29 สิงหาคม 2550
นี่ก็เป็นอีกวันที่เพื่อนๆ เห็น ‘ปอม’ รีบยัดของทุกอย่างใส่ลงกระเป๋าเป้และวิ่งออกนอกห้องทันทีที่กริ่งเลิกเรียนดัง เนื่องจากเด็กชายไม่มีเพื่อนสนิท ใครหลายคนจึงเดาสุ่มต่างๆ นาๆ ว่าปอมรีบไปร้านเกมบ้างล่ะ รีบไปติวหนังสือตามที่แม่สั่งบ้างล่ะ หรือร้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นล้อเลียนกันขำๆ ว่ารีบไปกินยาแก้โรคประสาท ไม่ให้ทำร้ายร่างกายใครเหมือนอย่างที่พ่อปอมเคยทำกับแม่ของเขาจนเข้าเมื่อเดือนก่อน
ปอมรู้ว่าต้องมีคนนินทาเขาลับหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามไม่สนเพราะถูกสอนโดย ‘เธอคนนั้น’ ว่าการไปรับเอาขี้ปากคนอื่นมาเก็บไว้ในใจก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า แถมยังเสียสุขภาพจิตอีก
คำพูดประชดประชันที่ถูกเอ่ยพร้อมน้ำเสียงติดตลกนั่นเขาจำได้ไม่ลืม เพราะเป็นคำพูดแรกที่เธอใช้เข้ามาทักทายเขาตอนเจอกันครั้งแรกแทนคำว่าสวัสดี เด็กชายไม่รู้หรอกว่าเธอมาจากไหน แต่เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ยอมเป็นเพื่อนกับคนพูดน้อยแถมยังคุยไม่เก่งอย่างเขา
“มาไวจัง” เด็กหญิงทักทันทีที่เห็นปอมวิ่งเขามาในสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียน
เด็กชายยิ้มเขินๆ “ก็...เธอมาเจอเราได้ไม่กี่วันนี่ แถมเราต้องรีบกลับบ้านด้วย”
ปอมนั่งลงบนชิงช้าข้างเธอคนนั้น หยิบน้ำขึ้นมาจิบแก้กระหายโดยไม่รู้ว่ากำลังถูกมอง
“นาย...โดนต่อยมาเหรอ” เด็กหญิงถามเสียงเป็นห่วง “อีกแล้ว”
ปอมชะงักกึก ก่อนจะลดขวดน้ำลง “อื้อ...ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ” เขาแสร้งยิ้ม แล้วลูบรอยช้ำบนหัวคิ้วด้านซ้าย
อีกฝ่ายถอนหายใจ “นายอยู่เงียบๆ ไปวันๆ อย่างที่ต้องการไม่ได้หรอกนะ” เธอสอน “น่าจะเรียนรู้ได้แล้วว่าพวกเด็กไม่ดีมันชอบมาแหย่คนแบบนาย”
“แล้วจะให้ทำยังไง...”
“หาเพื่อนสิ” เด็กหญิงแทรกทันที “หาคนเกาะกลุ่มด้วย อย่าอยู่ตัวคนเดียว อย่าทำตัวจืดจางในตอนที่คนอื่นเขามีชีวิตชีวา แบบที่นายเป็นอยู่นั่นล่ะที่ดึงดูดให้พวกนั้นมาแกล้ง”
ปอมจ้องคนตรงหน้า เขาก็คิดเสมอว่าเด็กหญิงคนนี้น่าจะอายุเท่าเขาแท้ๆ แต่คำพูดคำจาของเธอกลับโตเกินวัย
“ปีหน้าเราก็ม.1 แล้ว” เด็กชายเปลี่ยนเรื่อง “ต้องย้ายโรงเรียน ไม่รู้ว่าจะได้เจอเธออีกหรือเปล่า” เขาพูดจบก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ เสียเอง นึกโทษสมองที่ดันสั่งให้พูดถึงเรื่องนี้
“ก็คงไม่ได้เจออีกแล้วล่ะ” คนตรงหน้าหัวเราะเสียงใส “หกปีแล้วนะที่เรารู้จักกัน มันพอแล้วล่ะ”
“พอที่ไหน! เธอมาเจอเราได้แค่ปีละ 4 วัน แถมได้คุยกันแค่วันละครึ่งชั่วโมงเองนะ” ปอมเถียงทันที
เด็กหญิงยิ้ม ไม่แสดงอาการโกรธที่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ “นายโตแล้วปอม นายจะอยู่กับเราไปตลอดไม่ได้”
“ทำไม”
“ก็เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องเข้มแข็งไง จำที่เราสอนได้ป่าว ว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำ ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้” เธอยิ้มแย้มขณะพูด “วันนี้โดนต่อยมาเรื่องอะไร เล่าให้ฟังได้ไหม”
ปอมเงยหน้ามองฟ้า พอรู้สึกเมื่อยคอก็ก้มลงมามองคู่สนทนาใหม่ เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา แต่สิ่งที่ปอมรู้เกี่ยวกับเธอนั้นแทบไม่มี ปอมไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักบ้าน ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร รู้เพียงเธออยู่ในโรงเรียน และออกมาเจอเขาได้แค่ปลายเดือนสิงหาคมของทุกปีก็เท่านั้น เขาจำได้ว่าเคยพยายามถามความเป็นมาของเธอตั้งแต่ปีแรกที่เจอกัน แต่คำตอบที่ได้รับก็เป็นความทรงจำลางๆ เหมือนกลุ่มหมอกในหัวสมอง อะไรบางอย่างสั่งให้ปอมไม่พยายามหาคำตอบอีก บางครั้งมันเลยทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนเธอเป็น 'เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน' มากกว่า
“เรานั่งอยู่เงียบๆ แล้วโจ้ก็เดินมาถามหาสมุดคณิตที่มันทำหายเอง...”
ปอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง การเป็นคนอ่อนแอที่สุดในห้อง และเป็นคนที่เพื่อนๆ มักโยนความผิดให้เป็นปัญหาที่เขาเจอซ้ำๆ จนความเศร้ามันอัดแน่นอยู่ภายในหัวใจ แต่เมื่อปอมได้เจอเธอ เขาจะเล่าปัญหาทุกข์ใจตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาวันละสองสามเรื่องให้ฟัง และภูเขาสีเทาหม่นทั้งลูกก็ถูกยกออกไปจากอกทันที นี่คงจะเป็นสาเหตุที่แม้ปอมจะรักสันโดษและไม่มีเพื่อนในห้อง แต่เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นหัวเราะไม่เป็น
30 สิงหาคม 2550
“วันเสาร์นี้เรากะจะแอบมาหาเธอ แต่น้าบอกว่าต้องไปทำบุญที่ต่างจังหวัด” ปอมบอกขณะนั่งไกวชิงช้าไปมา และเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “เป็นอะไร”
เด็กหญิงสะดุ้ง เป็นครั้งแรกที่ปอมเห็นเธอเหม่อลอย “เปล่า...ไม่มีอะไร”
เด็กชายจ้องคู่สนทนา เขาจับโกหกเก่งนะ...พวกเพื่อนในห้องชอบมาอ้อนวอนหลอกใช้เขาทำโน่นทำนี่ให้ ปอมเคยเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพียงเพื่อจะช่วยปั่นการบ้านของคนห้าคนให้ทันภายในหนึ่งคืน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่คำขอบคุณ ปอมจึงเรียนรู้แล้วพัฒนาตัวเอง เขาแทบจะอ่านใจคนจากสีหน้าได้เลย
“มีปัญหากับพ่อแม่เหรอ” เด็กชายเดา
อีกฝ่ายส่ายหน้า “...นายย้ายไปอยู่กับน้าแล้วเหรอ” เธอเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่ แค่ชั่วคราวน่ะ...ลืมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลยแฮะ” ปอมก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด เธอเคยบอกว่าอยากรู้ทุกเรื่องในชีวิตเขา แต่ปอมก็มัวเล่าเรื่องไร้สาระตลอดสองวันที่ผ่านมา “แม่เรานอนโรงพยาบาลมาสองเดือนแล้วล่ะ” เขาเล่าถึงเรื่องที่พ่อแท้ๆ ทำชีวิตครอบครัวเกือบพังทลาย เริ่มจากคืนหนึ่ง พ่อกลับมาบ้านในสภาพเมาไม่ได้สติ คนที่มาส่งเป็นหญิงสาวที่ทำงานบริษัทเดียวกัน เธอเป็นคนลากพ่อลงจากรถแท็กซี่ กดกริ่งเรียกและช่วยแม่ลากร่างของชายหัวหน้าครอบครัวเข้าไปนอนในบ้าน ก่อนจะเริ่มคุยกันถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยระหว่างเธอและพ่อของปอม แม่โกรธมาก พวกเขาทะเลาะกันเสียงดังจนทำปอมสะดุ้งตื่นออกมาดูสถานการณ์ ภาพที่เห็นคือแม่กับผู้หญิงคนนั้นกำลังจิกหัวตบตีกันจนข้าวของพังเสียหาย เด็กชายโตพอจะแก้ปัญหา เขาโทรเรียกน้าสาวที่อยู่บ้านตรงข้ามให้มาช่วย และผู้หญิงคนนั้นก็หนีออกไปทันทีที่เห็นว่าแม่มีพวก
เช้าวันถัดมาเป็นวันอาทิตย์ ปอมที่ตั้งใจจะนอนตื่นสายถูกปลุกด้วยเสียงทะเลาะกันดังสนั่นของพ่อและแม่ ปอมได้ยินว่าแม่โทรไปประจานวีรกรรมของผู้หญิงคนนั้นให้คนรู้จักในบริษัทเดียวกับพ่อฟัง และก็ได้รับข้อมูลเบื้องลึกกลับมามากทีเดียว พ่อโกรธที่แม่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้น และแม่ก็ตะโกนบอกว่าตัวเองเสียใจแค่ไหนกับสิ่งที่พ่อทำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนแม่ไปต่างประเทศกับบริษัท พ่อถึงกับแอบพาผู้หญิงอื่นมานอนในบ้านให้ลูกเห็นด้วยซ้ำ
“หือ” ปอมชะงักกึก เขารู้สึกสะกิดใจกับเรื่องที่ตัวเองเล่า
“มีอะไร” เด็กหญิงถาม ตอนนี้เธอน้ำตารื้นพอๆ กับเขา ทว่าในแววตาเหมือนจะเศร้ายิ่งกว่าปอมเสียอีก
ปอมสูดลมหายใจ “เราเพิ่งเอะใจ แม่บอกว่าพ่อเคยแอบพาผู้หญิงคนอื่นมานอนในบ้านเมื่อสิบสี่สองก่อน...แม่พูดมาชัดเจนเลยว่าสิบสองปีก่อน แถมยังบอกว่าลูกเห็นอีก” เด็กชายขมวดคิ้ว “แสดงว่าตอนนั้นเรายังเป็นทารกอยู่เลยนะ ถ้าพ่อแอบจริง ถึงเราเห็นเราก็เอาไปฟ้องแม่ไม่ได้หรอก” ปอมคาดเดาตามความคิดของตน
“นายกำลังจะบอกว่า นายไม่มีทางเป็นลูกที่ได้เห็นพ่อตัวเองเอาผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่มาอยู่ในบ้านเหรอ”
“ก็มันต้องเป็นแบบนั้นนี่” ปอมพยักหน้า “แม่อาจจะจำวันเดือนปีผิด”
เด็กหญิงเงียบไปสักพัก “...ใช่ล่ะมั้ง” เธอว่า “แล้วยังไงต่อล่ะ ทำไมแม่ถึงเข้าโรง’บาล โดนทำร้ายร่างกายเหรอ?”
ปอมก้มหน้า คำถามนั้นทำให้เขานึกถึงภาพที่พ่อคว้าเอาพจนานุกรมเล่มหนาฟาดลงกลางหัวแม่ ก่อนจะกระทืบซ้ำไปหลายที เขาควรจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากน้าอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับตกใจมากจนขาแข็งไปหมด กว่าจะตั้งสติได้แม่ก็นอนนิ่งไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าปอมไม่ตอบ เด็กหญิงก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ ปล่อยให้เขาจมอยู่กับความคิดตัวเองพักใหญ่ กระทั่งกลิ่นไอฝนเริ่มลอยมาปะทะจมูก เธอจึงลุกขึ้นยืนพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม แบบเดียวกับทุกครั้งที่ถึงเวลาแยกย้ายกลับบ้าน
“นี่...ปอม” เด็กหญิงเรียก “วันอาทิตย์นี้นายว่างใช่ไหม”
ปอมพยักหน้ารับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนถาม สงสัยว่าต้องการจะพูดอะไร
“มาหาเราให้ได้นะ” เธอพูด “เราบอกไปแล้วว่าปีนี้เราจะได้เจอกันเป็นปีสุดท้าย นายอยากรู้อะไรเราจะบอกให้หมดทุกอย่าง...ถือเป็นของขวัญวันลา”
ปอมตกใจมากที่ได้ยินแบบนั้น เขาผุดลุกขึ้นและกะจะถามอะไรต่อ แต่เด็กหญิงก็วิ่งหนีหายไปเสียแล้ว...
(เรื่องสั้น) เพื่อนของปอม
นี่ก็เป็นอีกวันที่เพื่อนๆ เห็น ‘ปอม’ รีบยัดของทุกอย่างใส่ลงกระเป๋าเป้และวิ่งออกนอกห้องทันทีที่กริ่งเลิกเรียนดัง เนื่องจากเด็กชายไม่มีเพื่อนสนิท ใครหลายคนจึงเดาสุ่มต่างๆ นาๆ ว่าปอมรีบไปร้านเกมบ้างล่ะ รีบไปติวหนังสือตามที่แม่สั่งบ้างล่ะ หรือร้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นล้อเลียนกันขำๆ ว่ารีบไปกินยาแก้โรคประสาท ไม่ให้ทำร้ายร่างกายใครเหมือนอย่างที่พ่อปอมเคยทำกับแม่ของเขาจนเข้าเมื่อเดือนก่อน
ปอมรู้ว่าต้องมีคนนินทาเขาลับหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามไม่สนเพราะถูกสอนโดย ‘เธอคนนั้น’ ว่าการไปรับเอาขี้ปากคนอื่นมาเก็บไว้ในใจก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า แถมยังเสียสุขภาพจิตอีก
คำพูดประชดประชันที่ถูกเอ่ยพร้อมน้ำเสียงติดตลกนั่นเขาจำได้ไม่ลืม เพราะเป็นคำพูดแรกที่เธอใช้เข้ามาทักทายเขาตอนเจอกันครั้งแรกแทนคำว่าสวัสดี เด็กชายไม่รู้หรอกว่าเธอมาจากไหน แต่เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ยอมเป็นเพื่อนกับคนพูดน้อยแถมยังคุยไม่เก่งอย่างเขา
“มาไวจัง” เด็กหญิงทักทันทีที่เห็นปอมวิ่งเขามาในสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียน
เด็กชายยิ้มเขินๆ “ก็...เธอมาเจอเราได้ไม่กี่วันนี่ แถมเราต้องรีบกลับบ้านด้วย”
ปอมนั่งลงบนชิงช้าข้างเธอคนนั้น หยิบน้ำขึ้นมาจิบแก้กระหายโดยไม่รู้ว่ากำลังถูกมอง
“นาย...โดนต่อยมาเหรอ” เด็กหญิงถามเสียงเป็นห่วง “อีกแล้ว”
ปอมชะงักกึก ก่อนจะลดขวดน้ำลง “อื้อ...ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ” เขาแสร้งยิ้ม แล้วลูบรอยช้ำบนหัวคิ้วด้านซ้าย
อีกฝ่ายถอนหายใจ “นายอยู่เงียบๆ ไปวันๆ อย่างที่ต้องการไม่ได้หรอกนะ” เธอสอน “น่าจะเรียนรู้ได้แล้วว่าพวกเด็กไม่ดีมันชอบมาแหย่คนแบบนาย”
“แล้วจะให้ทำยังไง...”
“หาเพื่อนสิ” เด็กหญิงแทรกทันที “หาคนเกาะกลุ่มด้วย อย่าอยู่ตัวคนเดียว อย่าทำตัวจืดจางในตอนที่คนอื่นเขามีชีวิตชีวา แบบที่นายเป็นอยู่นั่นล่ะที่ดึงดูดให้พวกนั้นมาแกล้ง”
ปอมจ้องคนตรงหน้า เขาก็คิดเสมอว่าเด็กหญิงคนนี้น่าจะอายุเท่าเขาแท้ๆ แต่คำพูดคำจาของเธอกลับโตเกินวัย
“ปีหน้าเราก็ม.1 แล้ว” เด็กชายเปลี่ยนเรื่อง “ต้องย้ายโรงเรียน ไม่รู้ว่าจะได้เจอเธออีกหรือเปล่า” เขาพูดจบก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ เสียเอง นึกโทษสมองที่ดันสั่งให้พูดถึงเรื่องนี้
“ก็คงไม่ได้เจออีกแล้วล่ะ” คนตรงหน้าหัวเราะเสียงใส “หกปีแล้วนะที่เรารู้จักกัน มันพอแล้วล่ะ”
“พอที่ไหน! เธอมาเจอเราได้แค่ปีละ 4 วัน แถมได้คุยกันแค่วันละครึ่งชั่วโมงเองนะ” ปอมเถียงทันที
เด็กหญิงยิ้ม ไม่แสดงอาการโกรธที่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ “นายโตแล้วปอม นายจะอยู่กับเราไปตลอดไม่ได้”
“ทำไม”
“ก็เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องเข้มแข็งไง จำที่เราสอนได้ป่าว ว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำ ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้” เธอยิ้มแย้มขณะพูด “วันนี้โดนต่อยมาเรื่องอะไร เล่าให้ฟังได้ไหม”
ปอมเงยหน้ามองฟ้า พอรู้สึกเมื่อยคอก็ก้มลงมามองคู่สนทนาใหม่ เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา แต่สิ่งที่ปอมรู้เกี่ยวกับเธอนั้นแทบไม่มี ปอมไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักบ้าน ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร รู้เพียงเธออยู่ในโรงเรียน และออกมาเจอเขาได้แค่ปลายเดือนสิงหาคมของทุกปีก็เท่านั้น เขาจำได้ว่าเคยพยายามถามความเป็นมาของเธอตั้งแต่ปีแรกที่เจอกัน แต่คำตอบที่ได้รับก็เป็นความทรงจำลางๆ เหมือนกลุ่มหมอกในหัวสมอง อะไรบางอย่างสั่งให้ปอมไม่พยายามหาคำตอบอีก บางครั้งมันเลยทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนเธอเป็น 'เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน' มากกว่า
“เรานั่งอยู่เงียบๆ แล้วโจ้ก็เดินมาถามหาสมุดคณิตที่มันทำหายเอง...”
ปอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง การเป็นคนอ่อนแอที่สุดในห้อง และเป็นคนที่เพื่อนๆ มักโยนความผิดให้เป็นปัญหาที่เขาเจอซ้ำๆ จนความเศร้ามันอัดแน่นอยู่ภายในหัวใจ แต่เมื่อปอมได้เจอเธอ เขาจะเล่าปัญหาทุกข์ใจตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาวันละสองสามเรื่องให้ฟัง และภูเขาสีเทาหม่นทั้งลูกก็ถูกยกออกไปจากอกทันที นี่คงจะเป็นสาเหตุที่แม้ปอมจะรักสันโดษและไม่มีเพื่อนในห้อง แต่เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นหัวเราะไม่เป็น
30 สิงหาคม 2550
“วันเสาร์นี้เรากะจะแอบมาหาเธอ แต่น้าบอกว่าต้องไปทำบุญที่ต่างจังหวัด” ปอมบอกขณะนั่งไกวชิงช้าไปมา และเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “เป็นอะไร”
เด็กหญิงสะดุ้ง เป็นครั้งแรกที่ปอมเห็นเธอเหม่อลอย “เปล่า...ไม่มีอะไร”
เด็กชายจ้องคู่สนทนา เขาจับโกหกเก่งนะ...พวกเพื่อนในห้องชอบมาอ้อนวอนหลอกใช้เขาทำโน่นทำนี่ให้ ปอมเคยเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพียงเพื่อจะช่วยปั่นการบ้านของคนห้าคนให้ทันภายในหนึ่งคืน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่คำขอบคุณ ปอมจึงเรียนรู้แล้วพัฒนาตัวเอง เขาแทบจะอ่านใจคนจากสีหน้าได้เลย
“มีปัญหากับพ่อแม่เหรอ” เด็กชายเดา
อีกฝ่ายส่ายหน้า “...นายย้ายไปอยู่กับน้าแล้วเหรอ” เธอเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่ แค่ชั่วคราวน่ะ...ลืมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลยแฮะ” ปอมก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด เธอเคยบอกว่าอยากรู้ทุกเรื่องในชีวิตเขา แต่ปอมก็มัวเล่าเรื่องไร้สาระตลอดสองวันที่ผ่านมา “แม่เรานอนโรงพยาบาลมาสองเดือนแล้วล่ะ” เขาเล่าถึงเรื่องที่พ่อแท้ๆ ทำชีวิตครอบครัวเกือบพังทลาย เริ่มจากคืนหนึ่ง พ่อกลับมาบ้านในสภาพเมาไม่ได้สติ คนที่มาส่งเป็นหญิงสาวที่ทำงานบริษัทเดียวกัน เธอเป็นคนลากพ่อลงจากรถแท็กซี่ กดกริ่งเรียกและช่วยแม่ลากร่างของชายหัวหน้าครอบครัวเข้าไปนอนในบ้าน ก่อนจะเริ่มคุยกันถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยระหว่างเธอและพ่อของปอม แม่โกรธมาก พวกเขาทะเลาะกันเสียงดังจนทำปอมสะดุ้งตื่นออกมาดูสถานการณ์ ภาพที่เห็นคือแม่กับผู้หญิงคนนั้นกำลังจิกหัวตบตีกันจนข้าวของพังเสียหาย เด็กชายโตพอจะแก้ปัญหา เขาโทรเรียกน้าสาวที่อยู่บ้านตรงข้ามให้มาช่วย และผู้หญิงคนนั้นก็หนีออกไปทันทีที่เห็นว่าแม่มีพวก
เช้าวันถัดมาเป็นวันอาทิตย์ ปอมที่ตั้งใจจะนอนตื่นสายถูกปลุกด้วยเสียงทะเลาะกันดังสนั่นของพ่อและแม่ ปอมได้ยินว่าแม่โทรไปประจานวีรกรรมของผู้หญิงคนนั้นให้คนรู้จักในบริษัทเดียวกับพ่อฟัง และก็ได้รับข้อมูลเบื้องลึกกลับมามากทีเดียว พ่อโกรธที่แม่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้น และแม่ก็ตะโกนบอกว่าตัวเองเสียใจแค่ไหนกับสิ่งที่พ่อทำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนแม่ไปต่างประเทศกับบริษัท พ่อถึงกับแอบพาผู้หญิงอื่นมานอนในบ้านให้ลูกเห็นด้วยซ้ำ
“หือ” ปอมชะงักกึก เขารู้สึกสะกิดใจกับเรื่องที่ตัวเองเล่า
“มีอะไร” เด็กหญิงถาม ตอนนี้เธอน้ำตารื้นพอๆ กับเขา ทว่าในแววตาเหมือนจะเศร้ายิ่งกว่าปอมเสียอีก
ปอมสูดลมหายใจ “เราเพิ่งเอะใจ แม่บอกว่าพ่อเคยแอบพาผู้หญิงคนอื่นมานอนในบ้านเมื่อสิบสี่สองก่อน...แม่พูดมาชัดเจนเลยว่าสิบสองปีก่อน แถมยังบอกว่าลูกเห็นอีก” เด็กชายขมวดคิ้ว “แสดงว่าตอนนั้นเรายังเป็นทารกอยู่เลยนะ ถ้าพ่อแอบจริง ถึงเราเห็นเราก็เอาไปฟ้องแม่ไม่ได้หรอก” ปอมคาดเดาตามความคิดของตน
“นายกำลังจะบอกว่า นายไม่มีทางเป็นลูกที่ได้เห็นพ่อตัวเองเอาผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่มาอยู่ในบ้านเหรอ”
“ก็มันต้องเป็นแบบนั้นนี่” ปอมพยักหน้า “แม่อาจจะจำวันเดือนปีผิด”
เด็กหญิงเงียบไปสักพัก “...ใช่ล่ะมั้ง” เธอว่า “แล้วยังไงต่อล่ะ ทำไมแม่ถึงเข้าโรง’บาล โดนทำร้ายร่างกายเหรอ?”
ปอมก้มหน้า คำถามนั้นทำให้เขานึกถึงภาพที่พ่อคว้าเอาพจนานุกรมเล่มหนาฟาดลงกลางหัวแม่ ก่อนจะกระทืบซ้ำไปหลายที เขาควรจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากน้าอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับตกใจมากจนขาแข็งไปหมด กว่าจะตั้งสติได้แม่ก็นอนนิ่งไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าปอมไม่ตอบ เด็กหญิงก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ ปล่อยให้เขาจมอยู่กับความคิดตัวเองพักใหญ่ กระทั่งกลิ่นไอฝนเริ่มลอยมาปะทะจมูก เธอจึงลุกขึ้นยืนพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม แบบเดียวกับทุกครั้งที่ถึงเวลาแยกย้ายกลับบ้าน
“นี่...ปอม” เด็กหญิงเรียก “วันอาทิตย์นี้นายว่างใช่ไหม”
ปอมพยักหน้ารับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนถาม สงสัยว่าต้องการจะพูดอะไร
“มาหาเราให้ได้นะ” เธอพูด “เราบอกไปแล้วว่าปีนี้เราจะได้เจอกันเป็นปีสุดท้าย นายอยากรู้อะไรเราจะบอกให้หมดทุกอย่าง...ถือเป็นของขวัญวันลา”
ปอมตกใจมากที่ได้ยินแบบนั้น เขาผุดลุกขึ้นและกะจะถามอะไรต่อ แต่เด็กหญิงก็วิ่งหนีหายไปเสียแล้ว...