"และแล้วในห้วงนั้นเอง ภาพวัยเยาว์ย้อนกลับมาอีกครั้ง ราวแผ่นฟิล์มที่ถูกทิ้งไว้ 27 ปี ถูกนำกลับมาฉายใหม่ พวกเขาปะติดปะต่อเศษเสี้ยวความทรงจำที่หล่นหาย แม้เลือนรางดุจเงาสะท้อนบนผืนน้ำที่สั่นไหว แต่เมื่อวัยเยาว์จ้องกลับมาจากอดีต พวกเขาเห็นตัวเองกับจักรยานคันเก่งยืนเคียงข้างกัน ไม่ใช่ทุกความทรงจำที่โหดร้ายจนอยากฝังกลบในส่วนลึกของใจ แต่ความอบอุ่นของมิตรภาพและการมีกันและกัน คือ ความรู้สึกที่แม้แต่กาลเวลาก็มิอาจพรากจาก และเมื่อนั่นเองที่ The Loser Club ได้หวนกลับมาหา ‘มัน’ อีกครั้ง"
IT (2017) เป็นหนังผี/สยองขวัญเรื่องแรกในรอบหลายปีที่ทำให้เราน้ำตาซึมด้วยความอบอุ่นและประทับใจ แตกต่างจากหนังผีทั่วไปที่เมื่อเราผละออกจากโรงที่มืดมิดออกมา เราจะยังขวัญผวากับเรื่องราวสั่นประสาทที่เราพาตัวเองเข้าโรงไปทรมาน แต่สำหรับ IT เรากลับออกจากโรงหนังด้วยความอิ่มเอมใจราวกับอ่านนิยายชั้นดีจบลงไป
แน่นอน IT ช่วยย้อนเตือนความทรงใจว่าเราเคยรักหนังที่สร้างจากนิยายของ Stephen King มากแค่ไหน ทั้ง The Green Mile, Shawshank Redemption, Stand by Me (โอเคเว้น The Shining, Pet Cemetery กับ Children of Corn ไว้หน่อย พวกนี้อยู่ในลิสต์ดูแล้วจิตตก รวมถึง The Mist เวอร์ชั่นหนังที่ตอนจบยังอึงอลอยู่ในหมอกควัน)
ความประทับใจจาก IT ทำให้เรากลับไปนอนฟัง Original Score ของ Benjamin Wallfisch ทั้งคืน โดยเฉพาะ Track โหมโรงชื่อ ‘Every 27 Years’ ซึ่งทำให้ประหวัดนึกถึงธีมหนังสยองขวัญยุค 70s – 80s ที่เปี่ยมไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหา นอกจากนั้น Track อย่าง ‘Beverly’ ซึ่งเป็นเพลงธีมของ Beverly Marsh ยังเป็นหนึ่งในธีมบรรเลงเปียโนที่เราชอบมากที่สุด เพราะมันฉายให้เห็นถึงความสดใสอย่างเป็นธรรมชาติของวัยเยาว์ที่ถูกกดทับไว้ด้วยความร้าวรานและความโหดร้ายของสังคมที่ไม่อนุญาตให้เราได้เห็นรอยยิ้มของสมาชิก The Loser Club ในช่วงต้นเรื่อง จนกระทั่งพวกเขาได้มารวมกัน มีกันและกัน และแต่งเติมส่วนที่ขาดหายแก่กัน การกลับมาของธีมทั้งสองใน 27 Years Later ของ ‘It Chapter 2’ จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรารักเกี่ยวกับหนังภาคนี้
ดังที่หลายคนทราบดีอยู่แล้ว IT และ IT Chapter 2 ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Stephen King ซึ่งเคยดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์มาแล้วเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน แม้จะเป็นแฟนหนังที่ดัดแปลงมาจากงานของ King แต่เราไม่สู้จะได้อ่านงานแปลของเขามากนัก อาจเป็นเพราะตั้งใจจะอ่านสำนวนต้นฉบับเมื่อมีเวลามากกว่า
IT Chapter 2 ดำเนินตามกฎที่หนังได้วางไว้ในภาคแรก ด้วยการเริ่มต้นในอีก 27 ปีต่อมาหลังจากที่ The Loser Club สามารถปราบเจ้าตัวตลก Pennywise ให้กลับสู่การจำศีลได้ คราวนี้ ‘มัน’ หวนกลับมารังควาญชีวิต โดยเฉพาะบรรดาเด็ก ๆ แห่งเมือง Derry อีกครั้งในรูปโฉมของตัวตลกจอมเขมือบเช่นเดิม นับว่าเป็นความกล้าหาญและบ้าบิ่นของผู้กำกับ Andy Muschietti อยู่เหมือนกันที่ใช้หนึ่งชั่วโมงแรกในการสำรวจสมาชิกของ The Loser Club ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในแนวทางที่แตกต่างออกไป และเกือบทุกคนได้ลืมเลือนเหตุการณ์ที่เมือง Derry เมื่อ 27 ปีก่อนไปหมดแล้ว รวมทั้งการกรีดเลือดสาบานว่าจะกลับมารวมตัวเพื่อจัดการ Pennywise เมื่อมันกลับมาอีกครั้ง มีเพียง Mike คนเดียวที่ไม่เคยไปจาก Derry และเฝ้ารอสัญญาณที่ ‘มัน’ จะฟื้นคืนและออกจากการจำศีลมาล่าเหยื่ออีกครั้งตลอด 27 ปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ IT (2017) พูดถึงประเด็นความกลัว การข้ามพ้นช่วงวัยเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ตลอดจนมิตรภาพที่แต่งเติมส่วนที่ขาดหายของแต่ละคนให้สมบูรณ์ขึ้น IT Chapter 2 (2019) ชักจูงให้เราหันกลับมาสำรวจความทรงจำที่หล่นหายไประหว่างทางที่เราเติบใหญ่ขึ้น ผ่านโลกมากขึ้น มีภาระหน้าที่การงานและครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น มีอะไรบ้างที่เราหลงลืมไประหว่างทาง เพื่อนเก่าในวัยเยาว์ วัยหวาน วัยสำราญ วัยฝัน จักรยานคันเก่าที่เราเคยขี่ หนังสือที่เราเคยอ่าน ประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเราในวันนี้ รักแรกที่หวานปนขม แต่อย่าตราตรึงมาจนถึงปัจจุบัน IT Chapter 2 ชี้ให้เราเห็นความทรงจำของความทรงจำที่แม้จะมีบางอย่างที่เราอยากลืม แต่ความทรงจำบางอย่างไม่ได้คงอยู่ในรูปแบบของภาพ หากแต่ถูกเก็บรักษาไว้ในรูปของความรู้สึก
เหมือนบทสนทนาระหว่าง Ben กับ Beverly เกี่ยวกับบทกวีบทนั้นที่ Ben เก็บรักษาความลับไว้กว่า 27 ปีที่ผ่านมา เธอบอก Ben ว่าเธอจำรายละเอียดของภาพความทรงจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ตราตรึงอยู่ในใจเสมอมา คือ ความรู้สึกอบอุ่นที่เธอไม่ได้รู้สึกบ่อยครั้งในวัยเยาว์ที่ถูกข่มเหงจากคนเป็นพ่อ สิ่งนี้คือสิ่งที่เชื่อมโยง The Loser Club ไว้ด้วยกัน ทุกคนมีความบอบช้ำในอดีตที่อยากจะลืมเลือน เช่นเดียวกับเราทุกคนที่ล้วนแล้วแต่มีความเจ็บปวดในวารวันที่อยากจะก้าวผ่าน IT Chapter 2 ชี้ให้เราเห็นว่าการเลือกที่จะลืมประสบการณ์ที่เลวร้ายอาจจะไม่ใช่วิธีการในการจัดการปัญหาทีดีเท่ากับการเลือกที่จะจดจำความทรงจำที่งดงาม มีความหมายต่อตัวตนของเรา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร อย่าลืมความฝันและตัวตนของเราในอดีต สิ่งนั้นคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นเรา อย่ากดทับมันไว้ด้วยการลืม เพราะในท้ายที่สุด ผู้ที่เจ็บปวดก็คือตัวเราเองที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับมัน
ในช่วงที่ Pennywise ถูก The Loser Club บังคับให้เข้าสู่การจำศีล ตลอด 27 ปีที่ผ่านมา พวกเขายังถูกหลอกหลอนด้วยเงาแห่งอดีต แม้จะพยายามซ่อนมันไว้ในซ่อนลึกของใจ Beverly ยังคงฝันร้าย Bill ยังคงไม่สามารถเขียนตอนจบของนิยายที่มีความสุขได้ เนื่องเพราะความรู้สึกผิดจากการสูญเสียน้องชาย Mike ยังคงรู้สึกถึงตราบาปที่ทำให้พ่อแม่ถูกไฟครอกตาย Ben ยังคงรู้สึกไม่มั่นใจตนเองและหวาดกลัวที่จะต้องตายอย่างโดดเดี่ยว Eddie ยังคงเต็มไปด้วยความกลัวในสิ่งรอบตัวราวกับแม่ผู้เจ้ากี้เจ้าการยังอยู่กับเขา ในขณะที่ Richie ยังคงมีบางสิ่งที่ต้องกดทับไว้ตลอด 27 ปีที่ผ่านมาและความที่เขาไม่สามารถเปิดเผยอัตลักษณ์ของตนเองได้ทำให้เขาคลื่นไส้อาเจียนราวกับความลับไม่มีทางออกอื่นใดนอกจากวิธีนั้น ส่วน Stanley ซึ่งเป็นคนที่มีความซับซ้อนที่สุดก็ตัดสินใจเลือกหนทางที่ทำให้การกลับมารวมกลุ่มของ The Loser Club เพื่อต่อกันกับ Pennywise อย่างเด็ดขาดเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าและมีความหมายที่สุด
IT และ IT Chapter 2 เป็นหนังสยองขวัญที่มีชีวิตจิตใจ หนังไม่ได้ขยันออกแบบฉากเขย่าขวัญใส่เรารัว ๆ แบบไม่บันยะบันยั้ง ชี้ให้เราเห็นถึงพลังแห่งศรัทธาในตนเองและมิตรภาพเพื่อก้าวข้ามพ้น ‘มัน’ อันหมายถึงความกลัวและขีดจำกัดในตนเอง ซึ่งเป็นธีมที่ซ่อนอยู่ในนิยายหลายเรื่องของ Stephen King แต่ Muschietti สามารถถ่ายทอดสารเหล่านั้นออกมาได้อย่างมีคลาส แม้ IT Chapter 2 จะมีความยาวและดูอ้อยอิ่งไปในหลายฉาก รวมทั้งไม่ยั้งในการทำลายกฎว่าเด็กต้องรอดจากการถูกคุกคามในหนังผี เพราะทุกคนล้วนตกเป็นเหยื่อของความกลัวเหมือนกัน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ และนี่คือสิ่งที่ IT Chapter 2 สามารถจับหัวใจของนิยายมาถ่ายทอดได้อย่างสนุก ซาบซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความหวัง It และ It Chapter 2 จะเป็นหนังที่เราหยิบมาดูได้อย่างไม่เบื่อ ในยามที่ต้องการกำลังใจ อย่างน้อยก็ในปีก 27 ปีถัดจากนี้
หากจะมีหนังผี/สยองขวัญเรื่องไหนที่สามารถทำให้ผู้ชายเสียน้ำตาด้วยความประทับใจได้
It (2017) และ It Chapter 2 (2019) จะยืนหนึ่งอยู่ในใจเราโดยปราศจากข้อกังขา
ปล. ฉากร้านจักรยานกับการปรากฏตัวของ ‘เขา’ อีกครั้ง ทำให้เรารู้สึกอีกครั้งว่า ‘นักเขียน’ ก็เท่กับเขาได้เหมือนกัน
อ่านบทความรีวิวหนังสไตล์นี้เพิ่มเติมได้ที่
https://settawutudakarn.com/category/film-review/
[CR] รีวิว: IT Chapter 2 (2019) จดจารในวารวันที่สิ้นสูญ
IT (2017) เป็นหนังผี/สยองขวัญเรื่องแรกในรอบหลายปีที่ทำให้เราน้ำตาซึมด้วยความอบอุ่นและประทับใจ แตกต่างจากหนังผีทั่วไปที่เมื่อเราผละออกจากโรงที่มืดมิดออกมา เราจะยังขวัญผวากับเรื่องราวสั่นประสาทที่เราพาตัวเองเข้าโรงไปทรมาน แต่สำหรับ IT เรากลับออกจากโรงหนังด้วยความอิ่มเอมใจราวกับอ่านนิยายชั้นดีจบลงไป
แน่นอน IT ช่วยย้อนเตือนความทรงใจว่าเราเคยรักหนังที่สร้างจากนิยายของ Stephen King มากแค่ไหน ทั้ง The Green Mile, Shawshank Redemption, Stand by Me (โอเคเว้น The Shining, Pet Cemetery กับ Children of Corn ไว้หน่อย พวกนี้อยู่ในลิสต์ดูแล้วจิตตก รวมถึง The Mist เวอร์ชั่นหนังที่ตอนจบยังอึงอลอยู่ในหมอกควัน)
ความประทับใจจาก IT ทำให้เรากลับไปนอนฟัง Original Score ของ Benjamin Wallfisch ทั้งคืน โดยเฉพาะ Track โหมโรงชื่อ ‘Every 27 Years’ ซึ่งทำให้ประหวัดนึกถึงธีมหนังสยองขวัญยุค 70s – 80s ที่เปี่ยมไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหา นอกจากนั้น Track อย่าง ‘Beverly’ ซึ่งเป็นเพลงธีมของ Beverly Marsh ยังเป็นหนึ่งในธีมบรรเลงเปียโนที่เราชอบมากที่สุด เพราะมันฉายให้เห็นถึงความสดใสอย่างเป็นธรรมชาติของวัยเยาว์ที่ถูกกดทับไว้ด้วยความร้าวรานและความโหดร้ายของสังคมที่ไม่อนุญาตให้เราได้เห็นรอยยิ้มของสมาชิก The Loser Club ในช่วงต้นเรื่อง จนกระทั่งพวกเขาได้มารวมกัน มีกันและกัน และแต่งเติมส่วนที่ขาดหายแก่กัน การกลับมาของธีมทั้งสองใน 27 Years Later ของ ‘It Chapter 2’ จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรารักเกี่ยวกับหนังภาคนี้
ดังที่หลายคนทราบดีอยู่แล้ว IT และ IT Chapter 2 ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Stephen King ซึ่งเคยดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์มาแล้วเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน แม้จะเป็นแฟนหนังที่ดัดแปลงมาจากงานของ King แต่เราไม่สู้จะได้อ่านงานแปลของเขามากนัก อาจเป็นเพราะตั้งใจจะอ่านสำนวนต้นฉบับเมื่อมีเวลามากกว่า
IT Chapter 2 ดำเนินตามกฎที่หนังได้วางไว้ในภาคแรก ด้วยการเริ่มต้นในอีก 27 ปีต่อมาหลังจากที่ The Loser Club สามารถปราบเจ้าตัวตลก Pennywise ให้กลับสู่การจำศีลได้ คราวนี้ ‘มัน’ หวนกลับมารังควาญชีวิต โดยเฉพาะบรรดาเด็ก ๆ แห่งเมือง Derry อีกครั้งในรูปโฉมของตัวตลกจอมเขมือบเช่นเดิม นับว่าเป็นความกล้าหาญและบ้าบิ่นของผู้กำกับ Andy Muschietti อยู่เหมือนกันที่ใช้หนึ่งชั่วโมงแรกในการสำรวจสมาชิกของ The Loser Club ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในแนวทางที่แตกต่างออกไป และเกือบทุกคนได้ลืมเลือนเหตุการณ์ที่เมือง Derry เมื่อ 27 ปีก่อนไปหมดแล้ว รวมทั้งการกรีดเลือดสาบานว่าจะกลับมารวมตัวเพื่อจัดการ Pennywise เมื่อมันกลับมาอีกครั้ง มีเพียง Mike คนเดียวที่ไม่เคยไปจาก Derry และเฝ้ารอสัญญาณที่ ‘มัน’ จะฟื้นคืนและออกจากการจำศีลมาล่าเหยื่ออีกครั้งตลอด 27 ปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ IT (2017) พูดถึงประเด็นความกลัว การข้ามพ้นช่วงวัยเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ตลอดจนมิตรภาพที่แต่งเติมส่วนที่ขาดหายของแต่ละคนให้สมบูรณ์ขึ้น IT Chapter 2 (2019) ชักจูงให้เราหันกลับมาสำรวจความทรงจำที่หล่นหายไประหว่างทางที่เราเติบใหญ่ขึ้น ผ่านโลกมากขึ้น มีภาระหน้าที่การงานและครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น มีอะไรบ้างที่เราหลงลืมไประหว่างทาง เพื่อนเก่าในวัยเยาว์ วัยหวาน วัยสำราญ วัยฝัน จักรยานคันเก่าที่เราเคยขี่ หนังสือที่เราเคยอ่าน ประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเราในวันนี้ รักแรกที่หวานปนขม แต่อย่าตราตรึงมาจนถึงปัจจุบัน IT Chapter 2 ชี้ให้เราเห็นความทรงจำของความทรงจำที่แม้จะมีบางอย่างที่เราอยากลืม แต่ความทรงจำบางอย่างไม่ได้คงอยู่ในรูปแบบของภาพ หากแต่ถูกเก็บรักษาไว้ในรูปของความรู้สึก
เหมือนบทสนทนาระหว่าง Ben กับ Beverly เกี่ยวกับบทกวีบทนั้นที่ Ben เก็บรักษาความลับไว้กว่า 27 ปีที่ผ่านมา เธอบอก Ben ว่าเธอจำรายละเอียดของภาพความทรงจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ตราตรึงอยู่ในใจเสมอมา คือ ความรู้สึกอบอุ่นที่เธอไม่ได้รู้สึกบ่อยครั้งในวัยเยาว์ที่ถูกข่มเหงจากคนเป็นพ่อ สิ่งนี้คือสิ่งที่เชื่อมโยง The Loser Club ไว้ด้วยกัน ทุกคนมีความบอบช้ำในอดีตที่อยากจะลืมเลือน เช่นเดียวกับเราทุกคนที่ล้วนแล้วแต่มีความเจ็บปวดในวารวันที่อยากจะก้าวผ่าน IT Chapter 2 ชี้ให้เราเห็นว่าการเลือกที่จะลืมประสบการณ์ที่เลวร้ายอาจจะไม่ใช่วิธีการในการจัดการปัญหาทีดีเท่ากับการเลือกที่จะจดจำความทรงจำที่งดงาม มีความหมายต่อตัวตนของเรา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร อย่าลืมความฝันและตัวตนของเราในอดีต สิ่งนั้นคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นเรา อย่ากดทับมันไว้ด้วยการลืม เพราะในท้ายที่สุด ผู้ที่เจ็บปวดก็คือตัวเราเองที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับมัน
ในช่วงที่ Pennywise ถูก The Loser Club บังคับให้เข้าสู่การจำศีล ตลอด 27 ปีที่ผ่านมา พวกเขายังถูกหลอกหลอนด้วยเงาแห่งอดีต แม้จะพยายามซ่อนมันไว้ในซ่อนลึกของใจ Beverly ยังคงฝันร้าย Bill ยังคงไม่สามารถเขียนตอนจบของนิยายที่มีความสุขได้ เนื่องเพราะความรู้สึกผิดจากการสูญเสียน้องชาย Mike ยังคงรู้สึกถึงตราบาปที่ทำให้พ่อแม่ถูกไฟครอกตาย Ben ยังคงรู้สึกไม่มั่นใจตนเองและหวาดกลัวที่จะต้องตายอย่างโดดเดี่ยว Eddie ยังคงเต็มไปด้วยความกลัวในสิ่งรอบตัวราวกับแม่ผู้เจ้ากี้เจ้าการยังอยู่กับเขา ในขณะที่ Richie ยังคงมีบางสิ่งที่ต้องกดทับไว้ตลอด 27 ปีที่ผ่านมาและความที่เขาไม่สามารถเปิดเผยอัตลักษณ์ของตนเองได้ทำให้เขาคลื่นไส้อาเจียนราวกับความลับไม่มีทางออกอื่นใดนอกจากวิธีนั้น ส่วน Stanley ซึ่งเป็นคนที่มีความซับซ้อนที่สุดก็ตัดสินใจเลือกหนทางที่ทำให้การกลับมารวมกลุ่มของ The Loser Club เพื่อต่อกันกับ Pennywise อย่างเด็ดขาดเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าและมีความหมายที่สุด
IT และ IT Chapter 2 เป็นหนังสยองขวัญที่มีชีวิตจิตใจ หนังไม่ได้ขยันออกแบบฉากเขย่าขวัญใส่เรารัว ๆ แบบไม่บันยะบันยั้ง ชี้ให้เราเห็นถึงพลังแห่งศรัทธาในตนเองและมิตรภาพเพื่อก้าวข้ามพ้น ‘มัน’ อันหมายถึงความกลัวและขีดจำกัดในตนเอง ซึ่งเป็นธีมที่ซ่อนอยู่ในนิยายหลายเรื่องของ Stephen King แต่ Muschietti สามารถถ่ายทอดสารเหล่านั้นออกมาได้อย่างมีคลาส แม้ IT Chapter 2 จะมีความยาวและดูอ้อยอิ่งไปในหลายฉาก รวมทั้งไม่ยั้งในการทำลายกฎว่าเด็กต้องรอดจากการถูกคุกคามในหนังผี เพราะทุกคนล้วนตกเป็นเหยื่อของความกลัวเหมือนกัน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ และนี่คือสิ่งที่ IT Chapter 2 สามารถจับหัวใจของนิยายมาถ่ายทอดได้อย่างสนุก ซาบซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความหวัง It และ It Chapter 2 จะเป็นหนังที่เราหยิบมาดูได้อย่างไม่เบื่อ ในยามที่ต้องการกำลังใจ อย่างน้อยก็ในปีก 27 ปีถัดจากนี้
หากจะมีหนังผี/สยองขวัญเรื่องไหนที่สามารถทำให้ผู้ชายเสียน้ำตาด้วยความประทับใจได้
It (2017) และ It Chapter 2 (2019) จะยืนหนึ่งอยู่ในใจเราโดยปราศจากข้อกังขา
ปล. ฉากร้านจักรยานกับการปรากฏตัวของ ‘เขา’ อีกครั้ง ทำให้เรารู้สึกอีกครั้งว่า ‘นักเขียน’ ก็เท่กับเขาได้เหมือนกัน
อ่านบทความรีวิวหนังสไตล์นี้เพิ่มเติมได้ที่
https://settawutudakarn.com/category/film-review/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้