ผมเป็นคนปั่นจักรยานเมื่อนานมาแล้วสมัยอยู่ ตจว และพอย้ายกลับมา กทม ก็แทบไม่ได้ปั่นเลยเพราะถนนไม่เอื้ออำนวย
กลับมาเริ่มปั่นอีกครั้งเมื่อประมาณปีที่แล้ว แต่ก็ปั่นได้ไม่นาน ฤดูฝนที่ยาวนานก็ทำให้ผมต้องหยุดปั่นไป
จนปีนี้ เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพอันเกิดมาจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป เลยตัดสินใจกลับมาปั่นจริงจังอีกครั้ง
AUDAX สมัยก่อนยังไม่เคยได้ยินคำนี้ พอกลับมาปั่นจริงจัง ก็เห็นคำนี้ผ่านๆตามเพจในเฟส และใน Pantip นี่แหละ
พอได้ศึกษา จึงเข้าใจว่า มันคือรายการปั่นจักรยานแรลลี่ทางไกลด้วยการพึ่งตัวเอง ไม่เน้นเร็ว ไม่มีอันดับ ขอเพียงเข้าเส้นชัยในเวลากำหนดก็พอ
เออแบบนี้คุยกันได้ เพราะถ้าให้แข่งเอาความเร็ว เอาเวลา คงจะไม่ไหว นน ตัวมากกว่าคนอื่นเกือบสองเท่า แถมรถก็ถูกๆเอง
น้อยสุดเท่าที่เห็นคือ 200 กิโลเมตร นั่นคือเป้าหมายแรกของผม
ลงทุนเปลี่ยนจักรยานใหม่ ค่อยๆเลือกอะไหล่มาประกอบทั้งคัน และพยายามซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เท่าที่ฝนจะไม่ตกนะ
ซ้อมได้ระดับหนึ่ง เลยไปลองเทสตัวเองด้วยการปั่นออกทริปทางไกล
จากไม่เคยปั่นเกิน 100 กิโล ก็ปลดล็อคระยะทาง 100 กิโลได้สำเร็จ โดยที่ไม่เหนื่อยมากมาย
จาก 100 ก็กลายเป็น 120
จาก 120 เป็น 150
จากปั่นกลุ่ม ลองปั่นเดี่ยวดู ว่าจะเอาตัวรอดได้มั้ย
จากออกเช้า ลองออกสายๆดู เพื่อทดสอบว่าปั่นกลางแดดร้อนๆทั้งวัน เป็นยังไง

ผลทั้งหมด คือ สบายๆมากๆเลย

ระยะทางมากที่สุดคือ 157 กิโล จบตอนบ่ายสามกว่าๆ สบายๆไม่หมดสภาพ กลับมายังล้างรถต่อตอนเย็นได้เลย
ดังนั้น AUDAX200 สบายแน่ๆ
ก่อนปั่น เปลี่ยนล้อ+ยาง ใหม่เอาฤกษ์เอาชัยสักหน่อย ราคาไม่แพง เหมาะกับคนจนอย่างเรายิ่งนัก
ไม่สนล้อคาบงคาบอนกับเค้าหรอก น่าจะรับ นน ผมไม่ไหว อีกอย่าง มันอยู่ที่แรงเฟ้ย
(ความจริงคือไม่มีตังซื้อครับ

)


ปรากฏว่า ล้อเดิมลื่นกว่าอีกครับ ถถถ

แต่ก็เข้าใจเพราะล้อมันยังไม่ได้รันอิน
เสียงโม่ไม่ดังเลย วัยรุ่นเซ็ง

นอนดึกไปหน่อยเพราะมันแต่เปลีย่นล้อ กว่าจะได้เข้านอนก็จะห้าทุ่มล่ะ
วันงาน ก็ปกติ แบกรถไปเตรียมตัวปั่น
แต่ ถนนบรมฯเกิดอุบัติเหตุ ทำให้รถเคลื่อนตัวได้ช้า ถึงช้ากว่าที่คิดไว้ ฉุกละหุกพอควร ไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ไปถึงลงทะเบียนเสร็จก็ออกสตาร์ททันที
กะว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะเคยปั่นแบบนี้หลายครั้งแล้ว เคยปั่น 50 โลรวดไม่ได้พักเลยแล้วถึงจะได้พักกินข้าว ดังนั้นครั้งนี้ก็น่าจะเฉยๆแหละ
แรกๆออกตัวก็เกาะกลุ่มกันไป ไมล์ไม่มี(เพราะมช้มือถือแทน) การ์มินไม่มี(ไม่มีตังซื้อ) กะว่าปั่นตามๆเค้าไปก่อน ไม่หลงหรอก มีเพื่อนปั่นเยอะแยะ
ก่อนถึง CP1 ท้องเริ่มว่าง แวะเซเว่นสักหน่อย

ไม่รู้จะกินอะไร ก็กินหนมปังแซนวิช+ไส้กรอก กินง่ายดี
กินเสร็จ ไปต่อ หากลุ่มต่อท้ายไปเรื่อย เก้าโมงนิดๆก็ถึง CP1 ล่ะ ชิวๆมากสบายๆ เติมน้ำ ปั๊มตรา ก็เตรียมไปต่อ

หลังจากนั้น แดดเริ่มมา ปั่นสู้แดดไปเรื่อยๆ ไม่ได้จอดเลย หากลุ่มเกาะเจอแต่ขาแรง ไม่รู้ปั่นเท่าไหร่แต่เคยอ่านมาว่าให้เซฟแรงไว้ ก็ปล่อยหลุดไปก่อน ใครอยากแซง แซงไปโลด เจอ Secret CP ด้วย ถือว่าได้แวะพักไปในตัวแปบนึง ประมาณเกือบๆเที่ยง เข้า CP2 แดดแรงมากๆ

มาถึงก็ยังรู้สึกเฉยๆ รู้แค่ร้อน นั่งพักไปพักนึง มือถือที่เอามาช่วยนำทางก็ร้อนมาก กลัวจะพังเลยย้ายไว้ที่กระเป๋าหลังแทน นั่งกินข้าวมันไก่ที่ CP มีบริการให้(แต่กินไม่ค่อยลงเพราะร้อนและแดดแรงมาก) นอนเอนหลัง กินน้ำเฮลบลูบอย ได้ยินเสียงบ่นเป็นระยะว่าร้อนๆๆๆมากๆๆๆๆ จนท ประจำ CP ประกาศข่าวดีสำหรับคนที่ไปไม่ไหว รถหกล้อมารับแล้วคร้าบบ ในจุดนี้ก็มีคนถอนตัวออกไปพอสมควร คนยังมาถึงไม่มาก จนท พูดให้ฟังว่าเข้ามาแค่ร้อยคันเอง เอ้า พักพอแล้ว เติมน้ำแล้ว กินน้ำกินข้าวแล้ว ไปต่อได้
ดูระยะทาง อีกประมาณ 50 โล ถึง CP3 ตอนแรก กะจะปั่นเหมือนเดิมคือไม่พักเลย ยิงยาวไปพักที่ CP แต่ปั่นไปเรื่อย แดดช่วงบ่ายก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลมก็โต้ทำให้รถหนักขึ้น โต้ไม่ว่าแมร่มมาเป็นลมร้อน ถถถถ ระหว่างทางก็เห็นเพื่อนนักปั่น จอดพักกันเรื่อยๆ จากที่ตั้งใจว่าจะไม่พัก สุดท้ายต้องวางแผนใหม่ พักครั้งนึงแล้วกันครึ่งทางก่อนถึง CP

ตอนนั้นยังไม่รู้สึกเหนื่อยมาก แค่รู้สึก ร้อนเฉยๆ กินน้ำ เติมน้ำ พักพอหายร้อนก็ไปต่อ จุดหมายต่อไปคือ CP3
แต่ก็ยังไปไม่ถึง CP3 อากาศร้อนมากๆๆๆๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่แย่มากเพราะมันร้อนนๆๆๆจริงๆ ลมพัดโต้มาก็มีแต่ลมร้อน ยิ่งเพิ่มความร้อน จากความตั้งใจเดิมว่าจะไม่พัก สุดท้ายก็ต้องพักอีกรอบจนได้

มองเห็นศาลาข้างทางมีนักปั่นพักอยู่สองคัน มีที่ว่างเหลือ จอดเลยละกัน

ระหว่างนอนพัก คุยกับพี่นักปั่นสองท่านที่มาพักก่อน ได้ความว่า ไม่ไปต่อแล้ว เพราะร้อนมาก เดี๋ยวจะไม่ไหว(พี่ท่านหนึ่งอาการไม่ค่อยสู้ดีด้วย) โชคดีแถวนั้นมีร้านค้า พี่เค้าก็เลี่ย้งน้ำผมไปสองขวด(ขอบคุณครับ

) ยิ่งได้ยินว่าพี่เค้าบอกว่าไม่ไปต่อแล้ว ผมก็ลังเล เอาไงไปต่อดีมั้ยนะ
แต่เรามาแล้ว ตั้งใจมาด้วย แถมงานแรกอีกตะหาก ต้องไปต่อ
ร่ำลาพี่ทั้งสองท่าน และออกปั่น จนถึง CP3 ที่เวลาสี่โมงนิดๆ

อาการตอนที่ถึงคือ แย่มาก รู้สึกไม่เคยเหนื่อยอ่อนเพลียอะไรเท่านี้ ผมไม่เคยจอดรถนอนกับพื้น ก็ต้องจอดเรพาะเหนื่อย ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร จนท คงเห็นสภาพผมไม่สู้ดี เดินเข้ามาถาม ไหวมั้ย เอารถมั้ย รอนี่เดี๋ยวรถมารับ เอาน้ำราดตัวก่อนมั้ย หิวมั้ยข้าวมันไก่มีกินได้เลย ผมได้แต่ตอบว่า ครับๆ

เดี๋ยวครับขอแสตมก่อน
แสตมเสร็จ กลับมาเอาขวดน้ำมากินน้ำ นั่งพักอยู่พักใหญ่ กินข้าวมันไก่ กินถัวเขียวต้ม เข้าห้องน้ำ นอนพักแบบเรื่อยเปื่อยมากจนถึงเกือบๆห้าโมง จนถึงเวลาที่คิดว่าต้องไปต่อแล้วล่ะ ก็ลากสังขารตัวเองออกมาปั่นต่อไป
หลังจากนี้เป็นหนังชีวิต

ถึงแม้จะแดดร่มลมตกแล้วแต่ร่างกายอ่อนเพลียมากเหลือเกิน มือถือก็แบตจะหมด(พลาดมาก เพราะไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้ เลยไม่ได้เอา Power bank มาด้วย) โดนแซงตลอดทาง และได้แต่มองไกลๆลิ่วๆว่าเค้าไปทางไหนกัน เพื่อจะได้อุ่นใจว่า กรูยังไม่หลงเฟ้ย ถถถ พยายามเซฟแบตมือถือไว้ ไม่กดดูถ้าไม่จำเป็นเพราะแบตเลหือน้อยมาก จนมาถึงจุดที่คิวชีท น่าจะพิมผิด เพราะผมดูเส้นทางแล้วมันต้องไปอีกทางแต่คิวชีทบอกให้ไปอีกทาง ผมตัดสินใจหยุดพัก นอนบนเก้าอี้ข้างๆร้านน้ำ ท่ามกลางเพื่อนๆนักปั่นที่ผ่านมา กำลังงงกับเส้นทางที่ไม่ตรงในคิวชีท ผมดูมือถือครั้งสุดท้ายเพื่อยืนยันเส้นทางที่ถูกต้อง (แต่เหมือนจะไม่มีใครเชื่อผม) ในที่สุด มือถือผมก็ดับไป พร้อมๆกับแสงตะวันที่ค่อยๆมืดลง ผมนอนพักเงียบๆคนเดียวเพราะท่านอื่นล่วงหน้าไปก่อนหมดแล้ว กะว่านอนพักสักสิบนาทีแล้วซื้อน้ำกินแล้วไปต่อ
ครบสิบนาที ผมลุกเพื่อจะซื้อน้ำเย็นๆหรือโยเกิร์ตกินสักถ้วย อ้าวเฮ้ยร้านปิดไปแล้ว ปิดไปตอนไหนไม่รู้เรื่องเลย เวรกรรม
ผมเดินไปเปิดไฟหน้า ไฟท้าย และปั่นไปต่อ โดยที่ไม่ได้เติมน้ำ คิดในใจว่าไม่เป็นไร อย่างน้อย มันก็ไม่ร้อนแล้วล่ะ
(การที่มือถือแบตหมด ตอนนั้นถือเป็นเรื่องดีอีกอย่างหนึ่ง

คือมันเป็นการกระตุ้นประสาทไปในตัว ต้องคอยมองทาง คอยดูระยะทาง จับเวลา สังเกตเส้นทาง และสอบถามคนพื้นที่ ถ้ามีมือถืออยู่ สิ่งเหล่านี้ผมคงไม่ได้ทำ และมันจะยิ่งทำให้ผมอ่อนเพลียหมดแรงลงง่ายกว่าเดิม)
ช่วงนี้คือช่วงที่พีคที่สุด เพราะแรงกดบันไดแทบจะไม่มี ตะคริวที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็จ้องจะเล่นงานที่น่องทั้งสองข้าง เมื่อยไหล่ เมื่อยแขน เมื่อยคอมาก เมื่อยทั้งตัว ปั่นคนเดียวท่ามกลางความมืด คาบคิวชีทในปาก และถามตลอดทาง เห็นกลุ่มจักรยานมาทางนี้มั้ยคร้าบ เพื่อยืนยันเส้นทางตัวเองว่ายังไม่หลง เพราะผมไม่เหลือแรงพอที่จะหลงแล้ว มีเพื่อนนักปั่น ปั่นแซงไปเป็นระยะ ผมไม่คิดจะปั่นตามเพราะไม่เหลือแรงแล้วจริงๆ ทำได้แค่เหยียบบันไดสี่ถึงห้าครั้งให้รถมันเคลื่อนแล้วฟรีขาปล่อยไหลไป ระยะทางกว่าจะเพิ่มมาแต่ละกิโลช่างยากเย็น ได้แวะอีกครั้งที่กะต๊อบร้านขายน้ำข้างทาง ซื้อน้ำเย็นๆกินไปสองขวด แต่ไม่รู้สึกสดชื่นเลย นั่งพักไม่นานก็ไปต่อคนเดียวท่ามกลางคงวามมืด ภาวนาไม่ให้คิวชีทบอกผิดอีกเพราะมันคือสิ่งเดียวที่ผมมี ถ้าผมไปผิดเส้นทางคือจบกัน
สุดท้ายก็ลากตัวเงอเข้าจุด Finish ได้ทัน ที่เวลา 20.13 หมดสภาพ

เข้าเส้นแล้วโว้ยยย ดีใจมาก
จนถึงวันนี้ ผมยังไม่มีอารมณ์ปั่นเลยครับ 55 จอดไว้ก่อน ขอทำใจแพร้บ
สิ่งที่ได้จาก AUDAX ครั้งนี้คือ การต่อสู้กับจิตใจตัวเอง ช่วงสุดท้ายผมคิดวนเวียนทบทวนถึงเรื่อง DNF ตลอดทาง แต่ต้องพยายามไปต่อให้ได้
ถามว่าไปอีกมั้ย ขอดูก่อน 300 400 600 ยังไม่คิดเลยเพราะ 200 ตอนนี้ยังเกือบไม่รอด ต้องกลับมาทบทวนตัวเองใหม่ว่าทำไมคนอื่นปั่นเข้าแบบสบายๆ และเราพลาดอะไรไป ไว้เจอกันงานหน้ากับ AUDAX200
ถ้าได้ไป ... นะ
ปล.200 อัมพวายังไม่ไป ติดกันไปหน่อย ขวัญยังเสียไม่หายเลย ถถถ
เล่าประสปการณ์ AUDAX ครั้งแรก
กลับมาเริ่มปั่นอีกครั้งเมื่อประมาณปีที่แล้ว แต่ก็ปั่นได้ไม่นาน ฤดูฝนที่ยาวนานก็ทำให้ผมต้องหยุดปั่นไป
จนปีนี้ เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพอันเกิดมาจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป เลยตัดสินใจกลับมาปั่นจริงจังอีกครั้ง
AUDAX สมัยก่อนยังไม่เคยได้ยินคำนี้ พอกลับมาปั่นจริงจัง ก็เห็นคำนี้ผ่านๆตามเพจในเฟส และใน Pantip นี่แหละ
พอได้ศึกษา จึงเข้าใจว่า มันคือรายการปั่นจักรยานแรลลี่ทางไกลด้วยการพึ่งตัวเอง ไม่เน้นเร็ว ไม่มีอันดับ ขอเพียงเข้าเส้นชัยในเวลากำหนดก็พอ
เออแบบนี้คุยกันได้ เพราะถ้าให้แข่งเอาความเร็ว เอาเวลา คงจะไม่ไหว นน ตัวมากกว่าคนอื่นเกือบสองเท่า แถมรถก็ถูกๆเอง
น้อยสุดเท่าที่เห็นคือ 200 กิโลเมตร นั่นคือเป้าหมายแรกของผม
ลงทุนเปลี่ยนจักรยานใหม่ ค่อยๆเลือกอะไหล่มาประกอบทั้งคัน และพยายามซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เท่าที่ฝนจะไม่ตกนะ
ซ้อมได้ระดับหนึ่ง เลยไปลองเทสตัวเองด้วยการปั่นออกทริปทางไกล
จากไม่เคยปั่นเกิน 100 กิโล ก็ปลดล็อคระยะทาง 100 กิโลได้สำเร็จ โดยที่ไม่เหนื่อยมากมาย
จาก 100 ก็กลายเป็น 120
จาก 120 เป็น 150
จากปั่นกลุ่ม ลองปั่นเดี่ยวดู ว่าจะเอาตัวรอดได้มั้ย
จากออกเช้า ลองออกสายๆดู เพื่อทดสอบว่าปั่นกลางแดดร้อนๆทั้งวัน เป็นยังไง
ผลทั้งหมด คือ สบายๆมากๆเลย
ดังนั้น AUDAX200 สบายแน่ๆ
ก่อนปั่น เปลี่ยนล้อ+ยาง ใหม่เอาฤกษ์เอาชัยสักหน่อย ราคาไม่แพง เหมาะกับคนจนอย่างเรายิ่งนัก
ไม่สนล้อคาบงคาบอนกับเค้าหรอก น่าจะรับ นน ผมไม่ไหว อีกอย่าง มันอยู่ที่แรงเฟ้ย
(ความจริงคือไม่มีตังซื้อครับ
ปรากฏว่า ล้อเดิมลื่นกว่าอีกครับ ถถถ
เสียงโม่ไม่ดังเลย วัยรุ่นเซ็ง
นอนดึกไปหน่อยเพราะมันแต่เปลีย่นล้อ กว่าจะได้เข้านอนก็จะห้าทุ่มล่ะ
วันงาน ก็ปกติ แบกรถไปเตรียมตัวปั่น
แต่ ถนนบรมฯเกิดอุบัติเหตุ ทำให้รถเคลื่อนตัวได้ช้า ถึงช้ากว่าที่คิดไว้ ฉุกละหุกพอควร ไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ไปถึงลงทะเบียนเสร็จก็ออกสตาร์ททันที
กะว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะเคยปั่นแบบนี้หลายครั้งแล้ว เคยปั่น 50 โลรวดไม่ได้พักเลยแล้วถึงจะได้พักกินข้าว ดังนั้นครั้งนี้ก็น่าจะเฉยๆแหละ
แรกๆออกตัวก็เกาะกลุ่มกันไป ไมล์ไม่มี(เพราะมช้มือถือแทน) การ์มินไม่มี(ไม่มีตังซื้อ) กะว่าปั่นตามๆเค้าไปก่อน ไม่หลงหรอก มีเพื่อนปั่นเยอะแยะ
ก่อนถึง CP1 ท้องเริ่มว่าง แวะเซเว่นสักหน่อย
ไม่รู้จะกินอะไร ก็กินหนมปังแซนวิช+ไส้กรอก กินง่ายดี
กินเสร็จ ไปต่อ หากลุ่มต่อท้ายไปเรื่อย เก้าโมงนิดๆก็ถึง CP1 ล่ะ ชิวๆมากสบายๆ เติมน้ำ ปั๊มตรา ก็เตรียมไปต่อ
หลังจากนั้น แดดเริ่มมา ปั่นสู้แดดไปเรื่อยๆ ไม่ได้จอดเลย หากลุ่มเกาะเจอแต่ขาแรง ไม่รู้ปั่นเท่าไหร่แต่เคยอ่านมาว่าให้เซฟแรงไว้ ก็ปล่อยหลุดไปก่อน ใครอยากแซง แซงไปโลด เจอ Secret CP ด้วย ถือว่าได้แวะพักไปในตัวแปบนึง ประมาณเกือบๆเที่ยง เข้า CP2 แดดแรงมากๆ
มาถึงก็ยังรู้สึกเฉยๆ รู้แค่ร้อน นั่งพักไปพักนึง มือถือที่เอามาช่วยนำทางก็ร้อนมาก กลัวจะพังเลยย้ายไว้ที่กระเป๋าหลังแทน นั่งกินข้าวมันไก่ที่ CP มีบริการให้(แต่กินไม่ค่อยลงเพราะร้อนและแดดแรงมาก) นอนเอนหลัง กินน้ำเฮลบลูบอย ได้ยินเสียงบ่นเป็นระยะว่าร้อนๆๆๆมากๆๆๆๆ จนท ประจำ CP ประกาศข่าวดีสำหรับคนที่ไปไม่ไหว รถหกล้อมารับแล้วคร้าบบ ในจุดนี้ก็มีคนถอนตัวออกไปพอสมควร คนยังมาถึงไม่มาก จนท พูดให้ฟังว่าเข้ามาแค่ร้อยคันเอง เอ้า พักพอแล้ว เติมน้ำแล้ว กินน้ำกินข้าวแล้ว ไปต่อได้
ดูระยะทาง อีกประมาณ 50 โล ถึง CP3 ตอนแรก กะจะปั่นเหมือนเดิมคือไม่พักเลย ยิงยาวไปพักที่ CP แต่ปั่นไปเรื่อย แดดช่วงบ่ายก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลมก็โต้ทำให้รถหนักขึ้น โต้ไม่ว่าแมร่มมาเป็นลมร้อน ถถถถ ระหว่างทางก็เห็นเพื่อนนักปั่น จอดพักกันเรื่อยๆ จากที่ตั้งใจว่าจะไม่พัก สุดท้ายต้องวางแผนใหม่ พักครั้งนึงแล้วกันครึ่งทางก่อนถึง CP
ตอนนั้นยังไม่รู้สึกเหนื่อยมาก แค่รู้สึก ร้อนเฉยๆ กินน้ำ เติมน้ำ พักพอหายร้อนก็ไปต่อ จุดหมายต่อไปคือ CP3
แต่ก็ยังไปไม่ถึง CP3 อากาศร้อนมากๆๆๆๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่แย่มากเพราะมันร้อนนๆๆๆจริงๆ ลมพัดโต้มาก็มีแต่ลมร้อน ยิ่งเพิ่มความร้อน จากความตั้งใจเดิมว่าจะไม่พัก สุดท้ายก็ต้องพักอีกรอบจนได้
มองเห็นศาลาข้างทางมีนักปั่นพักอยู่สองคัน มีที่ว่างเหลือ จอดเลยละกัน
ระหว่างนอนพัก คุยกับพี่นักปั่นสองท่านที่มาพักก่อน ได้ความว่า ไม่ไปต่อแล้ว เพราะร้อนมาก เดี๋ยวจะไม่ไหว(พี่ท่านหนึ่งอาการไม่ค่อยสู้ดีด้วย) โชคดีแถวนั้นมีร้านค้า พี่เค้าก็เลี่ย้งน้ำผมไปสองขวด(ขอบคุณครับ
แต่เรามาแล้ว ตั้งใจมาด้วย แถมงานแรกอีกตะหาก ต้องไปต่อ
ร่ำลาพี่ทั้งสองท่าน และออกปั่น จนถึง CP3 ที่เวลาสี่โมงนิดๆ
อาการตอนที่ถึงคือ แย่มาก รู้สึกไม่เคยเหนื่อยอ่อนเพลียอะไรเท่านี้ ผมไม่เคยจอดรถนอนกับพื้น ก็ต้องจอดเรพาะเหนื่อย ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร จนท คงเห็นสภาพผมไม่สู้ดี เดินเข้ามาถาม ไหวมั้ย เอารถมั้ย รอนี่เดี๋ยวรถมารับ เอาน้ำราดตัวก่อนมั้ย หิวมั้ยข้าวมันไก่มีกินได้เลย ผมได้แต่ตอบว่า ครับๆ
แสตมเสร็จ กลับมาเอาขวดน้ำมากินน้ำ นั่งพักอยู่พักใหญ่ กินข้าวมันไก่ กินถัวเขียวต้ม เข้าห้องน้ำ นอนพักแบบเรื่อยเปื่อยมากจนถึงเกือบๆห้าโมง จนถึงเวลาที่คิดว่าต้องไปต่อแล้วล่ะ ก็ลากสังขารตัวเองออกมาปั่นต่อไป
หลังจากนี้เป็นหนังชีวิต
ครบสิบนาที ผมลุกเพื่อจะซื้อน้ำเย็นๆหรือโยเกิร์ตกินสักถ้วย อ้าวเฮ้ยร้านปิดไปแล้ว ปิดไปตอนไหนไม่รู้เรื่องเลย เวรกรรม
ผมเดินไปเปิดไฟหน้า ไฟท้าย และปั่นไปต่อ โดยที่ไม่ได้เติมน้ำ คิดในใจว่าไม่เป็นไร อย่างน้อย มันก็ไม่ร้อนแล้วล่ะ
(การที่มือถือแบตหมด ตอนนั้นถือเป็นเรื่องดีอีกอย่างหนึ่ง
ช่วงนี้คือช่วงที่พีคที่สุด เพราะแรงกดบันไดแทบจะไม่มี ตะคริวที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็จ้องจะเล่นงานที่น่องทั้งสองข้าง เมื่อยไหล่ เมื่อยแขน เมื่อยคอมาก เมื่อยทั้งตัว ปั่นคนเดียวท่ามกลางความมืด คาบคิวชีทในปาก และถามตลอดทาง เห็นกลุ่มจักรยานมาทางนี้มั้ยคร้าบ เพื่อยืนยันเส้นทางตัวเองว่ายังไม่หลง เพราะผมไม่เหลือแรงพอที่จะหลงแล้ว มีเพื่อนนักปั่น ปั่นแซงไปเป็นระยะ ผมไม่คิดจะปั่นตามเพราะไม่เหลือแรงแล้วจริงๆ ทำได้แค่เหยียบบันไดสี่ถึงห้าครั้งให้รถมันเคลื่อนแล้วฟรีขาปล่อยไหลไป ระยะทางกว่าจะเพิ่มมาแต่ละกิโลช่างยากเย็น ได้แวะอีกครั้งที่กะต๊อบร้านขายน้ำข้างทาง ซื้อน้ำเย็นๆกินไปสองขวด แต่ไม่รู้สึกสดชื่นเลย นั่งพักไม่นานก็ไปต่อคนเดียวท่ามกลางคงวามมืด ภาวนาไม่ให้คิวชีทบอกผิดอีกเพราะมันคือสิ่งเดียวที่ผมมี ถ้าผมไปผิดเส้นทางคือจบกัน
สุดท้ายก็ลากตัวเงอเข้าจุด Finish ได้ทัน ที่เวลา 20.13 หมดสภาพ
เข้าเส้นแล้วโว้ยยย ดีใจมาก
จนถึงวันนี้ ผมยังไม่มีอารมณ์ปั่นเลยครับ 55 จอดไว้ก่อน ขอทำใจแพร้บ
สิ่งที่ได้จาก AUDAX ครั้งนี้คือ การต่อสู้กับจิตใจตัวเอง ช่วงสุดท้ายผมคิดวนเวียนทบทวนถึงเรื่อง DNF ตลอดทาง แต่ต้องพยายามไปต่อให้ได้
ถามว่าไปอีกมั้ย ขอดูก่อน 300 400 600 ยังไม่คิดเลยเพราะ 200 ตอนนี้ยังเกือบไม่รอด ต้องกลับมาทบทวนตัวเองใหม่ว่าทำไมคนอื่นปั่นเข้าแบบสบายๆ และเราพลาดอะไรไป ไว้เจอกันงานหน้ากับ AUDAX200
ถ้าได้ไป ... นะ
ปล.200 อัมพวายังไม่ไป ติดกันไปหน่อย ขวัญยังเสียไม่หายเลย ถถถ