พล๊อตสำคัญในหนังเรื่อง Arrival คือการที่มนุษย์ต่างดาว มาเยื่อนโลกเพื่อถ่ายทอดภาษาของตัวเองให้ ซึ่งภาษาของมนุษย์ต่างดาวหมึก 7 ขา Heptapod ในเรื่องนี้ เป็นภาษาเขียนที่ปล่อยออกมาเป็นหมึกลอยบนอากาศมีลักษณะเป็นวงแหวน และ สามารถสื่อประโยคได้ทั้งประโยคในวงแหวน เพื่อให้มนุษย์สามารถพัฒนาการคิดขึ้นไปได้ถึงระดับพวก Heptapod ซึ่งสามารถเข้าใจ Concept ของเวลาได้ก้าวหน้ากว่า วิธีการสื่อสารของ Heptapod ข้อมูลจะส่งออกมาทั้งหมดรอบเดียวไม่จำกัดด้วยลำดับเวลา และทำให้มนุษย์ที่เข้าใจวิธีใช้ภาษาแบบนี้ สามารถคิดถึงเวลาในลักษณะ relativity ได้เหนือกว่าเดิม
พล็อตหนังเรื่อง Arrival นี้ เอามาจาก สมมุติฐานของ Sapir Whorf ที่ว่า ความคิดของคนผูกพันและถูกจำกัดด้วยภาษา แม้ว่าสมมุติฐานนี้จะถูกถล่มอย่างหนักโดยนักวิชาการชื่อดังอย่าง นอม ชอมสกี้ แต่มันก็มีประพิมประพายของหลักการที่น่าจะเข้าเค้าอยู่ไม่น้อยนะ
edward sapir (ซ้าย) และ benjamin whorf (ขวา) ผู้ตั้งสมมุติฐานความสัมพันธ์ระหว่างสติปัญญาและภาษาที่ใช้
ในแต่ละภาษาจะมี องค์ความรู้ ประสบการณ์ และ วัฒนธรรม ฝังอยู่ เวลาแปลงานเขียนข้ามภาษา เราจะไม่สามารถแปลคำต่อคำ คำอุปมา อุปมาน คำพ้อง นัยยะจะมีการจะสูญหายเมื่อมีการแปลข้ามภาษา และเมื่อลงไปถึงระดับมูลฐานของภาษา เราอาจพูดโดยไม่คิด แต่เราไม่อาจคิดโดยไม่มีภาษา[1] ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียน ดังนั้นภาษาจึงเป็นรากฐานของความคิด ซึ่ง ส่วนที่เป็นโครงสร้างสำคัญที่สุดของภาษาที่มีผลต่อความคิดตามสมมุติฐานของ Sapir Whorf คือส่วนไวยากรณ์ ไม่ใช่ตัวนามซึ่งสามารถยืมกันข้ามภาษาได้
ความพยายามของ Louis Bank นักภาษาศาสตร์ในเรื่องที่ค่อยๆสร้างฐานความรู้ศัพท์พื้นฐานและไวยากรณ์ เพื่อใช้ในการสื่อสารให้ถูกต้อง
ในแง่มุมดังกล่าว คณิตศาสตร์ ก็อาจถือเป็นภาษาของมันภาษาหนึ่ง โดยไวยากรณ์ของคณิตศาสตร์ก็อาจเทียบได้กับ Operator ต่างที่ที่เราจะกระทำกับจำนวน การที่คนจะมีความรู้ในไวยากรณ์ เช่น เวคเตอร์โอเปอเรเตอร์ ก็จะมีความสามารถที่จะคิดถึง Space time ที่มีตั้งแต่ 3-4 มิติได้อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถสื่อสารความคิดในระดับ 3-4 มิตินี้ได้เพียงแค่การเขียนออกมาเป็นสมการ ซึ่งสำหรับคนที่ใช้ภาษาปรกติ การอธิบายสโคปที่มีพลวัติการเคลื่อนไหวทั้งด้านกว้าง ด้านยาว ด้านลึก และการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา อาจต้องใช้การอุปมาและพรรณาอย่างยืดยาวเพื่อทดแทนสิ่งที่สามารถแสดงได้ด้วยไวยากรณ์ทางคณิตศาสตร์ตัวอักษรเดียว และความคิดของคนที่อยู่นอกภาษาคณิตศาสตร์ ก็จะมีมิติความคิดบางด้านที่แคบมากด้วยขีดจำกัดภาษาที่ใช้ ตรงนี้ บางทีก็อาจเป็นเหตุผลนึงที่พวกโปรแกรมเมอร์รำคาญจะพูดกับมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆเพราะมันต้องพรรณากันยาวเหยียดหวังให้เราเข้าใจทั้งที่สิ่งที่เขาคิดเขียนด้วยภาษา C อาจมีแค่ 3 บรรทัด
ในการพยายามสื่อสารกับสิ่งมีชีวิต 7 หนวดนี้ Louis Bank นักภาษาศาสตร์ ต้องค่อยๆสร้างฐานความรู้ศัพท์พื้นฐานและไวยากรณ์ เพื่อใช้ในการสื่อสารให้ถูกต้อง โดยเหตุผลนั้นก็มีหลักฐานรองรับจากโลกแห่งความเป็นจริงว่า นาม หรือ กริยา ของแต่ละภาษาสามารถมีความหมายได้หลากหลาย คำบางคำอาจพ้องรูปแต่ต่างบริบทมีความหมายต่างกัน และบางคำก็พ้องเสียง อ่านเหมือนกันแต่สะกดต่างกัน แม้ว่าคำถามที่มนุษย์ต้องการรู้จะมีแค่ว่า “พวกเอ็งมาทำไม” ถ้าไม่มีฐานคำศัพท์สำหรับทวนถาม หรือ บรรยาย เราอาจแปลความหมายผิดกันไปได้สุดกู่[2] แต่ถึงขนาดนั้นในหนังเองหลังจากที่แต่ละทีมนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้แปลคำศัพท์ของพวก heptapod ออกมาแล้วพอสมควร พอถามว่ามาทำไม ก็กลายเป็นว่า พวกมันมาเพือมอบ “อาวุธ” ให้มนุษย์เสียนี่ เลยทำให้หนังได้กลายเป็นดราม่ายาวเกือบ 2 ชั่วโมงสมใจผู้กำกับไปเลย
สื่อสารไม่ดีก็ได้สงครามอย่างเนี้ย
สำหรับเรื่องคำศัพท์ “อาวุธ” ของมนุษย์ต่างดาวนี้ ผมคิดสันนิฐานว่า อาวุธของ heptapod อาจมีความหมายพ้องกับคำว่า Tool หรือเครืองมือ โดยอาจเกี่ยวข้อกับวิวัฒนาการทางสังคมของพวกมัน ซึ่งถ้าเปรียบกับพวกเรา ในสังคมเมือง สังคมธุรกิจ อาวุธ อาจหมายถึงสื่อ ความรู้ ทุนทรัพย์ที่สามารถระดมมาห้ำหั่นทางสงครามธุรกิจ และเมื่อสังคมนั้นห่างหายจากสงครามนานพอ ศัพท์พื้นฐานที่เคยแบ่งแยกระหว่างอาวุธกับเครื่องมือก็เลือนหายไป อย่างเช่นในภาษาไทย เราสามารถพูดหว่านแหโดยที่เราอาจไม่เคยจับแหจับอวนมาทั้งชีวิตแต่ในยุคสมัยหนึ่ง มันสามารถเปรียบเปรยการใช้เครื่องมือชนิดนี้และใครๆในสมัยนั้นก็รู้และเข้าใจได้ทันที
ในการสร้างภาษาของมนุษย์ต่างดาว Heptapod ทีมผู้สร้างต้องการสร้างความรู้สึกที่เปิดมิติใหม่ของการรับรู้ควรค่ากับพล็อตที่อิง Sapir Whorf Hypothesis และสิ่งที่ได้ออกมาคือวงแหวนที่ไม่มีจุดเริ่มต้น และ จุดสิ้นสุด เป็นภาษาที่สื่อออกมาทั้งประโยคพร้อมกันทีเดียว
ผมคิดว่า คนที่ดูก็คงจะสงสัยว่า ภาษาของมนุษย์ต่างดาวนี่ มันมีความหมายจริงๆหรือไม่ เพราะมันดูสมจริงเกินไปกว่าที่จะเป็นแค่การทำกราฟฟิกมั่วๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะเป็น Art work ลงตัวมากกว่าที่มันจะเป็นสิ่งที่เกิดจากการคิดจากมนุษย์สายวิทยาศาสตร์จะทำได้ ซึ่ง ก็เข้าใจได้ถูกต้องแล้ว การสร้างภาษามนุษย์ต่างดาวในหนังเรื่อง Arrival นี้ หลังจากที่ศิลปินได้ทำอาร์ตเวิร์คออกมา ทางทีมผู้สร้างได้เชิญ Stephen Wolfram ผู้ที่สร้างแอพลิเคชั่น Mathematica และ Wolfram Alpha (ที่วิดสิวะเกรียนได้อาศัยช่วยงานคำนวณที่ตัวเองหลงๆลืมๆไปเยอะมาก) มาร่วมในการพัฒนา โดย Logogram หรือ ภาษาสัญลักษณ์ทรงวงแหวนนี้ มีแนวคิด 2 ทาง คือการให้ความหมาย และจำลองการตีความหมาย หรือวิธีการที่ Loise ตามท้องเรื่องจะใช้ในการศึกษาและตีความหมายออกมา
ในการหาความหมาย จุดสำคัญคือการมองหา Pattern เมื่อรูปแบบมีการใช้ซ้ำก็แสดงว่า Pattern นั้นน่าจะเป็น “คำ” ที่ใช้ประกอบขึ้นมาเป็นประโยค และค่อยๆแยกรายละเอียดไปยังคงค์ประกอบของเส้นให้ได้มาซึ่งคำศัพท์พื้นฐาน
ในการพัฒนาภาษานี้ ทาง Wolfram มองว่า มันสามารถแบ่งชิ้นงานออกได้เป็น 12 ส่วน และทีมงานก็ค่อยๆใส่ความหมายให้กับแต่ละเส้น หยด ลวดลาย จนถึง ความหนาความบาง ก็ใส่ความหมายเปรียบได้กับโทนเสียงแสดงอารมณ์แบบพูดเรื่อยๆและพูดใส่อารมณ์ มีติ่งหยดหมึกที่ใส่เข้าไปเพื่อแสดงว่าเป็นคำถาม โดยทีมงานได้สร้างศัพท์พื้นฐานจำนวนประมาณ 100 กว่าคำ
ทางทีมงานที่พัฒนาภาษานี้กล่าวว่า ณ ตอนนั้นพวกเขามีเครื่องมือพร้อมสำหรับการสร้างภาษาใหม่นี้ให้เสร็จสมบูรณ์อย่างเพียบพร้อม ขอแค่ มีความอดทนสักนิด และเวลาสักหน่อย ซึ่งการทำหนังก็คงรอไม่ได้ขนาดนั้น[3]
อ้างอิง
[1] http://www.academia.edu/8248630/The_Sapir-Whorf_Hypothesis_The_limits_of_our_language_are_the_limits_of_our_thoughts
[2] http://www.wired.co.uk/article/arrival-science-fact-fiction
[3] https://www.wired.com/2016/11/arrivals-designers-crafted-mesmerizing-alien-alphabet/
วิทยาศาสตร์ของหนัง Arrival (มีสปอลย์)
พล๊อตสำคัญในหนังเรื่อง Arrival คือการที่มนุษย์ต่างดาว มาเยื่อนโลกเพื่อถ่ายทอดภาษาของตัวเองให้ ซึ่งภาษาของมนุษย์ต่างดาวหมึก 7 ขา Heptapod ในเรื่องนี้ เป็นภาษาเขียนที่ปล่อยออกมาเป็นหมึกลอยบนอากาศมีลักษณะเป็นวงแหวน และ สามารถสื่อประโยคได้ทั้งประโยคในวงแหวน เพื่อให้มนุษย์สามารถพัฒนาการคิดขึ้นไปได้ถึงระดับพวก Heptapod ซึ่งสามารถเข้าใจ Concept ของเวลาได้ก้าวหน้ากว่า วิธีการสื่อสารของ Heptapod ข้อมูลจะส่งออกมาทั้งหมดรอบเดียวไม่จำกัดด้วยลำดับเวลา และทำให้มนุษย์ที่เข้าใจวิธีใช้ภาษาแบบนี้ สามารถคิดถึงเวลาในลักษณะ relativity ได้เหนือกว่าเดิม
พล็อตหนังเรื่อง Arrival นี้ เอามาจาก สมมุติฐานของ Sapir Whorf ที่ว่า ความคิดของคนผูกพันและถูกจำกัดด้วยภาษา แม้ว่าสมมุติฐานนี้จะถูกถล่มอย่างหนักโดยนักวิชาการชื่อดังอย่าง นอม ชอมสกี้ แต่มันก็มีประพิมประพายของหลักการที่น่าจะเข้าเค้าอยู่ไม่น้อยนะ
ในแต่ละภาษาจะมี องค์ความรู้ ประสบการณ์ และ วัฒนธรรม ฝังอยู่ เวลาแปลงานเขียนข้ามภาษา เราจะไม่สามารถแปลคำต่อคำ คำอุปมา อุปมาน คำพ้อง นัยยะจะมีการจะสูญหายเมื่อมีการแปลข้ามภาษา และเมื่อลงไปถึงระดับมูลฐานของภาษา เราอาจพูดโดยไม่คิด แต่เราไม่อาจคิดโดยไม่มีภาษา[1] ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียน ดังนั้นภาษาจึงเป็นรากฐานของความคิด ซึ่ง ส่วนที่เป็นโครงสร้างสำคัญที่สุดของภาษาที่มีผลต่อความคิดตามสมมุติฐานของ Sapir Whorf คือส่วนไวยากรณ์ ไม่ใช่ตัวนามซึ่งสามารถยืมกันข้ามภาษาได้
ในแง่มุมดังกล่าว คณิตศาสตร์ ก็อาจถือเป็นภาษาของมันภาษาหนึ่ง โดยไวยากรณ์ของคณิตศาสตร์ก็อาจเทียบได้กับ Operator ต่างที่ที่เราจะกระทำกับจำนวน การที่คนจะมีความรู้ในไวยากรณ์ เช่น เวคเตอร์โอเปอเรเตอร์ ก็จะมีความสามารถที่จะคิดถึง Space time ที่มีตั้งแต่ 3-4 มิติได้อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถสื่อสารความคิดในระดับ 3-4 มิตินี้ได้เพียงแค่การเขียนออกมาเป็นสมการ ซึ่งสำหรับคนที่ใช้ภาษาปรกติ การอธิบายสโคปที่มีพลวัติการเคลื่อนไหวทั้งด้านกว้าง ด้านยาว ด้านลึก และการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา อาจต้องใช้การอุปมาและพรรณาอย่างยืดยาวเพื่อทดแทนสิ่งที่สามารถแสดงได้ด้วยไวยากรณ์ทางคณิตศาสตร์ตัวอักษรเดียว และความคิดของคนที่อยู่นอกภาษาคณิตศาสตร์ ก็จะมีมิติความคิดบางด้านที่แคบมากด้วยขีดจำกัดภาษาที่ใช้ ตรงนี้ บางทีก็อาจเป็นเหตุผลนึงที่พวกโปรแกรมเมอร์รำคาญจะพูดกับมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆเพราะมันต้องพรรณากันยาวเหยียดหวังให้เราเข้าใจทั้งที่สิ่งที่เขาคิดเขียนด้วยภาษา C อาจมีแค่ 3 บรรทัด
ในการพยายามสื่อสารกับสิ่งมีชีวิต 7 หนวดนี้ Louis Bank นักภาษาศาสตร์ ต้องค่อยๆสร้างฐานความรู้ศัพท์พื้นฐานและไวยากรณ์ เพื่อใช้ในการสื่อสารให้ถูกต้อง โดยเหตุผลนั้นก็มีหลักฐานรองรับจากโลกแห่งความเป็นจริงว่า นาม หรือ กริยา ของแต่ละภาษาสามารถมีความหมายได้หลากหลาย คำบางคำอาจพ้องรูปแต่ต่างบริบทมีความหมายต่างกัน และบางคำก็พ้องเสียง อ่านเหมือนกันแต่สะกดต่างกัน แม้ว่าคำถามที่มนุษย์ต้องการรู้จะมีแค่ว่า “พวกเอ็งมาทำไม” ถ้าไม่มีฐานคำศัพท์สำหรับทวนถาม หรือ บรรยาย เราอาจแปลความหมายผิดกันไปได้สุดกู่[2] แต่ถึงขนาดนั้นในหนังเองหลังจากที่แต่ละทีมนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้แปลคำศัพท์ของพวก heptapod ออกมาแล้วพอสมควร พอถามว่ามาทำไม ก็กลายเป็นว่า พวกมันมาเพือมอบ “อาวุธ” ให้มนุษย์เสียนี่ เลยทำให้หนังได้กลายเป็นดราม่ายาวเกือบ 2 ชั่วโมงสมใจผู้กำกับไปเลย
สำหรับเรื่องคำศัพท์ “อาวุธ” ของมนุษย์ต่างดาวนี้ ผมคิดสันนิฐานว่า อาวุธของ heptapod อาจมีความหมายพ้องกับคำว่า Tool หรือเครืองมือ โดยอาจเกี่ยวข้อกับวิวัฒนาการทางสังคมของพวกมัน ซึ่งถ้าเปรียบกับพวกเรา ในสังคมเมือง สังคมธุรกิจ อาวุธ อาจหมายถึงสื่อ ความรู้ ทุนทรัพย์ที่สามารถระดมมาห้ำหั่นทางสงครามธุรกิจ และเมื่อสังคมนั้นห่างหายจากสงครามนานพอ ศัพท์พื้นฐานที่เคยแบ่งแยกระหว่างอาวุธกับเครื่องมือก็เลือนหายไป อย่างเช่นในภาษาไทย เราสามารถพูดหว่านแหโดยที่เราอาจไม่เคยจับแหจับอวนมาทั้งชีวิตแต่ในยุคสมัยหนึ่ง มันสามารถเปรียบเปรยการใช้เครื่องมือชนิดนี้และใครๆในสมัยนั้นก็รู้และเข้าใจได้ทันที
ในการสร้างภาษาของมนุษย์ต่างดาว Heptapod ทีมผู้สร้างต้องการสร้างความรู้สึกที่เปิดมิติใหม่ของการรับรู้ควรค่ากับพล็อตที่อิง Sapir Whorf Hypothesis และสิ่งที่ได้ออกมาคือวงแหวนที่ไม่มีจุดเริ่มต้น และ จุดสิ้นสุด เป็นภาษาที่สื่อออกมาทั้งประโยคพร้อมกันทีเดียว
ผมคิดว่า คนที่ดูก็คงจะสงสัยว่า ภาษาของมนุษย์ต่างดาวนี่ มันมีความหมายจริงๆหรือไม่ เพราะมันดูสมจริงเกินไปกว่าที่จะเป็นแค่การทำกราฟฟิกมั่วๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะเป็น Art work ลงตัวมากกว่าที่มันจะเป็นสิ่งที่เกิดจากการคิดจากมนุษย์สายวิทยาศาสตร์จะทำได้ ซึ่ง ก็เข้าใจได้ถูกต้องแล้ว การสร้างภาษามนุษย์ต่างดาวในหนังเรื่อง Arrival นี้ หลังจากที่ศิลปินได้ทำอาร์ตเวิร์คออกมา ทางทีมผู้สร้างได้เชิญ Stephen Wolfram ผู้ที่สร้างแอพลิเคชั่น Mathematica และ Wolfram Alpha (ที่วิดสิวะเกรียนได้อาศัยช่วยงานคำนวณที่ตัวเองหลงๆลืมๆไปเยอะมาก) มาร่วมในการพัฒนา โดย Logogram หรือ ภาษาสัญลักษณ์ทรงวงแหวนนี้ มีแนวคิด 2 ทาง คือการให้ความหมาย และจำลองการตีความหมาย หรือวิธีการที่ Loise ตามท้องเรื่องจะใช้ในการศึกษาและตีความหมายออกมา
ในการหาความหมาย จุดสำคัญคือการมองหา Pattern เมื่อรูปแบบมีการใช้ซ้ำก็แสดงว่า Pattern นั้นน่าจะเป็น “คำ” ที่ใช้ประกอบขึ้นมาเป็นประโยค และค่อยๆแยกรายละเอียดไปยังคงค์ประกอบของเส้นให้ได้มาซึ่งคำศัพท์พื้นฐาน
ในการพัฒนาภาษานี้ ทาง Wolfram มองว่า มันสามารถแบ่งชิ้นงานออกได้เป็น 12 ส่วน และทีมงานก็ค่อยๆใส่ความหมายให้กับแต่ละเส้น หยด ลวดลาย จนถึง ความหนาความบาง ก็ใส่ความหมายเปรียบได้กับโทนเสียงแสดงอารมณ์แบบพูดเรื่อยๆและพูดใส่อารมณ์ มีติ่งหยดหมึกที่ใส่เข้าไปเพื่อแสดงว่าเป็นคำถาม โดยทีมงานได้สร้างศัพท์พื้นฐานจำนวนประมาณ 100 กว่าคำ
ทางทีมงานที่พัฒนาภาษานี้กล่าวว่า ณ ตอนนั้นพวกเขามีเครื่องมือพร้อมสำหรับการสร้างภาษาใหม่นี้ให้เสร็จสมบูรณ์อย่างเพียบพร้อม ขอแค่ มีความอดทนสักนิด และเวลาสักหน่อย ซึ่งการทำหนังก็คงรอไม่ได้ขนาดนั้น[3]
อ้างอิง
[1] http://www.academia.edu/8248630/The_Sapir-Whorf_Hypothesis_The_limits_of_our_language_are_the_limits_of_our_thoughts
[2] http://www.wired.co.uk/article/arrival-science-fact-fiction
[3] https://www.wired.com/2016/11/arrivals-designers-crafted-mesmerizing-alien-alphabet/