมะม่วงขึ้นไปแล้วถูกมดแดงกัดจนลื่นตูดไถลตกต้นไม้ลงมา เล่าไปพร้อมกับหัวเราะ
สนุกสนานมือก็พลางแงะประตูข้างหลังเข้าบ้าน อันที่จริงแทบไม่ต้องแงะเลยเพราะเอามือสะกิดนิดเดียวประตูก็แง้มออกมาอย่างง่ายดาย
เรายังนึกเป็นห่วงย่าว่าบ้านช่องประตูปิดไม่มิดชิดแบบนี้จะเป็นอันตรายหรือเปล่านะ เมื่อเราเปิดประตูเข้าทางหลังบ้านได้สำเร็จก็ค่อย ๆ
เดินควานหาสวิตไฟแต่น้องสาวตัวดีบอกว่า
"ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้มั้ง มีแสงจันทร์จากข้างนอกส่องเข้ามาพอมองเห็นอยู่ รีบเอาจานรีบกลับเถอะ"
ในเวลานั้นถึงจะเป็นเวลาค่ำแล้วก็ตามแต่คืนนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงจึงทำให้มีแสงจันทร์เล็ดลอดเข้าตามซอกหลืบของบ้าน
แลให้เห็นของภายในบ้านค่อนข้างชัดทีเดียว เมื่อเราและน้องก้ม ๆ เงย ๆ คว้าจานพร้อมทั้งเปิดตู้เย็นแอบกินขนมของย่าขนมปังที่น้า ๆ
ซื้อมาติดตู้เย็นไว้ให้ย่ากิน เรากับน้องก็ยัดเข้าไปเต็มปากพร้อมมองหน้ากันหัวเราะอย่างชอบใจ
“ทำตัวเหมือนขโมยกันเลยอะ” 555 น้องเราหัวเราะออกมา เราก็บอกว่า “ขโมยที่ไหน นี่เรียกว่าขอกินโดยไม่บอกต่างหาก ของย่าเราเอง
ถึงไม่ขอย่าก็ให้กินอยู่แล้ว”
เมื่อพวกเรายัดขนมเข้าปากจนเต็มแก้มเป็นพวงทั้งสองข้าง มือแต่ละคนก็อุ้มจานถ้วยพร้อมทั้งตุเลงเดินออกมาทางประตูด้านหลัง
และเมื่อเราใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก สายตาของเราก็พลันไปประสานกับสายตาของผู้หญิงคนหนึ่ง แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่อง
ลงมาทำให้มองเห็นลักษณะผู้หญิงคนนั้นชัดเจนมากถึงชัดเจนมากที่สุด เมื่อประตูเปิดออกและเราก็ผงะหยุดนิ่งประสานสายตากับ
ผู้หญิงคนนั้นอยู่สักพัก น้องสาวที่เดินตามหลังเรามาก็สะกิดถามว่า “หยุดทำไม! มองอะไร!?” เราตอบแค่ว่า “เปล่า!!!!!”
แต่การกระทำของเรากำลังจะสวนทางกับคำพูด เมื่อเราตอบคำว่าเปล่า แต่เรากลับก้าวขาออกจากบ้านยาวกว่าเดิมและจ้ำขายาวขึ้น
ยาวขึ้น จากเดินจึงค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นวิ่ง เราสับขาวิ่งมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าบ้านของย่าโดยไม่ฟังเสียงเรียกของน้องสาว เมื่อวัตถุ
ที่อยู่ตรงหน้าเรามีความสูงท่วมหัวแต่ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าจะออกจากบ้านย่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อระยะประชิดกับวัตถุตรงหน้า
เรากระโดดคว้าขอบรั้วพร้อมเอาเท้าไถ ๆ แล้วพลิกตัวข้ามรั้วกระโดดลงข้างล่างตุบ! ขึ้นคร่อมมอไซค์บิดกุญแจที่เสียบคาไว้แล้วเหยียบ
เกียร์หนึ่งพร้อมบิดคันเร่ง แฮ่นนน... แล้วยกล้อหน้าออกตัวล้อฟรีลากยาว แฮ๊นนนนนนน!!!!!
ต้องบอกก่อนว่าเราเองตอนนั้นขี่มอไซค์ยังไม่เป็นแต่เราจำได้จากที่ต้องซ้อนมอไซค์เป็นประจำว่าต้องเหยียบเกียร์หนึ่งแล้วตามด้วยสอง
จนไปถึงสี่ถึงจะขี่ยาว ๆ ได้ ทีนี้ด้วยความตกใจเราขี่ลากเกียร์หนึ่งจนมีเสียง แท่ด แท่ด ประมาณนี้ คงเป็นเสียงเตือนให้เหยียบเกียร์สอง
ขณะที่มอไซค์เริ่มมีเสียงดังสติของเราถึงได้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เราตกใจเสียงของมอไซค์และรถเริ่มอืด จังหวะเดียวกันกับที่เรามอง
กระจกส่องหลังแล้วเห็นน้องสาวเราวิ่งตามหลังพร้อมโบกไม้โบกมือตะโกนเป็นภาษาคำเมือง
“อิปี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ รออออเปิ้นจิมมมมมมมม” ตอนนั้นนั่นแหละค่ะสติถึงกลับมา เมื่อน้องสาววิ่งตามมาถึงรถก็บ่นให้เราว่า
“ไหนว่าบ่มีอะหยัง แล้ววิ่งหนีมาปล่อยหื้อเปิ้นปีนฮั้วค๋นเดว จ๋านเฮี่ยเสียหม๊ด”
เราก็บอกว่ารีบขี่รถไปหาย่าก่อนเถอะอย่าเพิ่งบ่นเลย เมื่อพวกเรามาถึงบ้านของลุงพร้อมกับถ้วยจานที่เอาติดมาได้น้อยนิด เราเล่าให้
ญาติผู้ใหญ่ฟังว่าเราเจออะไรที่บ้านย่าถึงทำให้ได้จานมานิดเดียว ทุกคนบอกว่าเราตาฝาดแล้วก็หันไปร้องเพลงเคาะแก้วกันต่อ
เราจึงเดินไปกระซิบย่าว่า "เห็นจริง ๆ นะ ผู้หญิงผมยาวนุ่งผ้าถุงนั่งยอง ๆ อยู่บนปากโอ่งแล้วจ้องหน้าหนูอะ"
ย่าถามกลับ “แล้วเขาทำอะไรหนู?”
"เขาเปล่าทำแต่เขาจ้องหน้าหนูตาไม่กระพริบเลย แต่หนูก็จ้องหน้าเขากลับนะเพราะสงสัยว่าใครกันเข้ามาในนี้ แต่พอมองดี ๆ
ใครที่ไหนจะนั่งยองบนปากโอ่งอย่างนั้น หนูเลยคิดว่าใช่แน่ ๆ เลยรีบวิ่งออกมา" น้องสาวตัวดีรีบเข้ามาสมทบ
“แต่หนูไม่เห็นอะไรนะย่า หนูเห็นแต่พี่ยืนนิ่งมองจ้องอะไรไม่รู้แล้ววิ่งหนีหนูออกมาเนี่ย ดูซิ จานแตกหมดเลย”
ย่าจึงบอกให้เราเอาธูปไปปักกลางแจ้งที่บ้านพรุ่งนี้พร้อมบอกกล่าวเจ้าที่ทางขอขมาซะ เราอาจทำอะไรที่ไม่ดีงามเขาจึงออกมาเตือน
เรากับน้องก็มองหน้ากันแล้วคิดว่าทำอะไรที่ไม่ดีไว้ เพราะบ้านย่านี่ก็ปีนต้นไม้เล่นวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็เอาเถอะขอขมาก็ได้
ไม่เสียหายอะไร...
เช้าวันต่อมาเราไปบ้านย่าอีกครั้งพร้อมธูปปักกลางแจ้งหน้าบ้านยกมือกล่าวขอขมาตามที่ย่าพูดนำ เมื่อปักธูปแล้วย่าบอกว่าไปเอา
ขนมปังในตู้เย็นมากินสิย่าอนุญาต เราชะงักไปนิดนึงแล้วนึกได้ว่าเมื่อคืนเราแอบกินขนมปังในตู้เย็นไปแล้ว เอ... ย่าจะรู้ไหมนะ?
เราจึงบอกย่าไปว่าไม่หิวแล้วทำทีจะเดินออกไปเล่นนอกบ้านกับน้อง ๆ หลาน ๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ ย่าบอกว่าไปเอามากินเถอะ
ย่ายกให้ เราก็บอกว่าไม่หิวพูดเสร็จก็รีบวิ่งสะบัดก้นออกไปอย่างไว แล้ววิ่งไปกระซิบหูน้องสาวที่มาด้วยเมื่อคืนว่ากลัวย่าจะรู้จังเลยว่า
พวกเราแอบกินขนมปังในตู้เย็น น้องสาวก็รีบโบ้ยเราทันทีว่าทำตามเรานั่นแหละถ้าย่ารู้ว่าขี้ขโมยหนูจะโทษพี่... อ้าว!!!
ความจริงแล้วย่าไม่ได้หวงของกินกับหรอกค่ะ แต่เรามาเข้าใจเหตุผลก็เมื่อโตขึ้นว่าการขออนุญาตเป็นสิ่งที่สมควรกระทำและเป็นมารยาท
ที่พึงกระทำไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของนั้นจากญาติพี่น้องคนกันเองก็ตาม แต่ในขณะนั้นที่เรายังเป็นเด็กก็คิดแค่ว่านี่ก็บ้านย่าตู้เย็นย่าของกินย่า
แล้วย่าก็เป็นย่าทำไมเราจะหยิบกินอะไรไม่ได้ หยิบได้ค่ะ... แต่ต้องได้รับการอนุญาตหรือขออนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน
นี่คือการสอนของย่าเรา หลังจากที่พวกเราเล่นกันทั้งวันด้วยความเหนื่อยล้า ญาติพี่น้องทุกคนก็มารวมตัวกันบ้านย่าแล้วทำอาหารกินกัน
เราซึ่งเป็นพี่คนโตของกลุ่มลูกพี่ลูกน้องก็อาสาไปเอาน้ำในตู้เย็นมาแจกจ่ายน้อง ๆ พลันฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่แอบขโมยขนมปังย่า
มันติดคาใจถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เมื่อเรายังเป็นเด็กก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปมันไม่ดี จึงได้เดินไปกอดย่าข้างหลังแล้วบอกว่าเราแอบกิน
ขนมปังย่านะ ย่าไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับสอนให้รู้จักความซื่อสัตย์ต่อตนเอง หากเราโตขึ้นแล้วไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่นก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้
และย่าพูดทิ้งท้ายว่า “คราวหน้าจะหยิบจับอะไรไม่ว่าบ้านใครก็ขออนุญาตก่อนนะ”