พอดี วันสองวันมานี้ อยู่ๆ ก็สะอึกๆๆๆๆ หลายรอบ ทำให้เกิดความสงสัย เลยลองเซิจหาข้อมูล สาเหตุที่ทำให้สะอึกดู
ได้ข้อมูลมาคร่าวๆ ทำให้พอเห็นภาพว่า น่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้างและเราจะทำยังไงให้มันหยุดสะอึก( หยุดเถอะ สะอึกจนเหนื่อยละ )
เลยอยากนำมาแบ่งปันครับ ^^
“สะอึก” มีสาเหตุมาจาก การหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่าง ช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นอาการที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากมีอะไรไปรบกวนระบบประสามที่ควบคุมการทำงานของกระบังลม ซึ่งอาการ “สะอึก” นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
แต่หากสะอึกอยู่นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ หรือสะอึกในขณะนอนหลับ อาจต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น
คนส่วนใหญ่มักจะสะอึกหลังจากการรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไป หรือรับประทานอาหารที่ทำให้มีก๊าซมาก บางคนอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่มากเกินไป บางคนที่มีความตึงเครียดมากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุของการสะอึกได้
--// กลไกการ”สะอึก” //--
ขณะที่หายใจเข้า กะบังลมอยู่ตอนล่างของช่องอกจะเคลื่อนลงล่าง ทำให้ปอดขยายตัว และดึงดูดให้อากาศเข้าปอด
กระบังลมเกิดการกระตุก ทำให้ลมหายใจตีกลับขึ้นข้างบน ขณะที่ลิ้นกล่องเสียงปิด ตัดกระแสลม ทำให้เกิดเสียงสะอึกขึ้น
และเมื่อลิ้นกล่องเสียงเปิด กะบังลมคลายตัว และลมหายใจออกจากปอด
--// การรักษาอาการ “สะอึก” //--
1. ถ้าการสะอึกนั้นเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่นานแต่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเดาได้ว่า เกิดจากการรับประทานอาหารดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือการสูบ
บุหรี่ ก็ควรปรับปรุงพฤติกรรมการกิจเหล่านั้น หรือถ้าเป็น เป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์
2. กลั้นหายใจโดยการนับ 1-10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำทันที่หรือหายใจลึกๆ กลั้ยหายใจ หายใจในถุง 3-5 นาที่ การกลั้นหายใจ เป็นการเริ่มต้น การ
หายใจใหม่เพื่อให้การหายใจของเรากลับมาเป็นปกติ
3. กลั้วน้ำในลำคอ จิบน้ำเย็นจัด ดื่มน้ำเย็นจัดช้าๆ โดยดื่มตลอดเวลา และกลืนติดๆๆกันไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการสะอึกจะหาย หรือจนกลั้นหายใจไม่ได้
4. เขี่ยภายในรูจมูกให้จาม
5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือกลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง หรือก้อนน้ำแข็งเล็กๆ
6. ทำให้เกิดอารมร์รุนแรง เช่น โกรธ ตื่นเต้น หรือกลัว
7. ถ้าเป็นเด็กควรอุ้มใส่บ่า แล้วใช้มือลูบที่หลังเบาๆ
วิธีการต่างๆเหล่านี้เป็นวิธีการสำหรับแก้ไขอาการสะอึก เบื้องต้นที่เกิดขึ้นเป็นเวลาไม่นาน แต่ถ้าลองทำวิธีต่างๆเหล่านี้แล้วยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาตามวิธีของแพทย์ต่อไป
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากหลายๆวิธีที่สามารถทำให้หยุดๆๆสะอึกได้จากที่กล่าวมาด้านบน ..ผมก็หยิบมาลองดูซักวิธี เจอข้อ 2. ที่ให้กลั้นหายใจ อะ ดูเข้าท่า วิธีนี้เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง ..ก็ลองเลย กลั้นหายใจ นับไป 1-10 แล้วหายใจออก ยังไม่หาย อะ ลองอีกที กลั้นหายใจ นับไป 1-10 แล้วหายใจออก แล้ว จิบน้ำเย็นตามทันที ทีนะนิดๆ ....โอ้ว !! เย้ หายแล้ววว สะอึกซะเหนื่อยเลย ^^ ครับ เลยอยากมาแบ่งปัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ประสบปัญหาเดียวกันนี้นะครับ
ปล. ถ้าเพื่อนๆ มีวิธีไหนเด็ดๆ ที่เคยลองทำแล้วหาย " สะอึก " เอามาแชร์กันครับ ^O^
ข้อมูลจาก
http://www.bangkokhealth.com/health/article/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B8%81-758
http://blog.janthai.com/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B8%81-1060.html
ทำไมเรา สะอึก ? ..แล้วแก้ยังไงดี
ได้ข้อมูลมาคร่าวๆ ทำให้พอเห็นภาพว่า น่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้างและเราจะทำยังไงให้มันหยุดสะอึก( หยุดเถอะ สะอึกจนเหนื่อยละ )
เลยอยากนำมาแบ่งปันครับ ^^
“สะอึก” มีสาเหตุมาจาก การหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่าง ช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นอาการที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากมีอะไรไปรบกวนระบบประสามที่ควบคุมการทำงานของกระบังลม ซึ่งอาการ “สะอึก” นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
แต่หากสะอึกอยู่นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ หรือสะอึกในขณะนอนหลับ อาจต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น
คนส่วนใหญ่มักจะสะอึกหลังจากการรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไป หรือรับประทานอาหารที่ทำให้มีก๊าซมาก บางคนอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่มากเกินไป บางคนที่มีความตึงเครียดมากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุของการสะอึกได้
--// กลไกการ”สะอึก” //--
ขณะที่หายใจเข้า กะบังลมอยู่ตอนล่างของช่องอกจะเคลื่อนลงล่าง ทำให้ปอดขยายตัว และดึงดูดให้อากาศเข้าปอด
กระบังลมเกิดการกระตุก ทำให้ลมหายใจตีกลับขึ้นข้างบน ขณะที่ลิ้นกล่องเสียงปิด ตัดกระแสลม ทำให้เกิดเสียงสะอึกขึ้น
และเมื่อลิ้นกล่องเสียงเปิด กะบังลมคลายตัว และลมหายใจออกจากปอด
--// การรักษาอาการ “สะอึก” //--
1. ถ้าการสะอึกนั้นเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่นานแต่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเดาได้ว่า เกิดจากการรับประทานอาหารดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือการสูบ
บุหรี่ ก็ควรปรับปรุงพฤติกรรมการกิจเหล่านั้น หรือถ้าเป็น เป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์
2. กลั้นหายใจโดยการนับ 1-10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำทันที่หรือหายใจลึกๆ กลั้ยหายใจ หายใจในถุง 3-5 นาที่ การกลั้นหายใจ เป็นการเริ่มต้น การ
หายใจใหม่เพื่อให้การหายใจของเรากลับมาเป็นปกติ
3. กลั้วน้ำในลำคอ จิบน้ำเย็นจัด ดื่มน้ำเย็นจัดช้าๆ โดยดื่มตลอดเวลา และกลืนติดๆๆกันไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการสะอึกจะหาย หรือจนกลั้นหายใจไม่ได้
4. เขี่ยภายในรูจมูกให้จาม
5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือกลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง หรือก้อนน้ำแข็งเล็กๆ
6. ทำให้เกิดอารมร์รุนแรง เช่น โกรธ ตื่นเต้น หรือกลัว
7. ถ้าเป็นเด็กควรอุ้มใส่บ่า แล้วใช้มือลูบที่หลังเบาๆ
วิธีการต่างๆเหล่านี้เป็นวิธีการสำหรับแก้ไขอาการสะอึก เบื้องต้นที่เกิดขึ้นเป็นเวลาไม่นาน แต่ถ้าลองทำวิธีต่างๆเหล่านี้แล้วยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาตามวิธีของแพทย์ต่อไป
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากหลายๆวิธีที่สามารถทำให้หยุดๆๆสะอึกได้จากที่กล่าวมาด้านบน ..ผมก็หยิบมาลองดูซักวิธี เจอข้อ 2. ที่ให้กลั้นหายใจ อะ ดูเข้าท่า วิธีนี้เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง ..ก็ลองเลย กลั้นหายใจ นับไป 1-10 แล้วหายใจออก ยังไม่หาย อะ ลองอีกที กลั้นหายใจ นับไป 1-10 แล้วหายใจออก แล้ว จิบน้ำเย็นตามทันที ทีนะนิดๆ ....โอ้ว !! เย้ หายแล้ววว สะอึกซะเหนื่อยเลย ^^ ครับ เลยอยากมาแบ่งปัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ประสบปัญหาเดียวกันนี้นะครับ
ปล. ถ้าเพื่อนๆ มีวิธีไหนเด็ดๆ ที่เคยลองทำแล้วหาย " สะอึก " เอามาแชร์กันครับ ^O^
ข้อมูลจาก
http://www.bangkokhealth.com/health/article/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B8%81-758
http://blog.janthai.com/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B8%81-1060.html