ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นในแปซิฟิก ฝ่ายสหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาใหญ่คือฝ่ายญี่ปุ่นสามารถถอดรหัสข้อความที่ส่งผ่านวิทยุได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การวางแผนทางยุทธศาสตร์เป็นไปอย่างยากลำบากและอันตราย
.
1. ปัญหาการสื่อสารที่คุกคามชีวิต
หน่วยข่าวกรองของญี่ปุ่นเก่งกาจในการถอดรหัสมาก ทุกรหัสที่สหรัฐฯ คิดค้นขึ้นมาสามารถถูกถอดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ข้อความสั่งการลับต้องส่งซ้ำ ๆ ด้วยรหัสที่ต่างกัน สร้างความล่าช้าและสับสน
.
2. วิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนใคร
นายทหารกองกำลังนาวิกโยธิน (Marines) คนหนึ่งชื่อ ฟิลิป จอห์นสตัน (Philip Johnston) ซึ่งเติบโตในเขตสงวนอินเดียนแดงนาวาโฮ ได้เสนอความคิดที่เรียบง่ายแต่ชาญฉลาดโดยการใช้ภาษาของชนพื้นเมืองอเมริกัน
ภาษา นาวาโฮ (Navajo) เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเป็นโค้ดลับ เนื่องจาก
✔️ความซับซ้อน: โครงสร้างภาษาและไวยากรณ์มีความซับซ้อนมาก
✔️ความโดดเด่น: เป็นภาษาที่พูดและเข้าใจกันเฉพาะในกลุ่มชาวนาวาโฮ
✔️ไม่มีใครเคยบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย แม้แต่นักภาษาศาสตร์เยอรมันก็ยังไม่รู้จักภาษานี้
ด้วยเหตุนี้กองทัพนาวิกโยธินได้เกณฑ์ชายหนุ่มชาวนาวาโฮกว่า 400 คนเข้าร่วมโครงการพิเศษนี้
.
3. การสร้าง "โค้ดในโค้ด" (A Code within a Code)
นักพูดโค้ดนาวาโฮไม่ได้แค่พูดภาษานาวาโฮเฉย ๆ แต่พวกเขาสร้างระบบรหัสลับชั้นที่สอง โดยใช้คำในภาษานาวาโฮแทนคำศัพท์ทางการทหารของภาษาอังกฤษ พวกเขาไม่ได้มีคำศัพท์ในภาษานาวาโฮสำหรับคำอย่าง "เครื่องบินทิ้งระเบิด" หรือ "เรือดำน้ำ" ในการเข้ารหัสแต่พวกเขาจะใช้คำนาวาโฮที่คล้ายเสียงหรือความหมายแทน ตัวอย่างเช่น
😵💫เรือดำน้ำ (Submarine): ใช้คำว่า Lo-Mo ที่แปลว่า "ปลาเหล็ก"
😵💫เครื่องบินทิ้งระเบิด (Bomber): ใช้คำว่า Jay-Sho ที่แปลว่า "นกเหยี่ยว"
เครื่องบินขับไล่ (Fighter Plane): ใช้คำว่า Da-He-Ti-Hi ที่แปลว่า "นกฮัมมิ่งเบิร์ด"
😵💫คำสะกด (Spelling): หากต้องสะกดชื่อสถานที่ พวกเขาจะใช้คำนาวาโฮที่หมายถึงสัตว์หรือสิ่งของแทนตัวอักษรภาษาอังกฤษ (เช่น "A" ใช้คำว่า Wol-La-Chee แปลว่า "มด")
.
4. ผลลัพธ์: การพลิกเกมในแปซิฟิก
นักพูดโค้ดสามารถเข้ารหัส ส่ง และถอดรหัสข้อความได้ภายในเวลาเพียง 20 วินาที ซึ่งเร็วกว่าการเข้ารหัสและถอดรหัสด้วยเครื่องจักรถึงหลายเท่าและโค้ดนาวาโฮไม่เคยถูกถอดรหัสโดยกองทัพญี่ปุ่นเลยตลอดช่วงสงคราม
โค้ดนาวาโฮมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนและสื่อสารในยุทธการสำคัญ ๆ ในแปซิฟิก เช่น ยุทธการอิโวจิมา (Iwo Jima) ที่ซึ่งพวกเขาถ่ายทอดข้อความกว่า 800 ข้อความอย่างสมบูรณ์แบบภายใน 48 ชั่วโมงแรกของการรบ
.
โครงการนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดแม้กระทั่งหลังสงครามสิ้นสุดลง จนกระทั่งปี 1968 รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้เปิดเผยเรื่องราวของวีรบุรุษเหล่านี้ และมีการมอบเหรียญเกียรติยศระดับสูงให้พวกเขาในภายหลัง
เรื่องราวของนักพูดโค้ดนาวาโฮแสดงให้เห็นว่า บางครั้ง ภูมิปัญญาดั้งเดิม ก็เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเทคโนโลยีใด ๆ ครับ
ขอขอบคุณเพจตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่องจากเฟซบุ๊คที่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลนะครับ
ตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่อง
🌊 โค้ดลับที่ไม่เคยถูกถอดรหัส: นักพูดโค้ดนาวาโฮ (Navajo Code Talkers)
.
1. ปัญหาการสื่อสารที่คุกคามชีวิต
หน่วยข่าวกรองของญี่ปุ่นเก่งกาจในการถอดรหัสมาก ทุกรหัสที่สหรัฐฯ คิดค้นขึ้นมาสามารถถูกถอดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ข้อความสั่งการลับต้องส่งซ้ำ ๆ ด้วยรหัสที่ต่างกัน สร้างความล่าช้าและสับสน
.
2. วิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนใคร
นายทหารกองกำลังนาวิกโยธิน (Marines) คนหนึ่งชื่อ ฟิลิป จอห์นสตัน (Philip Johnston) ซึ่งเติบโตในเขตสงวนอินเดียนแดงนาวาโฮ ได้เสนอความคิดที่เรียบง่ายแต่ชาญฉลาดโดยการใช้ภาษาของชนพื้นเมืองอเมริกัน
ภาษา นาวาโฮ (Navajo) เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเป็นโค้ดลับ เนื่องจาก
✔️ความซับซ้อน: โครงสร้างภาษาและไวยากรณ์มีความซับซ้อนมาก
✔️ความโดดเด่น: เป็นภาษาที่พูดและเข้าใจกันเฉพาะในกลุ่มชาวนาวาโฮ
✔️ไม่มีใครเคยบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย แม้แต่นักภาษาศาสตร์เยอรมันก็ยังไม่รู้จักภาษานี้
ด้วยเหตุนี้กองทัพนาวิกโยธินได้เกณฑ์ชายหนุ่มชาวนาวาโฮกว่า 400 คนเข้าร่วมโครงการพิเศษนี้
.
3. การสร้าง "โค้ดในโค้ด" (A Code within a Code)
นักพูดโค้ดนาวาโฮไม่ได้แค่พูดภาษานาวาโฮเฉย ๆ แต่พวกเขาสร้างระบบรหัสลับชั้นที่สอง โดยใช้คำในภาษานาวาโฮแทนคำศัพท์ทางการทหารของภาษาอังกฤษ พวกเขาไม่ได้มีคำศัพท์ในภาษานาวาโฮสำหรับคำอย่าง "เครื่องบินทิ้งระเบิด" หรือ "เรือดำน้ำ" ในการเข้ารหัสแต่พวกเขาจะใช้คำนาวาโฮที่คล้ายเสียงหรือความหมายแทน ตัวอย่างเช่น
😵💫เรือดำน้ำ (Submarine): ใช้คำว่า Lo-Mo ที่แปลว่า "ปลาเหล็ก"
😵💫เครื่องบินทิ้งระเบิด (Bomber): ใช้คำว่า Jay-Sho ที่แปลว่า "นกเหยี่ยว"
เครื่องบินขับไล่ (Fighter Plane): ใช้คำว่า Da-He-Ti-Hi ที่แปลว่า "นกฮัมมิ่งเบิร์ด"
😵💫คำสะกด (Spelling): หากต้องสะกดชื่อสถานที่ พวกเขาจะใช้คำนาวาโฮที่หมายถึงสัตว์หรือสิ่งของแทนตัวอักษรภาษาอังกฤษ (เช่น "A" ใช้คำว่า Wol-La-Chee แปลว่า "มด")
.
4. ผลลัพธ์: การพลิกเกมในแปซิฟิก
นักพูดโค้ดสามารถเข้ารหัส ส่ง และถอดรหัสข้อความได้ภายในเวลาเพียง 20 วินาที ซึ่งเร็วกว่าการเข้ารหัสและถอดรหัสด้วยเครื่องจักรถึงหลายเท่าและโค้ดนาวาโฮไม่เคยถูกถอดรหัสโดยกองทัพญี่ปุ่นเลยตลอดช่วงสงคราม
โค้ดนาวาโฮมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนและสื่อสารในยุทธการสำคัญ ๆ ในแปซิฟิก เช่น ยุทธการอิโวจิมา (Iwo Jima) ที่ซึ่งพวกเขาถ่ายทอดข้อความกว่า 800 ข้อความอย่างสมบูรณ์แบบภายใน 48 ชั่วโมงแรกของการรบ
.
โครงการนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดแม้กระทั่งหลังสงครามสิ้นสุดลง จนกระทั่งปี 1968 รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้เปิดเผยเรื่องราวของวีรบุรุษเหล่านี้ และมีการมอบเหรียญเกียรติยศระดับสูงให้พวกเขาในภายหลัง
เรื่องราวของนักพูดโค้ดนาวาโฮแสดงให้เห็นว่า บางครั้ง ภูมิปัญญาดั้งเดิม ก็เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเทคโนโลยีใด ๆ ครับ
ขอขอบคุณเพจตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่องจากเฟซบุ๊คที่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลนะครับ
ตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่อง