เทคโนโลยีการสื่อสารที่รุดหน้าให้เกิดการDisruptionในภาคธุรกิจ ทำให้หลายอาชีพเสี่ยงต่อการตกงาน นั่นอาจจะรวมถึงนักการเมืองด้วย..
วันนี้เราจะชวนผู้อ่านมาตั้งคำถามที่ท้าทายอนาคต โดยการย้อนกลับไปหารากประวัติศาสตร์ก่อนว่า
“ผู้แทนราษฏร คืออะไร และ สำคัญอย่างไร?”
ย้อนกลับไป2,000ปีที่แล้ว ในสมัยที่อาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ โครงสร้างทางสังคมนั้นมีลักษณะเป็นปีรามิดแบบชัดเจน ประกอบไปด้วยเจ้านายและทาส เจ้านายคือผู้ปกครอง และผู้ถืออำนาจทางการเมือง ในยุคนั้น ทาสและคนจำนวนมากที่อาศัยในอาณาจักรไม่มีความรู้ เพราะไม่มีหนังสือให้อ่าน ความรู้จึงถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย สงวนใว้สำหรับชนชั้นปกครอง ทั้งชีวิตคนธรรมดาๆหนึ่งคนอาจจะไม่เคยออกเดินทางไปใหนเลย และรู้จักผู้คนแค่เพียงหยิบมือเดียว
ประชาธิปไตยในยุคนี้ เป็นการเลือกตัดสินใจจากเสียงข้างมากในสภา ซึ่งสมาชิกสภาก็เป็น “เจ้านาย” ที่ปกครองทาสอีกทีหนึ่ง ประชาธิปไตยแบบที่ให้ทาสหรือคนธรรมดามีส่วนร่วมจึงแทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะระดับความรอบรู้และความเชี่ยวชาญของ “Majority” หรือคนส่วนใหญ่นั้น จะเลือกและตัดสินใจด้วยความ “โง่แบบข้างมาก” อย่างแน่นอน
ผ่านมาจนถึงยุคปฏิวัติการปกครองฝรั่งเศส และปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ ในศตวรรษที่18 เราจะเห็นว่า คนส่วนมากในยุคนั้นถูกกดขี่จากชนชั้นปกครองไม่ต่างกับยุคก่อนหน้า และโครงสร้างสังคมก่อนปฏิวัติยังเป็นลักษณะปีรามิดเหมือนเดิม แต่ด้วยเทคโนโลยีของการสื่อสารอันล้ำสมัยด้วย “แท่นพิมพ์” ของกูเตนเบิร์ก ที่เป็นการDisruption ทำให้เกิดการกระจายตัวของความรู้และข้อมูลไปทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป การอ่านและรู้หนังสือของประชากรพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบรัฐสภาของประชาชนของรัฐทั้งหมดเป็นไปได้
แต่ประชาชนไม่สามารถมานั่งในสภาได้ทุกวัน.. ทุกคนยังคงมีหน้าที่หลักในสังคม และมีปากท้องต้องเลี้ยง
เกษตรกรจะไปออกกฏหมายวางแผนเศรษฐกิจได้อย่างไร? แพทย์ จะไปโหวตตัดสินใจเรื่องนโยบายต่างประเทศได้อย่างไร?
นั่นเป็นสาเหตุที่เราต้องมีผู้แทน (Representative) หรือ ส.ส. ที่เราคุ้นเคยนั่นเอง
คอนเซปต์คือเราเลือกผู้แทนที่เราชอบความคิดเค้า ผู้แทนคนนี้ล่ะที่จะเสียสละเวลาไปนั่งฟังทุกเรื่องในสภา ตัดสินใจแทนเรา รักษาผลประโยชน์ของเรา ฟังดูเหมือนจะดีใช่ใหมครับ?
แต่ไม่เลย นั่นกลับเป็นปัญหาที่ระบอบประชาธิปไตยในยุคปัจจุบันต้องเจอ !
นอกจากการเลือกผู้แทนฯจะเป็นการใช้เงินได้ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐ (เพราะไม่เกิดผลผลิต) ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงและเลือกตั้งแต่ละครั้งนั้นสูงมากๆ หนำซ้ำผู้แทนที่เลือกเข้าไป มีลักษณะของการเป็นศูนย์รวมอำนาจ (Concentration of Power) ซึ่งทำให้เกิดการคอรัปชั่นมหาศาล และยังมีปัญหาการที่ผู้แทนเหล่านี้ไม่ได้ออกเสียงตามความต้องการของประชาชนจริงๆ แต่มักจะออกเสียงตาม “มติพรรค” มากกว่า
มันเกิดขึ้นทั่วโลก มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบ! แต่จะมากน้อยนั้นอยู่ที่จริยธรรมในสังคมนั้นๆ
ถึงจุดนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะตอบคำถามแรกได้แล้ว และนั่นจะนำมาสู่คำถามถัดไป
“เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”
องค์กรอิสระมากมายไม่ได้ช่วยอะไรเลย! ดูเหมือนมันจะเพิ่มค่าใช้จ่าย ลดประสิทธิภาพรัฐ และก็ยังมีคนที่มีอำนาจและผลประโยชน์ทับซ้อนมากกว่าเดิม
100 ปีมานี้ วิทยาการด้านการสื่อสารรุดหน้าไปเร็วด้วยการแพร่กระจายของอินเตอร์เน็ต มันเป็นDisruptionระดับโลก เหมือนกับแท่นพิมพ์ของกูเต็นเบิร์ก ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของสังคมมนุษย์
ทุกวันนี้ เด็กอายุ5ขวบนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ เห็นโลกกว้างมากกว่าคนชราอายุ60ในอดีต เรารู้จักคนและมีเพื่อนเฟซบุ๊คหลายร้อยหลายพันคน เรามีข้อมูลให้เสพกันแบบล้นโสตจนแทบทะลักออกมา ปริมาณข้อมูลหมุนเวียนในโลกทุกวันนี้มากกว่าศตวรรษที่18มหาศาล แต่เรากลับใช้Platformเดิมในการตัดสินใจระดับประเทศ คือการเลือกคนเข้าไปนั่งในสภา
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ผ่านมาในปี2016 เราได้เห็นว่า โซเชียล มีเดีย มีบทบาทสำคัญกว่าสื่อทีวี ในการชนะการเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ และผมเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วต่อจากนี้ โซเชียล มีเดีย (หนึ่งหรือหลายๆPlatform) จะมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะกับวิธีที่เรา “โหวต” และจะไม่ได้มีบทบาทแค่ “สื่อโฆษณา” อีกต่อไป
โซเชียล มีเดีย สามารถเป็นรัฐสภาได้เอง ! และรัฐสภานี้ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวแทน
รัฐสภาที่มีที่นั่งของทุกคนในประเทศ ทำงานตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยประชุมแพงๆ
เมื่อมีโซเชียล มีเดีย ชาวนาก็ไม่ต้องหยุดงาน ขี่ม้าเข้าเมือง เพื่อมาประชุมสภาเพื่อทำการโหวต เพราะมันสามารถทำได้ในแอพ บนสมาร์ทโฟน และแพทย์ก็ได้สามารถศึกษา ชั่งน้ำหนักถือข้อดี-ข้อเสีย ของนโยบายต่างประเทศที่ตนเองไม่ถนัด ผ่านทางผู้เชี่ยวชาญสาขานั้นๆที่ตนเองFollowอยู่
คนที่ไม่อยากมามีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่อยากโหวต ก็ยังสามารถ “มอบอำนาจ” ได้ โดยเลือกผู้แทนให้โหวตแทนได้เหมือนเดิม แต่จะเจ๋งกว่าเดิมตรงที่สามารถ สามารถเลือกผู้แทนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านหลายคน เพื่อตัดสินใจแต่ละด้านที่ต่างกันไป
ระบบนี้มีกลไกง่ายๆ ตัวอย่างเช่นผมมอบอำนาจให้คุณอภิสิทธิ์โหวตเพื่ออกกฏหมายแทนผมในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษา ในขณะที่มอบอำนาจให้คุณประยุทธ์ตัดสินใจในเรื่องความมั่นคง และให้คุณทักษิณช่วยพิจารณาข้อกฏหมายเรื่องการค้า อำนาจของการตัดสินใจจะกระจายตัวไปยังผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆจริงๆ ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ที่ส.ส.ที่ต้องโหวตแทนทุกเรื่อง
ที่สำคัญคือ หากคุณไม่ถูกใจนโยบายของคุณประยุทธ์ที่มอบอำนาจไปให้แล้วนั้น คุณก็สามารถเปลี่ยนคนได้ตลอดเวลา ทำให้การรวมศูนย์อำนาจลักษณะนี้มันเพิ่ม-ลดได้ เหมือนคนfollow-unfollow และ เป็นไปอย่างทันที (Realtime)
การผูกขาดอำนาจแบบเทอม4ปีจะหายไปทันทีพร้อมๆกับอาชีพนักการเมือง (และนักการเมืองอาชีพ) และจะทำให้ใครก็ตามที่มีความคิดดีๆในอินเตอร์เน็ตและมีคนสนับสนุนมาก เปลี่ยนจาก Opinion Leader เป็น Power voter ซึ่งมีผลโดยตรงกับการออกกฏหมาย
การโกงการเลือกตั้งแบบสมัยก่อนแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกเสียงสามารถยืนยันตัวตนได้ออนไลน์ และยังมีการใช้Blockchain เข้ามาจัดการควาปลอดภัยของฐานข้อมูล
เมื่อข้อมูลมีการโหวตที่ซ้ำๆกันมากพอที่จะเป็นPattern จะถึงจุดที่ AI เข้ามาในแวดวงการเมือง พร้อมทั้งปริมาณข้อมูลของBig Data ทันใดนั้นทุกอย่างก็จะเปลี่ยนอีกครั้งสู่ยุคถัดไป…
ก๊อปมาจาก
http://caffeineblog.co/2017/09/08/politic-disruption-ประชาธิปไตยที่ไม่ต้/
https://www.facebook.com/caffeineclubTH/
Politic Disruption : ประชาธิปไตยที่ไม่ต้องเลือกตั้ง?
วันนี้เราจะชวนผู้อ่านมาตั้งคำถามที่ท้าทายอนาคต โดยการย้อนกลับไปหารากประวัติศาสตร์ก่อนว่า
“ผู้แทนราษฏร คืออะไร และ สำคัญอย่างไร?”
ย้อนกลับไป2,000ปีที่แล้ว ในสมัยที่อาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ โครงสร้างทางสังคมนั้นมีลักษณะเป็นปีรามิดแบบชัดเจน ประกอบไปด้วยเจ้านายและทาส เจ้านายคือผู้ปกครอง และผู้ถืออำนาจทางการเมือง ในยุคนั้น ทาสและคนจำนวนมากที่อาศัยในอาณาจักรไม่มีความรู้ เพราะไม่มีหนังสือให้อ่าน ความรู้จึงถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย สงวนใว้สำหรับชนชั้นปกครอง ทั้งชีวิตคนธรรมดาๆหนึ่งคนอาจจะไม่เคยออกเดินทางไปใหนเลย และรู้จักผู้คนแค่เพียงหยิบมือเดียว
ประชาธิปไตยในยุคนี้ เป็นการเลือกตัดสินใจจากเสียงข้างมากในสภา ซึ่งสมาชิกสภาก็เป็น “เจ้านาย” ที่ปกครองทาสอีกทีหนึ่ง ประชาธิปไตยแบบที่ให้ทาสหรือคนธรรมดามีส่วนร่วมจึงแทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะระดับความรอบรู้และความเชี่ยวชาญของ “Majority” หรือคนส่วนใหญ่นั้น จะเลือกและตัดสินใจด้วยความ “โง่แบบข้างมาก” อย่างแน่นอน
ผ่านมาจนถึงยุคปฏิวัติการปกครองฝรั่งเศส และปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ ในศตวรรษที่18 เราจะเห็นว่า คนส่วนมากในยุคนั้นถูกกดขี่จากชนชั้นปกครองไม่ต่างกับยุคก่อนหน้า และโครงสร้างสังคมก่อนปฏิวัติยังเป็นลักษณะปีรามิดเหมือนเดิม แต่ด้วยเทคโนโลยีของการสื่อสารอันล้ำสมัยด้วย “แท่นพิมพ์” ของกูเตนเบิร์ก ที่เป็นการDisruption ทำให้เกิดการกระจายตัวของความรู้และข้อมูลไปทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป การอ่านและรู้หนังสือของประชากรพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบรัฐสภาของประชาชนของรัฐทั้งหมดเป็นไปได้
แต่ประชาชนไม่สามารถมานั่งในสภาได้ทุกวัน.. ทุกคนยังคงมีหน้าที่หลักในสังคม และมีปากท้องต้องเลี้ยง
เกษตรกรจะไปออกกฏหมายวางแผนเศรษฐกิจได้อย่างไร? แพทย์ จะไปโหวตตัดสินใจเรื่องนโยบายต่างประเทศได้อย่างไร?
นั่นเป็นสาเหตุที่เราต้องมีผู้แทน (Representative) หรือ ส.ส. ที่เราคุ้นเคยนั่นเอง
คอนเซปต์คือเราเลือกผู้แทนที่เราชอบความคิดเค้า ผู้แทนคนนี้ล่ะที่จะเสียสละเวลาไปนั่งฟังทุกเรื่องในสภา ตัดสินใจแทนเรา รักษาผลประโยชน์ของเรา ฟังดูเหมือนจะดีใช่ใหมครับ?
แต่ไม่เลย นั่นกลับเป็นปัญหาที่ระบอบประชาธิปไตยในยุคปัจจุบันต้องเจอ !
นอกจากการเลือกผู้แทนฯจะเป็นการใช้เงินได้ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐ (เพราะไม่เกิดผลผลิต) ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงและเลือกตั้งแต่ละครั้งนั้นสูงมากๆ หนำซ้ำผู้แทนที่เลือกเข้าไป มีลักษณะของการเป็นศูนย์รวมอำนาจ (Concentration of Power) ซึ่งทำให้เกิดการคอรัปชั่นมหาศาล และยังมีปัญหาการที่ผู้แทนเหล่านี้ไม่ได้ออกเสียงตามความต้องการของประชาชนจริงๆ แต่มักจะออกเสียงตาม “มติพรรค” มากกว่า
มันเกิดขึ้นทั่วโลก มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบ! แต่จะมากน้อยนั้นอยู่ที่จริยธรรมในสังคมนั้นๆ
ถึงจุดนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะตอบคำถามแรกได้แล้ว และนั่นจะนำมาสู่คำถามถัดไป
“เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”
องค์กรอิสระมากมายไม่ได้ช่วยอะไรเลย! ดูเหมือนมันจะเพิ่มค่าใช้จ่าย ลดประสิทธิภาพรัฐ และก็ยังมีคนที่มีอำนาจและผลประโยชน์ทับซ้อนมากกว่าเดิม
100 ปีมานี้ วิทยาการด้านการสื่อสารรุดหน้าไปเร็วด้วยการแพร่กระจายของอินเตอร์เน็ต มันเป็นDisruptionระดับโลก เหมือนกับแท่นพิมพ์ของกูเต็นเบิร์ก ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของสังคมมนุษย์
ทุกวันนี้ เด็กอายุ5ขวบนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ เห็นโลกกว้างมากกว่าคนชราอายุ60ในอดีต เรารู้จักคนและมีเพื่อนเฟซบุ๊คหลายร้อยหลายพันคน เรามีข้อมูลให้เสพกันแบบล้นโสตจนแทบทะลักออกมา ปริมาณข้อมูลหมุนเวียนในโลกทุกวันนี้มากกว่าศตวรรษที่18มหาศาล แต่เรากลับใช้Platformเดิมในการตัดสินใจระดับประเทศ คือการเลือกคนเข้าไปนั่งในสภา
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ผ่านมาในปี2016 เราได้เห็นว่า โซเชียล มีเดีย มีบทบาทสำคัญกว่าสื่อทีวี ในการชนะการเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ และผมเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วต่อจากนี้ โซเชียล มีเดีย (หนึ่งหรือหลายๆPlatform) จะมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะกับวิธีที่เรา “โหวต” และจะไม่ได้มีบทบาทแค่ “สื่อโฆษณา” อีกต่อไป
โซเชียล มีเดีย สามารถเป็นรัฐสภาได้เอง ! และรัฐสภานี้ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวแทน
รัฐสภาที่มีที่นั่งของทุกคนในประเทศ ทำงานตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยประชุมแพงๆ
เมื่อมีโซเชียล มีเดีย ชาวนาก็ไม่ต้องหยุดงาน ขี่ม้าเข้าเมือง เพื่อมาประชุมสภาเพื่อทำการโหวต เพราะมันสามารถทำได้ในแอพ บนสมาร์ทโฟน และแพทย์ก็ได้สามารถศึกษา ชั่งน้ำหนักถือข้อดี-ข้อเสีย ของนโยบายต่างประเทศที่ตนเองไม่ถนัด ผ่านทางผู้เชี่ยวชาญสาขานั้นๆที่ตนเองFollowอยู่
คนที่ไม่อยากมามีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่อยากโหวต ก็ยังสามารถ “มอบอำนาจ” ได้ โดยเลือกผู้แทนให้โหวตแทนได้เหมือนเดิม แต่จะเจ๋งกว่าเดิมตรงที่สามารถ สามารถเลือกผู้แทนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านหลายคน เพื่อตัดสินใจแต่ละด้านที่ต่างกันไป
ระบบนี้มีกลไกง่ายๆ ตัวอย่างเช่นผมมอบอำนาจให้คุณอภิสิทธิ์โหวตเพื่ออกกฏหมายแทนผมในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษา ในขณะที่มอบอำนาจให้คุณประยุทธ์ตัดสินใจในเรื่องความมั่นคง และให้คุณทักษิณช่วยพิจารณาข้อกฏหมายเรื่องการค้า อำนาจของการตัดสินใจจะกระจายตัวไปยังผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆจริงๆ ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ที่ส.ส.ที่ต้องโหวตแทนทุกเรื่อง
ที่สำคัญคือ หากคุณไม่ถูกใจนโยบายของคุณประยุทธ์ที่มอบอำนาจไปให้แล้วนั้น คุณก็สามารถเปลี่ยนคนได้ตลอดเวลา ทำให้การรวมศูนย์อำนาจลักษณะนี้มันเพิ่ม-ลดได้ เหมือนคนfollow-unfollow และ เป็นไปอย่างทันที (Realtime)
การผูกขาดอำนาจแบบเทอม4ปีจะหายไปทันทีพร้อมๆกับอาชีพนักการเมือง (และนักการเมืองอาชีพ) และจะทำให้ใครก็ตามที่มีความคิดดีๆในอินเตอร์เน็ตและมีคนสนับสนุนมาก เปลี่ยนจาก Opinion Leader เป็น Power voter ซึ่งมีผลโดยตรงกับการออกกฏหมาย
การโกงการเลือกตั้งแบบสมัยก่อนแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกเสียงสามารถยืนยันตัวตนได้ออนไลน์ และยังมีการใช้Blockchain เข้ามาจัดการควาปลอดภัยของฐานข้อมูล
เมื่อข้อมูลมีการโหวตที่ซ้ำๆกันมากพอที่จะเป็นPattern จะถึงจุดที่ AI เข้ามาในแวดวงการเมือง พร้อมทั้งปริมาณข้อมูลของBig Data ทันใดนั้นทุกอย่างก็จะเปลี่ยนอีกครั้งสู่ยุคถัดไป…
ก๊อปมาจาก
http://caffeineblog.co/2017/09/08/politic-disruption-ประชาธิปไตยที่ไม่ต้/
https://www.facebook.com/caffeineclubTH/