(เรื่องสั้น) เพื่อนของปอม

29 สิงหาคม 2550

    นี่ก็เป็นอีกวันที่เพื่อนๆ เห็น ‘ปอม’ รีบยัดของทุกอย่างใส่ลงกระเป๋าเป้และวิ่งออกนอกห้องทันทีที่กริ่งเลิกเรียนดัง เนื่องจากเด็กชายไม่มีเพื่อนสนิท  ใครหลายคนจึงเดาสุ่มต่างๆ นาๆ ว่าปอมรีบไปร้านเกมบ้างล่ะ รีบไปติวหนังสือตามที่แม่สั่งบ้างล่ะ หรือร้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นล้อเลียนกันขำๆ ว่ารีบไปกินยาแก้โรคประสาท  ไม่ให้ทำร้ายร่างกายใครเหมือนอย่างที่พ่อปอมเคยทำกับแม่ของเขาจนเข้าเมื่อเดือนก่อน

    ปอมรู้ว่าต้องมีคนนินทาเขาลับหลัง  แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามไม่สนเพราะถูกสอนโดย ‘เธอคนนั้น’ ว่าการไปรับเอาขี้ปากคนอื่นมาเก็บไว้ในใจก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า แถมยังเสียสุขภาพจิตอีก

คำพูดประชดประชันที่ถูกเอ่ยพร้อมน้ำเสียงติดตลกนั่นเขาจำได้ไม่ลืม เพราะเป็นคำพูดแรกที่เธอใช้เข้ามาทักทายเขาตอนเจอกันครั้งแรกแทนคำว่าสวัสดี  เด็กชายไม่รู้หรอกว่าเธอมาจากไหน  แต่เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ยอมเป็นเพื่อนกับคนพูดน้อยแถมยังคุยไม่เก่งอย่างเขา

“มาไวจัง” เด็กหญิงทักทันทีที่เห็นปอมวิ่งเขามาในสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียน

เด็กชายยิ้มเขินๆ “ก็...เธอมาเจอเราได้ไม่กี่วันนี่  แถมเราต้องรีบกลับบ้านด้วย”

ปอมนั่งลงบนชิงช้าข้างเธอคนนั้น หยิบน้ำขึ้นมาจิบแก้กระหายโดยไม่รู้ว่ากำลังถูกมอง

“นาย...โดนต่อยมาเหรอ” เด็กหญิงถามเสียงเป็นห่วง “อีกแล้ว”

    ปอมชะงักกึก ก่อนจะลดขวดน้ำลง “อื้อ...ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ” เขาแสร้งยิ้ม แล้วลูบรอยช้ำบนหัวคิ้วด้านซ้าย

    อีกฝ่ายถอนหายใจ “นายอยู่เงียบๆ ไปวันๆ อย่างที่ต้องการไม่ได้หรอกนะ” เธอสอน “น่าจะเรียนรู้ได้แล้วว่าพวกเด็กไม่ดีมันชอบมาแหย่คนแบบนาย”

    “แล้วจะให้ทำยังไง...”

    “หาเพื่อนสิ” เด็กหญิงแทรกทันที “หาคนเกาะกลุ่มด้วย อย่าอยู่ตัวคนเดียว  อย่าทำตัวจืดจางในตอนที่คนอื่นเขามีชีวิตชีวา  แบบที่นายเป็นอยู่นั่นล่ะที่ดึงดูดให้พวกนั้นมาแกล้ง”

    ปอมจ้องคนตรงหน้า เขาก็คิดเสมอว่าเด็กหญิงคนนี้น่าจะอายุเท่าเขาแท้ๆ แต่คำพูดคำจาของเธอกลับโตเกินวัย
“ปีหน้าเราก็ม.1 แล้ว” เด็กชายเปลี่ยนเรื่อง “ต้องย้ายโรงเรียน  ไม่รู้ว่าจะได้เจอเธออีกหรือเปล่า” เขาพูดจบก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ เสียเอง นึกโทษสมองที่ดันสั่งให้พูดถึงเรื่องนี้

    “ก็คงไม่ได้เจออีกแล้วล่ะ” คนตรงหน้าหัวเราะเสียงใส “หกปีแล้วนะที่เรารู้จักกัน มันพอแล้วล่ะ”

    “พอที่ไหน! เธอมาเจอเราได้แค่ปีละ 4 วัน แถมได้คุยกันแค่วันละครึ่งชั่วโมงเองนะ” ปอมเถียงทันที

    เด็กหญิงยิ้ม ไม่แสดงอาการโกรธที่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ “นายโตแล้วปอม นายจะอยู่กับเราไปตลอดไม่ได้”

    “ทำไม”

    “ก็เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องเข้มแข็งไง จำที่เราสอนได้ป่าว ว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำ ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้” เธอยิ้มแย้มขณะพูด “วันนี้โดนต่อยมาเรื่องอะไร  เล่าให้ฟังได้ไหม”

    ปอมเงยหน้ามองฟ้า  พอรู้สึกเมื่อยคอก็ก้มลงมามองคู่สนทนาใหม่ เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา แต่สิ่งที่ปอมรู้เกี่ยวกับเธอนั้นแทบไม่มี ปอมไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักบ้าน ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร รู้เพียงเธออยู่ในโรงเรียน และออกมาเจอเขาได้แค่ปลายเดือนสิงหาคมของทุกปีก็เท่านั้น  เขาจำได้ว่าเคยพยายามถามความเป็นมาของเธอตั้งแต่ปีแรกที่เจอกัน  แต่คำตอบที่ได้รับก็เป็นความทรงจำลางๆ เหมือนกลุ่มหมอกในหัวสมอง  อะไรบางอย่างสั่งให้ปอมไม่พยายามหาคำตอบอีก บางครั้งมันเลยทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนเธอเป็น 'เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน' มากกว่า

    “เรานั่งอยู่เงียบๆ  แล้วโจ้ก็เดินมาถามหาสมุดคณิตที่มันทำหายเอง...”

    ปอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง การเป็นคนอ่อนแอที่สุดในห้อง และเป็นคนที่เพื่อนๆ มักโยนความผิดให้เป็นปัญหาที่เขาเจอซ้ำๆ จนความเศร้ามันอัดแน่นอยู่ภายในหัวใจ  แต่เมื่อปอมได้เจอเธอ เขาจะเล่าปัญหาทุกข์ใจตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาวันละสองสามเรื่องให้ฟัง และภูเขาสีเทาหม่นทั้งลูกก็ถูกยกออกไปจากอกทันที  นี่คงจะเป็นสาเหตุที่แม้ปอมจะรักสันโดษและไม่มีเพื่อนในห้อง แต่เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นหัวเราะไม่เป็น



        30 สิงหาคม 2550

    “วันเสาร์นี้เรากะจะแอบมาหาเธอ  แต่น้าบอกว่าต้องไปทำบุญที่ต่างจังหวัด” ปอมบอกขณะนั่งไกวชิงช้าไปมา  และเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “เป็นอะไร”

    เด็กหญิงสะดุ้ง  เป็นครั้งแรกที่ปอมเห็นเธอเหม่อลอย “เปล่า...ไม่มีอะไร”

    เด็กชายจ้องคู่สนทนา เขาจับโกหกเก่งนะ...พวกเพื่อนในห้องชอบมาอ้อนวอนหลอกใช้เขาทำโน่นทำนี่ให้ ปอมเคยเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพียงเพื่อจะช่วยปั่นการบ้านของคนห้าคนให้ทันภายในหนึ่งคืน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่คำขอบคุณ ปอมจึงเรียนรู้แล้วพัฒนาตัวเอง เขาแทบจะอ่านใจคนจากสีหน้าได้เลย  

    “มีปัญหากับพ่อแม่เหรอ” เด็กชายเดา

    อีกฝ่ายส่ายหน้า “...นายย้ายไปอยู่กับน้าแล้วเหรอ” เธอเปลี่ยนเรื่อง

    “ใช่  แค่ชั่วคราวน่ะ...ลืมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลยแฮะ” ปอมก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด  เธอเคยบอกว่าอยากรู้ทุกเรื่องในชีวิตเขา  แต่ปอมก็มัวเล่าเรื่องไร้สาระตลอดสองวันที่ผ่านมา “แม่เรานอนโรงพยาบาลมาสองเดือนแล้วล่ะ” เขาเล่าถึงเรื่องที่พ่อแท้ๆ ทำชีวิตครอบครัวเกือบพังทลาย  เริ่มจากคืนหนึ่ง  พ่อกลับมาบ้านในสภาพเมาไม่ได้สติ  คนที่มาส่งเป็นหญิงสาวที่ทำงานบริษัทเดียวกัน  เธอเป็นคนลากพ่อลงจากรถแท็กซี่  กดกริ่งเรียกและช่วยแม่ลากร่างของชายหัวหน้าครอบครัวเข้าไปนอนในบ้าน  ก่อนจะเริ่มคุยกันถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยระหว่างเธอและพ่อของปอม  แม่โกรธมาก  พวกเขาทะเลาะกันเสียงดังจนทำปอมสะดุ้งตื่นออกมาดูสถานการณ์  ภาพที่เห็นคือแม่กับผู้หญิงคนนั้นกำลังจิกหัวตบตีกันจนข้าวของพังเสียหาย  เด็กชายโตพอจะแก้ปัญหา  เขาโทรเรียกน้าสาวที่อยู่บ้านตรงข้ามให้มาช่วย  และผู้หญิงคนนั้นก็หนีออกไปทันทีที่เห็นว่าแม่มีพวก  

    เช้าวันถัดมาเป็นวันอาทิตย์  ปอมที่ตั้งใจจะนอนตื่นสายถูกปลุกด้วยเสียงทะเลาะกันดังสนั่นของพ่อและแม่  ปอมได้ยินว่าแม่โทรไปประจานวีรกรรมของผู้หญิงคนนั้นให้คนรู้จักในบริษัทเดียวกับพ่อฟัง  และก็ได้รับข้อมูลเบื้องลึกกลับมามากทีเดียว  พ่อโกรธที่แม่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้น  และแม่ก็ตะโกนบอกว่าตัวเองเสียใจแค่ไหนกับสิ่งที่พ่อทำ  นี่ไม่ใช่ครั้งแรก  เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนแม่ไปต่างประเทศกับบริษัท พ่อถึงกับแอบพาผู้หญิงอื่นมานอนในบ้านให้ลูกเห็นด้วยซ้ำ

    “หือ”  ปอมชะงักกึก  เขารู้สึกสะกิดใจกับเรื่องที่ตัวเองเล่า

    “มีอะไร” เด็กหญิงถาม  ตอนนี้เธอน้ำตารื้นพอๆ  กับเขา  ทว่าในแววตาเหมือนจะเศร้ายิ่งกว่าปอมเสียอีก

    ปอมสูดลมหายใจ “เราเพิ่งเอะใจ  แม่บอกว่าพ่อเคยแอบพาผู้หญิงคนอื่นมานอนในบ้านเมื่อสิบสี่สองก่อน...แม่พูดมาชัดเจนเลยว่าสิบสองปีก่อน  แถมยังบอกว่าลูกเห็นอีก” เด็กชายขมวดคิ้ว “แสดงว่าตอนนั้นเรายังเป็นทารกอยู่เลยนะ  ถ้าพ่อแอบจริง ถึงเราเห็นเราก็เอาไปฟ้องแม่ไม่ได้หรอก” ปอมคาดเดาตามความคิดของตน

    “นายกำลังจะบอกว่า  นายไม่มีทางเป็นลูกที่ได้เห็นพ่อตัวเองเอาผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่มาอยู่ในบ้านเหรอ”

    “ก็มันต้องเป็นแบบนั้นนี่”  ปอมพยักหน้า “แม่อาจจะจำวันเดือนปีผิด”

    เด็กหญิงเงียบไปสักพัก “...ใช่ล่ะมั้ง” เธอว่า “แล้วยังไงต่อล่ะ  ทำไมแม่ถึงเข้าโรง’บาล  โดนทำร้ายร่างกายเหรอ?”

    ปอมก้มหน้า คำถามนั้นทำให้เขานึกถึงภาพที่พ่อคว้าเอาพจนานุกรมเล่มหนาฟาดลงกลางหัวแม่  ก่อนจะกระทืบซ้ำไปหลายที  เขาควรจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากน้าอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับตกใจมากจนขาแข็งไปหมด  กว่าจะตั้งสติได้แม่ก็นอนนิ่งไปเสียแล้ว

    เมื่อเห็นว่าปอมไม่ตอบ  เด็กหญิงก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ  ปล่อยให้เขาจมอยู่กับความคิดตัวเองพักใหญ่  กระทั่งกลิ่นไอฝนเริ่มลอยมาปะทะจมูก  เธอจึงลุกขึ้นยืนพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม  แบบเดียวกับทุกครั้งที่ถึงเวลาแยกย้ายกลับบ้าน

    “นี่...ปอม” เด็กหญิงเรียก “วันอาทิตย์นี้นายว่างใช่ไหม”

    ปอมพยักหน้ารับ  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนถาม สงสัยว่าต้องการจะพูดอะไร

    “มาหาเราให้ได้นะ” เธอพูด  “เราบอกไปแล้วว่าปีนี้เราจะได้เจอกันเป็นปีสุดท้าย  นายอยากรู้อะไรเราจะบอกให้หมดทุกอย่าง...ถือเป็นของขวัญวันลา”

    ปอมตกใจมากที่ได้ยินแบบนั้น เขาผุดลุกขึ้นและกะจะถามอะไรต่อ  แต่เด็กหญิงก็วิ่งหนีหายไปเสียแล้ว...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่