สวัสดีเพื่อนพี่น้องขาเที่ยวชาว Pantip.com นะคะ สำหรับทริปนี้เราจะพาทุกคนลงใต้ให้สุดกันค่ะ

ต้องขอเล่าให้ฟังก่อนว่า ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะเรามีโอกาสไปทำธุระที่หาดใหญ่พอดี ดังนั้นจึงเป็นการเริ่มต้นเดินทางจากหาดใหญ่นะคะ
หลังจากช่วยกันคิดแล้วคิดอีก และแล้วแพลนทริปของเราก็ออกมาเป็นดังนี้ค่ะ
Day 1 : เดินทางไปเบตง - เที่ยวเบตง - นอนเบตง
Day 2 : เที่ยวเบตง - เดินทางกลับหาดใหญ่ - นอนหาดใหญ่
Day 3 : เดินทางไปสตูล - ขึ้นเรือไปลังกาวี - เที่ยวลังกาวี - นอนลังกาวี
Day 4 : เที่ยวลังกาวี - ขึ้นเรือกลับสตูล – เดินทางกลับกรุงเทพฯ
เป็นทริป 4 วันแบบ non-stop นะคะ มันก็จะเหนื่อยๆ หน่อย แต่รับรองว่าประทับใจและสนุกค่ะ
Day 1
เช้าวันแรก ณ หาดใหญ่ เราออกเดินทางไปเบตงกัน โดยไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งหาดใหญ่ ด้วยบริการของเบตงทัวร์ ซึ่งแนะนำว่าควรโทร. ไปจองก่อนนะคะ เพราะรอบรถอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอด

สำหรับการเดินทางไปเบตงมี 2 เส้นทางด้วยกันคือ เส้นทางที่วิ่งในประเทศไทย และเส้นทางที่วิ่งออกไปทางประเทศมาเลเซียแล้วกลับเข้ามาเบตง ซึ่งจะเลือกเส้นทางไหนก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและความสะดวกของแต่ละคนเลยค่ะ ถ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยมากก็อาจจะเลือกเป็นเส้นทางที่วิ่งออกไปทางประเทศมาเลเซียก็ได้ แต่ถ้าเลือกเส้นทางนี้ต้องมีพาสปอร์ตด้วยนะคะ
สำหรับเรา ขาไปเราไปเส้นทางไทย ราคาคนละ 230 บาท เป็นรถตู้ ส่วนขากลับเรากลับทางมาเลเซีย ราคาคนละ 400 บาท ได้เป็นรถยนต์ 7 ที่นั่งค่ะ

ชมวิวบ้าง หลับบ้าง ประมาณ 4 ชั่วโมงผ่านไป เราก็มาถึงอำเภอเบตงกันเสียที ต้องการลงตรงไหนก็บอกพี่รถตู้เขาเลยค่ะ สำหรับเราเลือกลงตรงหอนาฬิกา เพราะที่พักอยู่แถวนั้น เราพักกันที่โรงแรม Modern Thai Hotel ห้องธรรมดาสุดคืนละ 690 บาท ซึ่งก็โอเคเหมาะสมกับราคาค่ะ
หลังจากเช็คอินและเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราก็เริ่มออกตะลุยเที่ยวกันด้วยมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาในราคาวันละ 300 บาท แถมน้ำมันฟรีด้วย ถูกมากๆ

ประเดิมมื้อแรกด้วยข้าวมันไก่เบตง (โปรดโฟกัสที่ข้าวมันไก่นะคะ 555)

พระมหาเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ ณ วัดพุทธาธิวาส เขาว่าสวยงามและใหญ่ที่สุดในภาคใต้





ระหว่างทางไปอุโมงค์ปิยะมิตร เจอบ่อน้ำพุร้อน เลยแวะสักหน่อย

ถึงแล้ว ทางเข้าอุโมงค์ปิยะมิตร





อุโมงค์ปิยะมิตร เป็นอุโมงค์ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรบของคอมมิวนิสต์มลายา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2519 ค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่คนละ 40 บาท ซึ่งต้องแอบบอกไว้ก่อนเลยว่าสำหรับใครที่ไม่ใช่ขาเดินก็อาจจะเหนื่อยๆ หน่อย เพราะต้องเดิน เดิน และเดินกว่าจะถึงอุโมงค์



วิวข้างทางก็จะสวยประมาณนี้แหละ อารมณ์คล้ายๆ ภาคเหนือ
ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมืองเราเจอฝนกระหน่ำไปชุดใหญ่ จะรอหยุดก็ไม่รู้เมื่อไหร่ จึงต้องจำใจแว้นซ์ฝ่าฝนเข้าที่พักกันเลย


หลังจากหม่ำมื้อค่ำเสร็จ เราก็แวะเก็บภาพแสงสียามค่ำคืนของที่นี่กันสักหน่อย
ตอนแรกคิดว่าที่นี่จะเป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ แต่จริงๆ แล้วกลับคึกคักไม่เบาเลย นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียข้ามมาเที่ยวกันเยอะเชียวหละ
Day 2
สำหรับวันนี้เราตระเวนเที่ยวชมบรรยากาศรอบๆ เมืองอีกนิดหน่อย เพราะจองรถขากลับไว้รอบเที่ยง

วิวจากห้องพักยามเช้าที่บอกได้คำเดียวว่าฟิน ถือว่าทดแทนการตัดสินใจไม่ไปดูทะเลหมอกได้ดีทีเดียว



เฉาก๊วยเบตง ขอบอกเลยว่าห้ามพลาด ถ้วยละ 10 บาทเท่านั้น


สนามกีฬากลางหุบเขาของเมืองเบตง บรรยากาศร่มรื่นจริงๆ

พอเที่ยงปุ๊บ รถที่จองไว้ก็มารับเราที่โรงแรม หลับๆ ตื่นๆ อีกประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงหาดใหญ่ เป็นอันจบทริปเบตง 2 วัน 1 คืน ที่โอเคเบตงมากๆ
Day 3
วันนี้เราสตาร์ทออกจากหาดใหญ่แต่เช้าตรู่ เพราะต้องเดินทางไปท่าเรือตำมะลัง จังหวัดสตูล เพื่อขึ้นเรือไปเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซียกัน จากหาดใหญ่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง

เมื่อมาถึงแล้วก็รีบตรงไปซื้อตั๋วเรือกันก่อนเลย สำหรับใครที่ขับรถส่วนตัวมาสามารถจอดค้างคืนไว้ที่ท่าเรือได้เลยค่ะ ปลอดภัยและไม่เสียค่าจอด
สำหรับรอบเรือ ซึ่งอัพเดตเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2560 ขาไป คือ 10.00 น. และ 16.00 น. ส่วนขากลับ คือ 8.00 น. และ 14.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย)


ค่าเรือราคารอบละ 350 บาท ไปกลับก็ 700 บาท แนะนำว่าควรซื้อขากลับไว้เลยทีเดียวเลยเพื่อความสะดวกตอนกลับนะคะ หลังจากซื้อตั๋วเรือเรียบร้อยก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วไปขึ้นเรือกันค่ะ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงเกาะลังกาวี อย่างแรกก็ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศเขากันก่อนเนอะ

หลังจากนั้นก็ซื้อซิมโทรศัพท์และเช่ารถกัน ซึ่งง่ายมากๆ เพราะมีเคาเตอร์ขายกันอยู่ที่ท่าเรือนั่นแหละ
เราเช่ารถได้ในราคา 800 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เผื่อสำหรับการคืนรถเกิน 24 ชั่วโมงแล้ว โดยเขาจะถามเราเลยว่ากลับเรือรอบกี่โมง ต้องการคืนรถกี่โมง แล้วคิดราคาให้เสร็จสรรพ (การเช่ารถขับที่นี่สามารถใช้ใบขับขี่ของไทยได้เลย มีค่ามัดจำด้วย จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ แต่ไม่แพง และการเติมน้ำมันก็เป็นแบบบริการตัวเอง)
เมื่อได้รถเรียบร้อยเราก็เริ่มหาที่พักกันก่อน เพราะไม่ได้จองมาล่วงหน้า สุดท้ายได้เป็นโรงแรม Uptown Hotel ในราคาคืนละ 640 บาท




วันแรกที่เกาะลังกาวีเราไม่ได้เที่ยวอะไรกันมาก แค่ขับรถชมบรรยากาศบ้านเมือง เล็งๆ ห้างไว้ช้อปปิ้ง แวะเที่ยวชายหาดซึ่งก็คล้ายๆ ทะเลภาคใต้บ้านเรา แต่สำหรับหาดที่ห้ามพลาดเลยคือหาดทรายดำที่เขาว่าต้องคำสาป ไปดูมาแล้ว ทรายก็เป็นสีดำจริงๆ นะ


ตกเย็นเราไปชิลๆ ชมวิวพระอาทิตย์ตกดินกันที่ Eagle View ซึ่งอยู่ติดกับท่าเรือ บรรยากาศดีใช้ได้เลย
Day 4
วันนี้เรามุ่งหน้าไปที่ Oriental Village เพื่อขึ้น Sky Cab ซึ่งเป็นไฮไลท์ของเกาะแห่งนี้กัน


ค่าขึ้นกระเช้าราคาคนละ 440 บาท ซึ่งเป็นราคาสำหรับชาวต่างชาติ และสามารถเข้าเครื่องเล่นอย่างอื่นได้อีก 3 อย่าง (จริงๆ แล้วทุกอย่างเราจ่ายเป็นเงินริงกิตนะ แต่จดบันทึกเป็นเงินไทยไว้ ก็เลยรีวิวให้ดูตามนี้ ค่าเงินริงกิตตอนที่ไป 1 ริงกิต = 8 บาท)



ขึ้นตอนเช้าหมอกหนามากๆ แต่ถ้ามาช้ากว่านี้คนก็มหาศาลเลย



มีสะพานคล้องกุญแจคู่รักด้วย

ขาลงหมอกเริ่มจางแล้ว เห็นวิวทะเลสวยเชียว
เมื่อออกมาจาก Oriental Village เราก็แวะช้อปปิ้งที่ห้างแถวๆ ท่าเรือ ไม่ค่อยได้อะไรมาเท่าไหร่ ได้แค่ขนมนิดหน่อย หลังจากนั้นก็รอขึ้นเรือกลับสตูลกัน
จบทริปแล้ว ขอบคุณที่อ่านกันจนจบ ก็อาจจะเหนื่อยๆ หน่อย เพราะเดินทางเยอะ เที่ยววนไป แต่ยังไงก็ประทับใจนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ติดตามการเดินทางของเราและเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้ที่ เที่ยวดิวะ https://www.facebook.com/travel.diwa/
[CR] เที่ยววนไป เบตง - ลังกาวี ชวนกันลงใต้สุดแดนสยาม แล้วตามไปส่องเกาะต้องคำสาปแห่งมาเลเซีย
ต้องขอเล่าให้ฟังก่อนว่า ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะเรามีโอกาสไปทำธุระที่หาดใหญ่พอดี ดังนั้นจึงเป็นการเริ่มต้นเดินทางจากหาดใหญ่นะคะ
หลังจากช่วยกันคิดแล้วคิดอีก และแล้วแพลนทริปของเราก็ออกมาเป็นดังนี้ค่ะ
Day 1 : เดินทางไปเบตง - เที่ยวเบตง - นอนเบตง
Day 2 : เที่ยวเบตง - เดินทางกลับหาดใหญ่ - นอนหาดใหญ่
Day 3 : เดินทางไปสตูล - ขึ้นเรือไปลังกาวี - เที่ยวลังกาวี - นอนลังกาวี
Day 4 : เที่ยวลังกาวี - ขึ้นเรือกลับสตูล – เดินทางกลับกรุงเทพฯ
เป็นทริป 4 วันแบบ non-stop นะคะ มันก็จะเหนื่อยๆ หน่อย แต่รับรองว่าประทับใจและสนุกค่ะ
Day 1
เช้าวันแรก ณ หาดใหญ่ เราออกเดินทางไปเบตงกัน โดยไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งหาดใหญ่ ด้วยบริการของเบตงทัวร์ ซึ่งแนะนำว่าควรโทร. ไปจองก่อนนะคะ เพราะรอบรถอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอด
สำหรับเรา ขาไปเราไปเส้นทางไทย ราคาคนละ 230 บาท เป็นรถตู้ ส่วนขากลับเรากลับทางมาเลเซีย ราคาคนละ 400 บาท ได้เป็นรถยนต์ 7 ที่นั่งค่ะ
หลังจากเช็คอินและเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราก็เริ่มออกตะลุยเที่ยวกันด้วยมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาในราคาวันละ 300 บาท แถมน้ำมันฟรีด้วย ถูกมากๆ
ประเดิมมื้อแรกด้วยข้าวมันไก่เบตง (โปรดโฟกัสที่ข้าวมันไก่นะคะ 555)
ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมืองเราเจอฝนกระหน่ำไปชุดใหญ่ จะรอหยุดก็ไม่รู้เมื่อไหร่ จึงต้องจำใจแว้นซ์ฝ่าฝนเข้าที่พักกันเลย
ตอนแรกคิดว่าที่นี่จะเป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ แต่จริงๆ แล้วกลับคึกคักไม่เบาเลย นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียข้ามมาเที่ยวกันเยอะเชียวหละ
Day 2
สำหรับวันนี้เราตระเวนเที่ยวชมบรรยากาศรอบๆ เมืองอีกนิดหน่อย เพราะจองรถขากลับไว้รอบเที่ยง
Day 3
วันนี้เราสตาร์ทออกจากหาดใหญ่แต่เช้าตรู่ เพราะต้องเดินทางไปท่าเรือตำมะลัง จังหวัดสตูล เพื่อขึ้นเรือไปเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซียกัน จากหาดใหญ่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
สำหรับรอบเรือ ซึ่งอัพเดตเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2560 ขาไป คือ 10.00 น. และ 16.00 น. ส่วนขากลับ คือ 8.00 น. และ 14.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
เราเช่ารถได้ในราคา 800 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เผื่อสำหรับการคืนรถเกิน 24 ชั่วโมงแล้ว โดยเขาจะถามเราเลยว่ากลับเรือรอบกี่โมง ต้องการคืนรถกี่โมง แล้วคิดราคาให้เสร็จสรรพ (การเช่ารถขับที่นี่สามารถใช้ใบขับขี่ของไทยได้เลย มีค่ามัดจำด้วย จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ แต่ไม่แพง และการเติมน้ำมันก็เป็นแบบบริการตัวเอง)
เมื่อได้รถเรียบร้อยเราก็เริ่มหาที่พักกันก่อน เพราะไม่ได้จองมาล่วงหน้า สุดท้ายได้เป็นโรงแรม Uptown Hotel ในราคาคืนละ 640 บาท
Day 4
วันนี้เรามุ่งหน้าไปที่ Oriental Village เพื่อขึ้น Sky Cab ซึ่งเป็นไฮไลท์ของเกาะแห่งนี้กัน
เมื่อออกมาจาก Oriental Village เราก็แวะช้อปปิ้งที่ห้างแถวๆ ท่าเรือ ไม่ค่อยได้อะไรมาเท่าไหร่ ได้แค่ขนมนิดหน่อย หลังจากนั้นก็รอขึ้นเรือกลับสตูลกัน
จบทริปแล้ว ขอบคุณที่อ่านกันจนจบ ก็อาจจะเหนื่อยๆ หน่อย เพราะเดินทางเยอะ เที่ยววนไป แต่ยังไงก็ประทับใจนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้