[หนังโรงเรื่องที่ 198] It : โอ๊...เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย ; (Andy Muschietti, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++++ (จากสเกล D-A)
*มีฉากรุนแรงที่เกิดขึ้นกับตัวละครเด็กพอประมาณ มีฉากวาบหวิวแต่ไม่ถึงกับ sexual ไม่เหมาะสำหรับการพาเด็กเล็กเด็กน้อยไปดู
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เหตุเกิดที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในยุค 1988 เมื่อ "จอร์จี้" (Jackson Robert Scott) น้องชายของ "บิล" (Jaeden Lieberher) และเด็กจำนวนมากได้หายตัวไประหว่างออกไปวิ่งเล่น ซึ่งแม้เวลาผ่านไปร่วมปีแต่บิลก็ยังไม่ลดละความพยายามในการตามหาน้องชายตัวเอง จนได้พบเบาะแสว่าเหตุการณ์คนสูญหายจำนวนมากมีความเกี่ยวพันกับตัวตลกตนหนึ่งที่ชื่อ "เพนนีไวซ์" (Bill Skarsgrd) ซึ่งมีร่องรอยการปรากฏตัวย้อนกลับไปนับสิบๆปี ... และบิลก็พบว่าเขาและกลุ่มเพื่อนๆกำลังถูกหมายตาโดยเพนนีไวซ์
.
.
ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยตัวผู้เขียนเองไม่เคยดู It เวอร์ชั่นต้นฉบับมาก่อนหรือกระทั่งหนังสือก็ยังไม่เคยอ่านเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าชื่อเสียงระดับ "หนังสยองขวัญตลอดกาล" นี่ไม่ใช่แค่คำคุยโวจริงๆ และที่สำคัญคือรสชาติที่แตกต่างของหนังที่แทรกตัวเข้ามาในยุคที่หนังซาตานหลอนบ้านของ James Wan กำลังยึดครองโรงหนังมาช้านานแล้ว "It" ก็เหมือนกับอาหารจานใหม่สวยงามทั้งหน้าตาและมีรสที่อร่อยลิ้นจริงๆ
สิ่งแรกที่ชอบก็คือ "ความบุฟเฟ่ต์" ของผีเพนนีไวซ์ในเรื่อง ที่ไม่ยี่หระต่อขนบใดๆของหนังผีทั้งสิ้น คือตามปกติแล้วหนังผีฝรั่งยุคนี้เนี่ยมักจะเกิดขึ้นในสถานที่จำกัดๆสถานที่หนึ่ง แล้วมันก็จะมีสถานการณ์ต่างๆที่บีบให้ตัวละครเอกของเรื่องมีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับผีโง่ๆให้คนดูอย่างเราหงุดหงิดใจเล่น (ถ้าไม่โง่ก็ไม่โดนหลอกผีน่ะสิ) แต่สำหรับหนังนี้ขอให้ลืมธรรมเนียมเดิมๆพวกนั้นไปได้เลย ... เพราะอีผีตัวตลกตัวนี้มันไม่กิฟอะชิทใดๆ ต่อให้เอ็งจะแยกไปอยู่กันคนละมุมเมือง จะไปไหว้พระในโบสถ์ หรือแม้แต่ยืนอยู่กลางชุมชนคนเยอะแยะ มันก็หลอกเอ็งได้!
คือมันเลวร้ายจริงๆนะ มันเป็นการหลอกผีแบบอุกอาจมาก หลอกแบบตามใจฉันสุดฤทธิ์ แถมไม่ใช่แค่ครั้งเดียวคือมันมาเรื่อยๆทุกครั้งที่สบโอกาสโดยมีเป้าหมายจะทำให้เหยื่อหวาดกลัวหวาดระแวง ซึ่งไอ้ความ "ทั่วถึง" ของผีร้ายในเรื่องนี่แหละ ที่ทำให้เราเกิดบรรยากาศความรู้สึก "วางใจไม่ลง" ขึ้นมาจริงๆ คือผู้เขียนดูไปตลอดเรื่องนี่แทบไม่เคยถอนหายใจโล่งๆได้เลย กระทั่งเวลาที่ตัวเอกยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีกลางวันแสกๆ (แดดจ้าจนแสบตา) เราก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าผีมันก็ยังจะโผล่มาได้อยู่ดี ซึ่งเหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าถ้าเป็นขนบโมเดลหนังของยุคนี้แล้วล่ะก็ ช่วงกลางวันมันควรจะเป็นช่วงที่ให้คนดูอย่างเราพักหายใจด้วยสิ! นี่ถือเป็นหนึ่งความแปลกใหม่ที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจเลยนะ

สิ่งประทับใจเรื่องที่สองก็คือ "รสชาติที่หลากหลาย" ในหนังเรื่องเดียว คือจริงอยู่โจทย์หลักของเรื่องมันก็คือความสยองขวัญของปิศาจตัวตลก ... แต่ในโจทย์รองก็ถือว่าหนังทำผลงานได้น่าประทับใจไม่แพ้กันในลักษณะของ "หนังก้าวข้ามพ้นวัย" (coming-of-age) ซึ่งเกิดขึ้นกับบรรดาเด็กน้อยตัวละครหลักของเรา ซึ่งต่างเป็นทั้งขี้แพ้และเหยื่อในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น "บิล" เด็กหนุ่มติดอ่างผู้สูญเสียน้องชาย, "เบ็น" เด็กอ้วนที่โตช้ากว่าเพื่อน, "ริชชี่" จอมคุยโวที่ต้องการการยอมรับ, "เอ็ดดี้" ลูกแหง่ที่ถูกแม่ประคบประหงมเกินเหตุ, "แสตนลีย์" ลูกชายของแรบไบที่ถูกบีบคั้นโดยความคาดหวัง, "ไมค์" เด็กหนุ่มผิวสีที่เป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติ และ "เบเวอร์ลี่" เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มที่ต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ไม่ปกติ
ซึ่งแน่นอนว่าเด็กๆแต่ละคนก็ไม่ได้มีเสน่ห์น่าดึงดูดอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์คือพอทุกคนมารวมตัวกันแล้ว มันจะเกิดเป็น "อารมณ์" (Vibe) อะไรซักอย่างที่พิเศษขึ้นมา บรรยายไม่ค่อยถูกเท่าไหร่แต่รู้แค่ว่า "เรารู้สึกชอบที่ได้เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน" อะไรประมาณนี้ และการที่หนังใจกว้างแบ่งเวลาให้เราไปเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเด็กๆแต่ละคนก็ยิ่งทำให้หนังเลอค่าขึ้นไปอีก อีกทั้งอารมณ์ขันที่ถูกสอดแทรกเข้ามาอย่างพอเหมาะก็ยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย--คือในความหลอนและกดดันนั้น ก็ยังมีความขำก๊ากแฝงอยู่เป็นระยะๆให้เราได้เพลิดเพลินกับหนังได้ด้วย เหมือนได้เห็นฉากเด็กผู้ชายปั่นจักรยานเรียงแถวหน้ากระดานแบบในหนัง "แฟนฉัน" ยังไงยังงั้น ... เวอร์ชั่นที่พ่วงตัวตลกผีวิ่งตามหลังมาด้วยอะนะ

ในแง่ของความหลอน ก็ต้องชื่นชมว่าถ่ายทอดออกมาได้ดีเยี่ยมด้วยเทคนิค "การหลอกผี" ที่แปลกใหม่ (ในยุคนี้) ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้หนังสามารถคุมโทนของตัวเองไว้ได้อย่างรัดกุมตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งถือว่านานมากๆสำหรับหนังสยองขวัญ แต่ในความยาวนานเป็นพิเศษนั้นก็ต้องบอกว่า "หนังไม่ทำให้เราเบื่อเลยแม้แต่น้อย" -- มุกหลอกผีที่จริงบ้าง หลอกเล่นบ้าง ตุ้งแช่บ้าง ก็ยังทำงานได้อย่างต่อเนื่องไม่มีตก ... แต่สำหรับผีตัวชูโรงอย่างเพนนีไวซ์ที่รับบทโดย "บิล สการ์สการ์ด" นั้นก็ยังให้ความรู้สึกแค่ "น่ากลัวพอใช้ได้" มากกว่า (ในความเห็นของผู้เขียนนะ) แต่ถามว่าสยองเพียงพอมั้ย? ถ้าตอบว่าไม่ก็คงโกหกแหละ (กลัวจนตัวหดขนาดนี้)
.
.
สรุปแล้ว It อาจจะเป็นตัวเลือกหนังสยองขวัญที่ดีที่สุดในรอบปีนี้ มันครบรสทั้งความน่ากลัว อารมณ์ขบขัน และความรู้สึกอิ่มเอมใจจากพัฒนาการของตัวละคร มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดที่เราจะคาดหวังจากหนังผีเรื่องนึง
จริงอยู่ว่าด้วยความ unconventional ของมันอาจไม่ถูกปากผู้ชมบางส่วนของบ้านเราเท่าไหร่นัก เพราะเราอาจจะคุ้นชินกับการคลี่คลายปมที่มาของความหลอนของวิญญานร้ายให้เคลียร์จนหมดเปลือก (คนไทยชอบฟังที่มาของผี) ซึ่งเป็นเทรนด์ของหนังผีที่เกิดจากความเป็น Wan-ism มากไป อีกทั้งวิธีกำจัดวิญญานร้ายนี่ก็โคตรจะไม่แมสเลย ออกแนว unexpected นิดๆหน่อยด้วยซ้ำ (หัวเราะ)
... ยังไงผู้เขียนก็เชื่อว่าถ้าเราเปิดใจปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปกับหนังให้เต็มที่ ทุกคนจะสนุกกับเรื่องนี้มากครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[หนังโรงเรื่องที่ 199] It : โอ๊...เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 198] It : โอ๊...เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย ; (Andy Muschietti, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++++ (จากสเกล D-A)
*มีฉากรุนแรงที่เกิดขึ้นกับตัวละครเด็กพอประมาณ มีฉากวาบหวิวแต่ไม่ถึงกับ sexual ไม่เหมาะสำหรับการพาเด็กเล็กเด็กน้อยไปดู
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เหตุเกิดที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในยุค 1988 เมื่อ "จอร์จี้" (Jackson Robert Scott) น้องชายของ "บิล" (Jaeden Lieberher) และเด็กจำนวนมากได้หายตัวไประหว่างออกไปวิ่งเล่น ซึ่งแม้เวลาผ่านไปร่วมปีแต่บิลก็ยังไม่ลดละความพยายามในการตามหาน้องชายตัวเอง จนได้พบเบาะแสว่าเหตุการณ์คนสูญหายจำนวนมากมีความเกี่ยวพันกับตัวตลกตนหนึ่งที่ชื่อ "เพนนีไวซ์" (Bill Skarsgrd) ซึ่งมีร่องรอยการปรากฏตัวย้อนกลับไปนับสิบๆปี ... และบิลก็พบว่าเขาและกลุ่มเพื่อนๆกำลังถูกหมายตาโดยเพนนีไวซ์
.
ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยตัวผู้เขียนเองไม่เคยดู It เวอร์ชั่นต้นฉบับมาก่อนหรือกระทั่งหนังสือก็ยังไม่เคยอ่านเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าชื่อเสียงระดับ "หนังสยองขวัญตลอดกาล" นี่ไม่ใช่แค่คำคุยโวจริงๆ และที่สำคัญคือรสชาติที่แตกต่างของหนังที่แทรกตัวเข้ามาในยุคที่หนังซาตานหลอนบ้านของ James Wan กำลังยึดครองโรงหนังมาช้านานแล้ว "It" ก็เหมือนกับอาหารจานใหม่สวยงามทั้งหน้าตาและมีรสที่อร่อยลิ้นจริงๆ
สิ่งแรกที่ชอบก็คือ "ความบุฟเฟ่ต์" ของผีเพนนีไวซ์ในเรื่อง ที่ไม่ยี่หระต่อขนบใดๆของหนังผีทั้งสิ้น คือตามปกติแล้วหนังผีฝรั่งยุคนี้เนี่ยมักจะเกิดขึ้นในสถานที่จำกัดๆสถานที่หนึ่ง แล้วมันก็จะมีสถานการณ์ต่างๆที่บีบให้ตัวละครเอกของเรื่องมีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับผีโง่ๆให้คนดูอย่างเราหงุดหงิดใจเล่น (ถ้าไม่โง่ก็ไม่โดนหลอกผีน่ะสิ) แต่สำหรับหนังนี้ขอให้ลืมธรรมเนียมเดิมๆพวกนั้นไปได้เลย ... เพราะอีผีตัวตลกตัวนี้มันไม่กิฟอะชิทใดๆ ต่อให้เอ็งจะแยกไปอยู่กันคนละมุมเมือง จะไปไหว้พระในโบสถ์ หรือแม้แต่ยืนอยู่กลางชุมชนคนเยอะแยะ มันก็หลอกเอ็งได้!
คือมันเลวร้ายจริงๆนะ มันเป็นการหลอกผีแบบอุกอาจมาก หลอกแบบตามใจฉันสุดฤทธิ์ แถมไม่ใช่แค่ครั้งเดียวคือมันมาเรื่อยๆทุกครั้งที่สบโอกาสโดยมีเป้าหมายจะทำให้เหยื่อหวาดกลัวหวาดระแวง ซึ่งไอ้ความ "ทั่วถึง" ของผีร้ายในเรื่องนี่แหละ ที่ทำให้เราเกิดบรรยากาศความรู้สึก "วางใจไม่ลง" ขึ้นมาจริงๆ คือผู้เขียนดูไปตลอดเรื่องนี่แทบไม่เคยถอนหายใจโล่งๆได้เลย กระทั่งเวลาที่ตัวเอกยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีกลางวันแสกๆ (แดดจ้าจนแสบตา) เราก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าผีมันก็ยังจะโผล่มาได้อยู่ดี ซึ่งเหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าถ้าเป็นขนบโมเดลหนังของยุคนี้แล้วล่ะก็ ช่วงกลางวันมันควรจะเป็นช่วงที่ให้คนดูอย่างเราพักหายใจด้วยสิ! นี่ถือเป็นหนึ่งความแปลกใหม่ที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจเลยนะ
สิ่งประทับใจเรื่องที่สองก็คือ "รสชาติที่หลากหลาย" ในหนังเรื่องเดียว คือจริงอยู่โจทย์หลักของเรื่องมันก็คือความสยองขวัญของปิศาจตัวตลก ... แต่ในโจทย์รองก็ถือว่าหนังทำผลงานได้น่าประทับใจไม่แพ้กันในลักษณะของ "หนังก้าวข้ามพ้นวัย" (coming-of-age) ซึ่งเกิดขึ้นกับบรรดาเด็กน้อยตัวละครหลักของเรา ซึ่งต่างเป็นทั้งขี้แพ้และเหยื่อในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น "บิล" เด็กหนุ่มติดอ่างผู้สูญเสียน้องชาย, "เบ็น" เด็กอ้วนที่โตช้ากว่าเพื่อน, "ริชชี่" จอมคุยโวที่ต้องการการยอมรับ, "เอ็ดดี้" ลูกแหง่ที่ถูกแม่ประคบประหงมเกินเหตุ, "แสตนลีย์" ลูกชายของแรบไบที่ถูกบีบคั้นโดยความคาดหวัง, "ไมค์" เด็กหนุ่มผิวสีที่เป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติ และ "เบเวอร์ลี่" เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มที่ต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ไม่ปกติ
ซึ่งแน่นอนว่าเด็กๆแต่ละคนก็ไม่ได้มีเสน่ห์น่าดึงดูดอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์คือพอทุกคนมารวมตัวกันแล้ว มันจะเกิดเป็น "อารมณ์" (Vibe) อะไรซักอย่างที่พิเศษขึ้นมา บรรยายไม่ค่อยถูกเท่าไหร่แต่รู้แค่ว่า "เรารู้สึกชอบที่ได้เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน" อะไรประมาณนี้ และการที่หนังใจกว้างแบ่งเวลาให้เราไปเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเด็กๆแต่ละคนก็ยิ่งทำให้หนังเลอค่าขึ้นไปอีก อีกทั้งอารมณ์ขันที่ถูกสอดแทรกเข้ามาอย่างพอเหมาะก็ยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย--คือในความหลอนและกดดันนั้น ก็ยังมีความขำก๊ากแฝงอยู่เป็นระยะๆให้เราได้เพลิดเพลินกับหนังได้ด้วย เหมือนได้เห็นฉากเด็กผู้ชายปั่นจักรยานเรียงแถวหน้ากระดานแบบในหนัง "แฟนฉัน" ยังไงยังงั้น ... เวอร์ชั่นที่พ่วงตัวตลกผีวิ่งตามหลังมาด้วยอะนะ
ในแง่ของความหลอน ก็ต้องชื่นชมว่าถ่ายทอดออกมาได้ดีเยี่ยมด้วยเทคนิค "การหลอกผี" ที่แปลกใหม่ (ในยุคนี้) ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้หนังสามารถคุมโทนของตัวเองไว้ได้อย่างรัดกุมตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งถือว่านานมากๆสำหรับหนังสยองขวัญ แต่ในความยาวนานเป็นพิเศษนั้นก็ต้องบอกว่า "หนังไม่ทำให้เราเบื่อเลยแม้แต่น้อย" -- มุกหลอกผีที่จริงบ้าง หลอกเล่นบ้าง ตุ้งแช่บ้าง ก็ยังทำงานได้อย่างต่อเนื่องไม่มีตก ... แต่สำหรับผีตัวชูโรงอย่างเพนนีไวซ์ที่รับบทโดย "บิล สการ์สการ์ด" นั้นก็ยังให้ความรู้สึกแค่ "น่ากลัวพอใช้ได้" มากกว่า (ในความเห็นของผู้เขียนนะ) แต่ถามว่าสยองเพียงพอมั้ย? ถ้าตอบว่าไม่ก็คงโกหกแหละ (กลัวจนตัวหดขนาดนี้)
.
สรุปแล้ว It อาจจะเป็นตัวเลือกหนังสยองขวัญที่ดีที่สุดในรอบปีนี้ มันครบรสทั้งความน่ากลัว อารมณ์ขบขัน และความรู้สึกอิ่มเอมใจจากพัฒนาการของตัวละคร มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดที่เราจะคาดหวังจากหนังผีเรื่องนึง
จริงอยู่ว่าด้วยความ unconventional ของมันอาจไม่ถูกปากผู้ชมบางส่วนของบ้านเราเท่าไหร่นัก เพราะเราอาจจะคุ้นชินกับการคลี่คลายปมที่มาของความหลอนของวิญญานร้ายให้เคลียร์จนหมดเปลือก (คนไทยชอบฟังที่มาของผี) ซึ่งเป็นเทรนด์ของหนังผีที่เกิดจากความเป็น Wan-ism มากไป อีกทั้งวิธีกำจัดวิญญานร้ายนี่ก็โคตรจะไม่แมสเลย ออกแนว unexpected นิดๆหน่อยด้วยซ้ำ (หัวเราะ)
... ยังไงผู้เขียนก็เชื่อว่าถ้าเราเปิดใจปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปกับหนังให้เต็มที่ ทุกคนจะสนุกกับเรื่องนี้มากครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้