
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
It หนังที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีโครงเรื่องจากนิยายในชื่อเดียวกันของ Stephen King ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาในปี 1986 โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิด เมื่อเขาอยู่เพียงลำพัง ช่วงปี 1978 ในช่วงยามเย็นที่เมืองโบลเดอร์ โคโลราโด ขณะเดินผ่านสะพานไม้ที่ทอดยาวถึงหนึ่งในสี่ไมล์ (ปรากฎในฉากจบของหนัง) ใส่รองเท้าคาวบอย และทุกย่างก้าวเขาเกรงว่ามันจะสร้างเสียงดังคล้ายกับเสียงนาฬิกา เขาพลันนึกไปถึงนิทาน The Three Billy-Goats Gruff เขาจินตนาการต่อว่าหากมีตัวโทรลโผล่มาหาเขาในตอนนั้นเขาจะทำอย่างไร ทันใดนั้นเองเขาก็อยากเขียนนิยายเกี่ยวกับโทรลที่อาศัยอยู่ใต้สะพาน ซึ่งตัวสะพานเองสำหรับเขาก็หมายถึงการก้าวข้ามผ่าน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเขียนให้ที่อยู่ของมันเป็นท่อประปาใต้เมือง
มองกลับมาที่เวอร์ชั่นภาพยนตร์ของ Andrés Muschietti ที่ได้เค้าโครงมาก็เล่าถึงสมาชิกในกลุ่มขี้แพ้ในเดรี่ เมืองต้องคำสาป ที่ต้องต่อกรกับปีศาจเพนนี่ไวส์ ซึ่งมันสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งที่ผู้ถูกหลอกกลัวในจิตใต้สำนึก กลุ่มเด็กขี้แพ้ เรียกเพนนี่ไวส์ว่า It ซึ่งไปล้อกับคำว่า Id ของฟรอยด์
ได้แก่บิล หนุ่มพูด stutter (ในนิยายบอกว่าเขาพูดติดอ่างหลังจากอุบัติเหตุตอนสามขวบ) ที่สูญเสียน้องชายไปอย่างปริศนา เมื่อเขามอบของขวัญเป็นเรือกระดาษพับให้น้อง ก่อนจะพบว่าในวันนั้นเอง เป็นวันสุดท้ายที่เขาได้พบกับน้อง (ในสภาพที่เป็นคน) หนังไม่พูดถึงแม่ของเขา รู้เพียงแค่ว่าแม่เขาชอบเปียโน แต่เรารู้ว่าพ่อของเขา ไม่ชอบให้บิลพูดถึงน้อง และให้ล้มเลิกความคิดในการตามหาร่างของน้อง ในขณะที่เขาจะยังเชื่ออย่างแรงกล้าว่าน้องยังมีชีวิตอยู่
เบฟ สาวรุ่นที่เพิ่งจะมีประจำเดือน เขาอาศัยอยู่กับพ่อที่ถูกนำเสนอผ่านหนังว่าคงมีการ abuse ลูก และการกลัวเลือดของเธอ อาจหมายถึงการกลัวที่จะเติบโต (การมีประจำเดือน) หรืออาจจะเป็นการทำแท้ง หรือการถูก abuse เธอเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งและกล่าวหาในทางไม่ดี
เบน เป็นเด็กที่เพิ่งย้ายมาใหม่ในเมือง เขาอ้วนท้วน และหลงรักเบฟแรกพบ แอบจีบเธอและมโนว่าเธอชอบ ส่วนเบฟก็เข้าใจผิดว่าคนส่งกลอนให้คือบิล ตอนเบนจูบเบฟในตอนท้ายเรื่องก็ดูเหมือนเป็นแบบเจ้าหญิงนิทรา แต่จริงๆ คือการมโน เพราะเธอไม่ตาย ไม่ถูกฆ่า เพราะเบฟไม่กลัวเพนนี่ไวส์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของมัน เธอไม่ได้รอดชีวิตเพราะการจูบของเบน
ริทชี่ เด็กปากหมา ขาเมาท์ของกลุ่ม ในนิยายริทชี่จะกลัวหมาป่า ส่วนในหนังริทชี่จะกลัวตัวตลก แต่เขาไม่ได้เจอตัวตลกหลอกแบบเพื่อนๆ โดยอาจะเป็นเพราะเขาเคยพูดถึงเรื่องพรหมจรรย์ ในขณะที่คนอื่นในกลุ่มยังรักษามันไว้อยู่ แต่สุดท้ายเขาก็เห็นตัวตลกเหมือนกับเพื่อน และความกลัวของเขาเมื่อเข้าไปในบ้านผีสิงคือกลัวการหายไป และวันในประกาศคนหายคือ fourth of july ซึ่งเป็นวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา นั่นแสดงถึงว่าเขากลัวการถูกปล้นอิสรภาพจากผู้ใหญ่
แสตนลี่ย์ ลูกชายของแรบไบ เขาถูกพ่อบังคับให้นับถือสิ่งเดียวกับที่เขานับถือ บังคับให้ท่องบทสวด เพื่อจะสวดแล้วทำให้กลายเป็นผู้ใหญ่ เขากลัวรูปภาพผู้หญิงเป่าขลุ่ยในห้องหนังสือซึ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงกลัว
ไมค์ เด็กสัญชาติแอฟริกัน อเมริกันคนเดียวของกลุ่ม เขามักถูกกลุ่มคู่อริคือ เฮนรี่และพวก ไล่ให้ออกไปจากเมือง พ่อแม่เขาตายจากเพลิงไหม้โดยกลุ่มเฮนรี่ เขาต้องไปทำงานฆ่าแกะ งานที่พ่อเขาทำ เขาไม่ใจเด็ดพอที่ฆ่าแกะ จึงถูกเปรียบเทียบโดยเพื่อนร่วมงานกับพ่อของเขา มีวาทะกรรมที่เพื่อนร่วมงานพูดว่า จงเลือกเอาว่าจะเป็นแกะที่ถูกยิง หรือจะเป็นคนยิงแกะ ซึ่งมันสะท้อนถึงการถูกดขี่ของคนสีผิวที่ต้องดิ้นรนให้อยู่รอดในคนขาว
เอ็ดดี้คือ เด็กชายที่ถูกแม่อ้วนอ่อนแอของเขา สร้างให้เขาเป็นเด็กเจ็บป่วย อ่อนแอ เป็นหอบหืดต้องพ่นยา ต้องรักจูบแม่ ไม่ให้คบเพื่อน overprotection จนภายหลังเขามาทราบว่าจริงๆแล้ว ยาที่เขาใช้เป็นยาหลอก แม่เขาเจ็บป่วยทางจิต ต้องการให้ลูกเป็นเด็กอ่อนแอ ต้องการแม่ ความกลัวของเขาคือผีโรคเรื้อน
ส่วนแก๊งอันถพาลนำโดยเฮนรี่ลูกตัวรวจ ที่ถูกเสี้ยมสอนมาให้เกลียดชังคนดำ และนำไปสู่การเหยียดเพื่อนที่ดูอ่อนแอ ไม่ปกติในสายตาเขา จนเป็นที่มาของการก่อตั้งศาลาพักใจคนขี้แพ้ พ่อของเขาก็เลี้ยงดุด้วยความรุนแรง violent home ใช้คำพูดหยาบคายกับลูก
สังเกตว่าผู้ใหญ่ในทุกครอบครัวล้วนเป็นใหญ่ ไม่ฟังความเห็นของเด็ก ต้องการให้เด็กมีแนวคิด ความเห็น และชีวิตเป็นแบบที่ตนเป็นหรือเชื่อ บางคนปล่อยทิ้งขว้าง บางคนก็จู้จี้กับชีวิตพวกเขามากเกินจำเป็น มีหัวแนวคิดโบราณ ถูกนำเสนอผ่านเหตุการณ์ที่เลือดของเด็กที่ตายในเมืองพุ่งขึ้นมาจากท่อน้ำในห้องน้ำของเธอ คล้ายกับฉากใน A Nightmare on Elm Street (1984) ซึ่งปรากฎเป็น ref ในหนัง ปรากฎว่าพ่อของเธอไม่เห็นห้องน้ำเลือดเด็กในบ้านของเบฟ บอกถึงการมองไม่เห็น ไม่รู้ไม่ชี้ปัญหาของเด็ก (youth blood) ของผู้ใหญ่ ที่มีแต่พวกเด็กด้วยกันที่เห็น การหายของเด็กที่ระบบตำรวจล้มเหลว (พ่อของเฮนรี่) และคนในเมืองไม่สนใจ ปล่อยให้ผ่านไป (พ่อบิล, ยายแก่ที่เห็นจอร์จี้ น้องชายของบิลมองเด็กผ่านๆ ไม่สนใจว่าเด็กจะตกลงไปในท่อระบายน้ำ)
การเห็นตัวตลก ก็มักจะสัมพันธ์กับเหตุการณ์หรือช่วงวัยที่พวกเขา “ข้ามสะพานไม้” คือมีทางเลือกที่ต้องเดิน จะสังเกตว่าทุกตัวละครในกลุ่มขี้แพ้มีทางเลือกต้องเดิน บิลจะตามหาน้องหรือปล่อยให้ผ่านไปตามคำสั่งพ่อ เบฟจะทนกับเพื่อนร้ายที่โรงเรียน พ่อที่เอาเปรียบทางเพศกับเธอ หรือจะลุกขึ้นมาสู้ เบน เด็กใหม่ที่ถูกล้อเรื่องรูปร่าง หรือจะต้อต้านแก๊งเฮนรี่ แสตนลี่ย์ จะยอมท่องบทสวดและเชื่อตามพ่อ หรือเขาจะมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ไมค์ เขาถูกกดขี่มาตั้งแต่ชาติกำเนิด เขาจะทนแรงกดดันจากแก๊งและเพื่อนที่ทำงาน หรือจะมีชิตอิสระไม่อยู่ภายใต้ขี้ปากของใคร เอดดี้ เขายังเป็นลูกโอ๋ของแม่ เป็นเด็กอ่อนแอ ต่อไปหรือไม่ ส่วนริทชี่ในตอนหลังเขาเห็นตัวตลกเหมือนกับเพื่อน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรที่เป็นจุดหักเหของเขา อาจจะเป็นการที่เขาต้องไปช่วยเหลือ รวมใจกับเพื่อน
เฮนรี่เอง เขาก็ได้เจอกับตัวตลก เมื่อเขาต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ภายใต้พ่อที่ดุร้าย ปฎิบัติกับเขาไม่เหมือนเลือดเนื้อ หรือจะหาทางออกอื่น ซึ่งด้วยการเลี้ยงดู นั่นรวมไปถึงทีวี และสื่อที่นำเสนอความรุนแรง (ทีวีในหนังกล่อมให้เฮนรี่จัดการพ่อ และ Stephen King เองก็เคยแอนตี้การให้เด็กเล่นเกมสืที่มีเนื้อหารุนแรงก่อนอายุสิบแปดปี ในปี 2008) บรรยากาศที่เขาเติบโตมา จึงทำให้เขาเป็นเด็กก้าวร้าว และตัดสินใจเลือกทางเดิน โดยการฆ่าพ่อตัวเอง
ตัวตลกที่อาศัยในท่อระบายน้ำ และเด็กในเรื่องก็ถูกเปรียบเทียบเป็นเรือ การลอยของเรือก็คือการได้แล่น การมีชีวิต ส่วนการจมก็คือการไม่ได้ทำในสิ่งที่ฝัน การไม่ได้ทำในสิง่ที่อยากทำ และตัวตลกก็เป็นเสมือนผู้ใหญ่ที่คอยบงการควบคุมอนาคตของเด็กๆ เหล่านั้นไว้ และสำหรับอเมริกาคงไม่พ้น President (ในปี 2016 ช่วงการหาเสียงของทรัมพ์ คิงเคยวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นผู้อพยบชาวเม็กซิกัน และในปีเดียวกันช่วงเดือนมิถุนายน คิงทวีตข้อความเสียดสีถึงทรัมพ์ว่า “อีตาเหยียดเชื้อชาติผิวบางที่มีวุฒิภาวะไม่ต่างอะไรจากเด็กสามขวบ”)
ในตอนจบ เหล่าเด็กที่ถูกตัวตลกฆ่า ก็ลอยขึ้นในท่อระบายน้ำ แต่จริงๆ พวกเขาก็กำลังจมอยู่ ดังนั้นการลอยของตัวตลกก็คือการจมลงไปในน้ำ เช่นเดียวกับลูกโป่งสีแดงที่ปรากฎอยู่เรื่อยๆในหนัง สีแดงก็อาจหมายถึงพรรครีพับลิกัน ฉากที่ชัดเจนคือตอนที่เบนถูกเฮนรี่กรีดพุง มีผู้ใหญ่ขับรถมาและไม่สนใจใยดีเขา ไม่เดือดร้อนกับการที่เยาวชนถูกทำร้าย แล้วรถขับผ่านไปก็มีลูกโป่งลอยขึ้นที่หลังรถ
ผู้ใหญ่พวกนั้นจึงเหมือนเป็นคนของรีพับลิกัน ผู้ใหญ่ในเรื่องแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ยายแก่เลี้ยงแมวที่ไม่สนใจจอร์จี้ คนขายยาที่ไม่อาจหักห้ามใจเมื่อเบฟไปล่อลวง เขาเองยังทำผิดจรรยาบรรณด้วยการขายยาปลอมให้เอดดี้ รวมไปถึงฉากผู้ใหญ่ที่นั่งเฉยๆในห้องสมุด ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเบนถูกผีหลอก หรือว่าแม่บิลที่เล่นเปียโน (ดนตรีคลาสสิค ทำให้นึกถึงความเป็น conservative) ไม่สนใจลูกไปเล่นนอกบ้านฝนตกตามลำพัง รวมไปถึง เมื่อตอนกลุ่มขี้แพ้มาฉายภาพแผนที่ท่อระบายน้ำที่โรงรถบ้านบิล แม่บิลในภาพก็กลายเป็นตัวตลก เราแทบไม่เห็นการปรากฎตัวของพ่อแม่ของบิลเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนบนโลก เอาจริงๆ พวกผู้ใหญ่ก็อาจจะเห็นตัวตลก เห็นโศกนาฎกรรมที่เกิด แต่มองข้ามไป หรือบางทีพวกเขาอาจจะเป็นพวกเดียวกับตัวตลกเสียด้วยซ้ำ ดูจากสีหน้าแววตาที่นิ่งดูไม่มีเลือดเนื้อของความเป็นมนุษย์
การลอยของเด็กก็คือเหมือนการลอยของลูกโป่ง และสีเหลืองของเรือความหมายก็คือ ความสดใส ความสุข การมองโลกในแง่ดี พละกำลัง ดังนั้นเรือสีเหลืองจึงหมายถึงความเป็นวัยรุ่น ฉากลอยตัวในน้ำ เล่นน้ำกันของเด็กๆ จึงเป็นฉากที่สวยงามมากสำหรับเราคือ ตอนที่เด็กๆ กระโดนน้ำจากหน้าผาหินสูงชันลงมาที่ทะเลสาบสีเขียวมรกต บรรเลงด้วยเสียงเปียโน มันเป็นภาพแทนของชีวิตวัยแรกรุ่น ที่อิสระเสรี ไร้การควบคุมบงการจากใคร แม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่งดงามเหลือเกิน
หนังเล่นกับความกลัว เด็กที่กลัวไม่กล้าต่อกรกับอำนาจของผู้ใหญ่ ก็จะถูกตัวตลกหลอก ตัวตลกต้องการแช่แข็งชีวิตพวกเขาให้กลายเป็นเด็กไปตลอดการ ไม่อาจคิดตัดสินใจได้เอง ยกเว้นพวกเขาได้เลือกทางเดินชีวิตไปแล้ว ตามที่ผู้ใหญ่เลือกให้ (ในหนังจะมีช่วงที่กลุ่มขี้แพ้ทะเลาะกัน ต่างคนต่างไปดำเนินตามชีวิตตัวเองตามที่ผู้ปกครองอยากให้เป็น พวกเขาก็สงบดี ไม่มีตัวตลกมาหลอก) เขาก็จะไม่เจอมันหลอกอีก จนกว่าจะครบรอบ 27 ปี
ในพาร์ทหนังผีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถันมากในแต่ละฉาก สังเกตจาก form ของผีที่หลอกหลาย เราชอบมากตรงที่ผีในเรื่องแม้ว่ามันจะเป็นตัวตลก แต่พาร์ทมันหลอกตัวละครและคนดู มันมีการ metamorphosis ไปตามแต่ละความกลัวในระดับจิตไร้สำนึกของตัวละคร ชอบตรงที่มันเล่นกับความกลัวของเราเองที่มันก็มีทั้งผ่านกระบวนการที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว ตัวตลกในเรื่องนี้จึงไม่เหมือนกับหนังผีเรื่องอื่นๆ ที่เรามักจะเดาทางออก เพราะมันมีตัวละครตัวเดียว รูปลักษณ์แบบเดิมตลอดทั้งเรื่อง
ในช่วงท้าย เหล่าเด็กทำสัญญาเลือดกัน ซึ่งน่าสนใจที่มันเป็นธรรมเนียมของชนพื้นเมืองอเมริกัน ในหนังเองก็มีพูดถึงการโบ้ยความผิดของการตายของผู้ก่อตั้งเมืองว่าเป็นของอินเดียนแดง (ซึ่งจริงๆ น่าจะเกิดจากตัวตลก เพราะเห็นปรากฎในภาพวาด) และประเด็นตรงนี้ก้ได้ถูกขยับขยายใน The Shining (1980) ที่เขียนโดยคิงเช่นกัน พวกเขาทำสัญญาบริเวณสะพานโรงไม้ นั่นแปลว่าพวกเขาได้ก้าวผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตมาแล้ว
พวกเขาสัญญากันว่าจะกลับมาต่อกรกับตัวตลกอีกครั้งเมื่อครบกำหนด สัญญาที่ต้องแลกมาด้วยแผลและเลือด ประสานกัน บิลในฉากนั้นใส่ชุดสีแดง เสื้อในสีขาว กางเกงน้ำเงิน สีของธงชาติอเมริกัน เสมือนหนึ่งว่าพลังเลือดรุ่นนี้นี่แหละที่จะต่อกรกับอำนาจมืดของหัวคิดโบราณและจะนำพาประเทศชาติไปข้างหน้า
ในอีกทางหนึ่ง การนำกลับเอา It มาสร้างใหม่ในครั้งนี้ สิ่งที่เราได้หาใช่เพียงความบันเทิงจากการจำลองเหตุการณ์ผีหลอกในหลายสีบปีที่แล้ว แต่ยังส่งแรงสะท้อนมาถึงโลกปัจจุบัน ย้อนนึกไปว่าสถานะที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับที่กำลังถูก "ตัวตลก" หลอกล่อให้เราเป็นเด็กอยู่ตลอดกาล
นี่จึงหนังผีที่สวยงามที่สุดที่เราได้ดูหลายเดือน
จะรอติดตามในอีก 27 ปีถัดไป เมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจทางเลือกเดินของชีวิตอีกครั้ง
Tempy Movies Review It {Andy Muschietti}, 2017
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
It หนังที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีโครงเรื่องจากนิยายในชื่อเดียวกันของ Stephen King ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาในปี 1986 โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิด เมื่อเขาอยู่เพียงลำพัง ช่วงปี 1978 ในช่วงยามเย็นที่เมืองโบลเดอร์ โคโลราโด ขณะเดินผ่านสะพานไม้ที่ทอดยาวถึงหนึ่งในสี่ไมล์ (ปรากฎในฉากจบของหนัง) ใส่รองเท้าคาวบอย และทุกย่างก้าวเขาเกรงว่ามันจะสร้างเสียงดังคล้ายกับเสียงนาฬิกา เขาพลันนึกไปถึงนิทาน The Three Billy-Goats Gruff เขาจินตนาการต่อว่าหากมีตัวโทรลโผล่มาหาเขาในตอนนั้นเขาจะทำอย่างไร ทันใดนั้นเองเขาก็อยากเขียนนิยายเกี่ยวกับโทรลที่อาศัยอยู่ใต้สะพาน ซึ่งตัวสะพานเองสำหรับเขาก็หมายถึงการก้าวข้ามผ่าน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเขียนให้ที่อยู่ของมันเป็นท่อประปาใต้เมือง
มองกลับมาที่เวอร์ชั่นภาพยนตร์ของ Andrés Muschietti ที่ได้เค้าโครงมาก็เล่าถึงสมาชิกในกลุ่มขี้แพ้ในเดรี่ เมืองต้องคำสาป ที่ต้องต่อกรกับปีศาจเพนนี่ไวส์ ซึ่งมันสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งที่ผู้ถูกหลอกกลัวในจิตใต้สำนึก กลุ่มเด็กขี้แพ้ เรียกเพนนี่ไวส์ว่า It ซึ่งไปล้อกับคำว่า Id ของฟรอยด์
ได้แก่บิล หนุ่มพูด stutter (ในนิยายบอกว่าเขาพูดติดอ่างหลังจากอุบัติเหตุตอนสามขวบ) ที่สูญเสียน้องชายไปอย่างปริศนา เมื่อเขามอบของขวัญเป็นเรือกระดาษพับให้น้อง ก่อนจะพบว่าในวันนั้นเอง เป็นวันสุดท้ายที่เขาได้พบกับน้อง (ในสภาพที่เป็นคน) หนังไม่พูดถึงแม่ของเขา รู้เพียงแค่ว่าแม่เขาชอบเปียโน แต่เรารู้ว่าพ่อของเขา ไม่ชอบให้บิลพูดถึงน้อง และให้ล้มเลิกความคิดในการตามหาร่างของน้อง ในขณะที่เขาจะยังเชื่ออย่างแรงกล้าว่าน้องยังมีชีวิตอยู่
เบฟ สาวรุ่นที่เพิ่งจะมีประจำเดือน เขาอาศัยอยู่กับพ่อที่ถูกนำเสนอผ่านหนังว่าคงมีการ abuse ลูก และการกลัวเลือดของเธอ อาจหมายถึงการกลัวที่จะเติบโต (การมีประจำเดือน) หรืออาจจะเป็นการทำแท้ง หรือการถูก abuse เธอเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งและกล่าวหาในทางไม่ดี
เบน เป็นเด็กที่เพิ่งย้ายมาใหม่ในเมือง เขาอ้วนท้วน และหลงรักเบฟแรกพบ แอบจีบเธอและมโนว่าเธอชอบ ส่วนเบฟก็เข้าใจผิดว่าคนส่งกลอนให้คือบิล ตอนเบนจูบเบฟในตอนท้ายเรื่องก็ดูเหมือนเป็นแบบเจ้าหญิงนิทรา แต่จริงๆ คือการมโน เพราะเธอไม่ตาย ไม่ถูกฆ่า เพราะเบฟไม่กลัวเพนนี่ไวส์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของมัน เธอไม่ได้รอดชีวิตเพราะการจูบของเบน
ริทชี่ เด็กปากหมา ขาเมาท์ของกลุ่ม ในนิยายริทชี่จะกลัวหมาป่า ส่วนในหนังริทชี่จะกลัวตัวตลก แต่เขาไม่ได้เจอตัวตลกหลอกแบบเพื่อนๆ โดยอาจะเป็นเพราะเขาเคยพูดถึงเรื่องพรหมจรรย์ ในขณะที่คนอื่นในกลุ่มยังรักษามันไว้อยู่ แต่สุดท้ายเขาก็เห็นตัวตลกเหมือนกับเพื่อน และความกลัวของเขาเมื่อเข้าไปในบ้านผีสิงคือกลัวการหายไป และวันในประกาศคนหายคือ fourth of july ซึ่งเป็นวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา นั่นแสดงถึงว่าเขากลัวการถูกปล้นอิสรภาพจากผู้ใหญ่
แสตนลี่ย์ ลูกชายของแรบไบ เขาถูกพ่อบังคับให้นับถือสิ่งเดียวกับที่เขานับถือ บังคับให้ท่องบทสวด เพื่อจะสวดแล้วทำให้กลายเป็นผู้ใหญ่ เขากลัวรูปภาพผู้หญิงเป่าขลุ่ยในห้องหนังสือซึ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงกลัว
ไมค์ เด็กสัญชาติแอฟริกัน อเมริกันคนเดียวของกลุ่ม เขามักถูกกลุ่มคู่อริคือ เฮนรี่และพวก ไล่ให้ออกไปจากเมือง พ่อแม่เขาตายจากเพลิงไหม้โดยกลุ่มเฮนรี่ เขาต้องไปทำงานฆ่าแกะ งานที่พ่อเขาทำ เขาไม่ใจเด็ดพอที่ฆ่าแกะ จึงถูกเปรียบเทียบโดยเพื่อนร่วมงานกับพ่อของเขา มีวาทะกรรมที่เพื่อนร่วมงานพูดว่า จงเลือกเอาว่าจะเป็นแกะที่ถูกยิง หรือจะเป็นคนยิงแกะ ซึ่งมันสะท้อนถึงการถูกดขี่ของคนสีผิวที่ต้องดิ้นรนให้อยู่รอดในคนขาว
เอ็ดดี้คือ เด็กชายที่ถูกแม่อ้วนอ่อนแอของเขา สร้างให้เขาเป็นเด็กเจ็บป่วย อ่อนแอ เป็นหอบหืดต้องพ่นยา ต้องรักจูบแม่ ไม่ให้คบเพื่อน overprotection จนภายหลังเขามาทราบว่าจริงๆแล้ว ยาที่เขาใช้เป็นยาหลอก แม่เขาเจ็บป่วยทางจิต ต้องการให้ลูกเป็นเด็กอ่อนแอ ต้องการแม่ ความกลัวของเขาคือผีโรคเรื้อน
ส่วนแก๊งอันถพาลนำโดยเฮนรี่ลูกตัวรวจ ที่ถูกเสี้ยมสอนมาให้เกลียดชังคนดำ และนำไปสู่การเหยียดเพื่อนที่ดูอ่อนแอ ไม่ปกติในสายตาเขา จนเป็นที่มาของการก่อตั้งศาลาพักใจคนขี้แพ้ พ่อของเขาก็เลี้ยงดุด้วยความรุนแรง violent home ใช้คำพูดหยาบคายกับลูก
สังเกตว่าผู้ใหญ่ในทุกครอบครัวล้วนเป็นใหญ่ ไม่ฟังความเห็นของเด็ก ต้องการให้เด็กมีแนวคิด ความเห็น และชีวิตเป็นแบบที่ตนเป็นหรือเชื่อ บางคนปล่อยทิ้งขว้าง บางคนก็จู้จี้กับชีวิตพวกเขามากเกินจำเป็น มีหัวแนวคิดโบราณ ถูกนำเสนอผ่านเหตุการณ์ที่เลือดของเด็กที่ตายในเมืองพุ่งขึ้นมาจากท่อน้ำในห้องน้ำของเธอ คล้ายกับฉากใน A Nightmare on Elm Street (1984) ซึ่งปรากฎเป็น ref ในหนัง ปรากฎว่าพ่อของเธอไม่เห็นห้องน้ำเลือดเด็กในบ้านของเบฟ บอกถึงการมองไม่เห็น ไม่รู้ไม่ชี้ปัญหาของเด็ก (youth blood) ของผู้ใหญ่ ที่มีแต่พวกเด็กด้วยกันที่เห็น การหายของเด็กที่ระบบตำรวจล้มเหลว (พ่อของเฮนรี่) และคนในเมืองไม่สนใจ ปล่อยให้ผ่านไป (พ่อบิล, ยายแก่ที่เห็นจอร์จี้ น้องชายของบิลมองเด็กผ่านๆ ไม่สนใจว่าเด็กจะตกลงไปในท่อระบายน้ำ)
การเห็นตัวตลก ก็มักจะสัมพันธ์กับเหตุการณ์หรือช่วงวัยที่พวกเขา “ข้ามสะพานไม้” คือมีทางเลือกที่ต้องเดิน จะสังเกตว่าทุกตัวละครในกลุ่มขี้แพ้มีทางเลือกต้องเดิน บิลจะตามหาน้องหรือปล่อยให้ผ่านไปตามคำสั่งพ่อ เบฟจะทนกับเพื่อนร้ายที่โรงเรียน พ่อที่เอาเปรียบทางเพศกับเธอ หรือจะลุกขึ้นมาสู้ เบน เด็กใหม่ที่ถูกล้อเรื่องรูปร่าง หรือจะต้อต้านแก๊งเฮนรี่ แสตนลี่ย์ จะยอมท่องบทสวดและเชื่อตามพ่อ หรือเขาจะมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ไมค์ เขาถูกกดขี่มาตั้งแต่ชาติกำเนิด เขาจะทนแรงกดดันจากแก๊งและเพื่อนที่ทำงาน หรือจะมีชิตอิสระไม่อยู่ภายใต้ขี้ปากของใคร เอดดี้ เขายังเป็นลูกโอ๋ของแม่ เป็นเด็กอ่อนแอ ต่อไปหรือไม่ ส่วนริทชี่ในตอนหลังเขาเห็นตัวตลกเหมือนกับเพื่อน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรที่เป็นจุดหักเหของเขา อาจจะเป็นการที่เขาต้องไปช่วยเหลือ รวมใจกับเพื่อน
เฮนรี่เอง เขาก็ได้เจอกับตัวตลก เมื่อเขาต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ภายใต้พ่อที่ดุร้าย ปฎิบัติกับเขาไม่เหมือนเลือดเนื้อ หรือจะหาทางออกอื่น ซึ่งด้วยการเลี้ยงดู นั่นรวมไปถึงทีวี และสื่อที่นำเสนอความรุนแรง (ทีวีในหนังกล่อมให้เฮนรี่จัดการพ่อ และ Stephen King เองก็เคยแอนตี้การให้เด็กเล่นเกมสืที่มีเนื้อหารุนแรงก่อนอายุสิบแปดปี ในปี 2008) บรรยากาศที่เขาเติบโตมา จึงทำให้เขาเป็นเด็กก้าวร้าว และตัดสินใจเลือกทางเดิน โดยการฆ่าพ่อตัวเอง
ตัวตลกที่อาศัยในท่อระบายน้ำ และเด็กในเรื่องก็ถูกเปรียบเทียบเป็นเรือ การลอยของเรือก็คือการได้แล่น การมีชีวิต ส่วนการจมก็คือการไม่ได้ทำในสิ่งที่ฝัน การไม่ได้ทำในสิง่ที่อยากทำ และตัวตลกก็เป็นเสมือนผู้ใหญ่ที่คอยบงการควบคุมอนาคตของเด็กๆ เหล่านั้นไว้ และสำหรับอเมริกาคงไม่พ้น President (ในปี 2016 ช่วงการหาเสียงของทรัมพ์ คิงเคยวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นผู้อพยบชาวเม็กซิกัน และในปีเดียวกันช่วงเดือนมิถุนายน คิงทวีตข้อความเสียดสีถึงทรัมพ์ว่า “อีตาเหยียดเชื้อชาติผิวบางที่มีวุฒิภาวะไม่ต่างอะไรจากเด็กสามขวบ”)
ในตอนจบ เหล่าเด็กที่ถูกตัวตลกฆ่า ก็ลอยขึ้นในท่อระบายน้ำ แต่จริงๆ พวกเขาก็กำลังจมอยู่ ดังนั้นการลอยของตัวตลกก็คือการจมลงไปในน้ำ เช่นเดียวกับลูกโป่งสีแดงที่ปรากฎอยู่เรื่อยๆในหนัง สีแดงก็อาจหมายถึงพรรครีพับลิกัน ฉากที่ชัดเจนคือตอนที่เบนถูกเฮนรี่กรีดพุง มีผู้ใหญ่ขับรถมาและไม่สนใจใยดีเขา ไม่เดือดร้อนกับการที่เยาวชนถูกทำร้าย แล้วรถขับผ่านไปก็มีลูกโป่งลอยขึ้นที่หลังรถ
ผู้ใหญ่พวกนั้นจึงเหมือนเป็นคนของรีพับลิกัน ผู้ใหญ่ในเรื่องแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ยายแก่เลี้ยงแมวที่ไม่สนใจจอร์จี้ คนขายยาที่ไม่อาจหักห้ามใจเมื่อเบฟไปล่อลวง เขาเองยังทำผิดจรรยาบรรณด้วยการขายยาปลอมให้เอดดี้ รวมไปถึงฉากผู้ใหญ่ที่นั่งเฉยๆในห้องสมุด ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเบนถูกผีหลอก หรือว่าแม่บิลที่เล่นเปียโน (ดนตรีคลาสสิค ทำให้นึกถึงความเป็น conservative) ไม่สนใจลูกไปเล่นนอกบ้านฝนตกตามลำพัง รวมไปถึง เมื่อตอนกลุ่มขี้แพ้มาฉายภาพแผนที่ท่อระบายน้ำที่โรงรถบ้านบิล แม่บิลในภาพก็กลายเป็นตัวตลก เราแทบไม่เห็นการปรากฎตัวของพ่อแม่ของบิลเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนบนโลก เอาจริงๆ พวกผู้ใหญ่ก็อาจจะเห็นตัวตลก เห็นโศกนาฎกรรมที่เกิด แต่มองข้ามไป หรือบางทีพวกเขาอาจจะเป็นพวกเดียวกับตัวตลกเสียด้วยซ้ำ ดูจากสีหน้าแววตาที่นิ่งดูไม่มีเลือดเนื้อของความเป็นมนุษย์
การลอยของเด็กก็คือเหมือนการลอยของลูกโป่ง และสีเหลืองของเรือความหมายก็คือ ความสดใส ความสุข การมองโลกในแง่ดี พละกำลัง ดังนั้นเรือสีเหลืองจึงหมายถึงความเป็นวัยรุ่น ฉากลอยตัวในน้ำ เล่นน้ำกันของเด็กๆ จึงเป็นฉากที่สวยงามมากสำหรับเราคือ ตอนที่เด็กๆ กระโดนน้ำจากหน้าผาหินสูงชันลงมาที่ทะเลสาบสีเขียวมรกต บรรเลงด้วยเสียงเปียโน มันเป็นภาพแทนของชีวิตวัยแรกรุ่น ที่อิสระเสรี ไร้การควบคุมบงการจากใคร แม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่งดงามเหลือเกิน
หนังเล่นกับความกลัว เด็กที่กลัวไม่กล้าต่อกรกับอำนาจของผู้ใหญ่ ก็จะถูกตัวตลกหลอก ตัวตลกต้องการแช่แข็งชีวิตพวกเขาให้กลายเป็นเด็กไปตลอดการ ไม่อาจคิดตัดสินใจได้เอง ยกเว้นพวกเขาได้เลือกทางเดินชีวิตไปแล้ว ตามที่ผู้ใหญ่เลือกให้ (ในหนังจะมีช่วงที่กลุ่มขี้แพ้ทะเลาะกัน ต่างคนต่างไปดำเนินตามชีวิตตัวเองตามที่ผู้ปกครองอยากให้เป็น พวกเขาก็สงบดี ไม่มีตัวตลกมาหลอก) เขาก็จะไม่เจอมันหลอกอีก จนกว่าจะครบรอบ 27 ปี
ในพาร์ทหนังผีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถันมากในแต่ละฉาก สังเกตจาก form ของผีที่หลอกหลาย เราชอบมากตรงที่ผีในเรื่องแม้ว่ามันจะเป็นตัวตลก แต่พาร์ทมันหลอกตัวละครและคนดู มันมีการ metamorphosis ไปตามแต่ละความกลัวในระดับจิตไร้สำนึกของตัวละคร ชอบตรงที่มันเล่นกับความกลัวของเราเองที่มันก็มีทั้งผ่านกระบวนการที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว ตัวตลกในเรื่องนี้จึงไม่เหมือนกับหนังผีเรื่องอื่นๆ ที่เรามักจะเดาทางออก เพราะมันมีตัวละครตัวเดียว รูปลักษณ์แบบเดิมตลอดทั้งเรื่อง
ในช่วงท้าย เหล่าเด็กทำสัญญาเลือดกัน ซึ่งน่าสนใจที่มันเป็นธรรมเนียมของชนพื้นเมืองอเมริกัน ในหนังเองก็มีพูดถึงการโบ้ยความผิดของการตายของผู้ก่อตั้งเมืองว่าเป็นของอินเดียนแดง (ซึ่งจริงๆ น่าจะเกิดจากตัวตลก เพราะเห็นปรากฎในภาพวาด) และประเด็นตรงนี้ก้ได้ถูกขยับขยายใน The Shining (1980) ที่เขียนโดยคิงเช่นกัน พวกเขาทำสัญญาบริเวณสะพานโรงไม้ นั่นแปลว่าพวกเขาได้ก้าวผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตมาแล้ว
พวกเขาสัญญากันว่าจะกลับมาต่อกรกับตัวตลกอีกครั้งเมื่อครบกำหนด สัญญาที่ต้องแลกมาด้วยแผลและเลือด ประสานกัน บิลในฉากนั้นใส่ชุดสีแดง เสื้อในสีขาว กางเกงน้ำเงิน สีของธงชาติอเมริกัน เสมือนหนึ่งว่าพลังเลือดรุ่นนี้นี่แหละที่จะต่อกรกับอำนาจมืดของหัวคิดโบราณและจะนำพาประเทศชาติไปข้างหน้า
ในอีกทางหนึ่ง การนำกลับเอา It มาสร้างใหม่ในครั้งนี้ สิ่งที่เราได้หาใช่เพียงความบันเทิงจากการจำลองเหตุการณ์ผีหลอกในหลายสีบปีที่แล้ว แต่ยังส่งแรงสะท้อนมาถึงโลกปัจจุบัน ย้อนนึกไปว่าสถานะที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับที่กำลังถูก "ตัวตลก" หลอกล่อให้เราเป็นเด็กอยู่ตลอดกาล
นี่จึงหนังผีที่สวยงามที่สุดที่เราได้ดูหลายเดือน
จะรอติดตามในอีก 27 ปีถัดไป เมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจทางเลือกเดินของชีวิตอีกครั้ง