เรากับแฟนคบกันก่อนแต่งงานเกือบๆ 2ปี และตอนนี้แต่งงานกันมาได้ประมานเกือบจะ 4ปีแล้ว ก่อนแต่งงานก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันบ้างในช่วงระยะเวลานึง เราก็โอเคกับแฟนเรานะ รู้สึกว่าโอเคมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน เที่ยว กินข้าว ดูหนัง แฟนเราออกบ้าง เราออกบ้าง แชร์กันบ้าง แต่ก็โอเคนะ เพราะเป็นช่วงที่แฟนเริ่มทำธุรกิจเราก็เลยไม่ซีเรียส
ส่วนเราเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 19 เราเลือกเรียน ส.-อา. ส่วนวันธรรมดาก็ช่วยงานที่บ้าน บ้านเรามีโรงงานเราทำงานช่วยที่บ้านในตำแหน่งพนักงานคนนึงกินเงินเดือนเหมือนคนอื่นทั่วไป แม่ใช้งานเหมือนพนักงานบริษัททั่วไปเพื่อจะสอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน
ส่วนแฟนเราก็เป็นคนเรียนๆ เล่นๆ ที่บ้านมีธุรกิจเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้คิดจะสานต่อทั้งๆที่เรียนมาตรงสายงานเดียวกับธุรกิจของที่บ้าน แต่..มีความคิดที่ว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยเงินลงทุนมากจากพ่อแม่เขาช่วย
เขาเริ่มทำธุรกิจแรกๆก็ไปได้สวย อาจจะด้วยไปแรงของเด็กจบใหม่ ช่วงแรกที่เขาเริ่มทำพ่อเขาก็จะสอนงาน เล่าประสบการณ์ที่พ่อเขาเคยเจอมาเขาก็รับฟัง จนธุรกิจกำลังไปได้ เราก็เริ่มคิดขยับขยายครอบครัวกันออกไปซื้อบ้าน
ซึ่งก่อนหน้าหลังแต่งงานเราไปอยู่บ้านแฟนค่ะ ทุกอย่างโอเคไม่ได้มีปัญหาอะไร บ้านเขาอยู่กันหลายครอบครัว เขามีพี่น้อง 4คน มีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่ทุกคนไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แต่เราด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว เลยไม่ค่อยได้เจอกับบ้านที่วุ่นวายมีคนเยอะๆ เราเลยปรึกษากับแฟนว่าอยากซื้อบ้านอยากไปอยู่เป็นครอบครัวแบบส่วนตัวเผื่อวันนึงมีลูก เราก็ไปตระเวนหาบ้านจนได้บ้านที่ถูกใจ ตกลงกันว่าจะผ่อนบ้านคนละครึ่ง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเราจะช่วยกันออก ซึ่งแรกๆ มันก็เป็นไปตามที่คุยกันไว้ แต่ผ่อนบ้านไปได้ประมาณครึ่งปีปัญหาหลายอย่างก็เริ่มเกิด ธุรกิจแฟนเราเริ่มมีปัญหา จากที่ตอนอยู่กับพ่อแม่เขาให้คำแนะนำอะไรในการทำงานแฟนเรารับฟัง เอามาแก้ไขในตัวเอง แต่พอมีบ้านย้ายออกมาอยู่เขาก็ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมากไหน ใครแนะนำอะไรก็ไม่ฟัง พ่อเขาประสบการณ์มีมา25-30ปี พูดแนะนำอะไรก็ไม่ฟัง ว่า..ถ้าทำแบบนี้จะขาดทุนนะ ทำไปก็ไม่เหลืออะไร แต่เขาก็เหมือนหูทวนลม จนเริ่มขาดทุน จนเริ่มกระทบอะไรหลายๆอย่าง
เรากับแฟนเริ่มมีปัญหาการเงิน เริ่มจากเราต้องรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟ คชจ.ต่างๆในบ้านคนเดียว จนเริ่มเขยิบมาเป็นค่าบ้าน 3ใน4 จาก 1:1 จนขยับมาเป็นเราแบกความรับผิดชอบคนเดียวในการผ่อนบ้าน แฟนเราเริ่มกู้เงินมาหมุนในธุรกิจมันก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราปรึกษากับแม่เพราะเราไม่ไหว แม่ก็เลยช่วยหาทางออกโดยการให้มาช่วยงานที่โรงงานเรามาคุมคนงาน รับรองลูกค้า แล้วก็ช่วยงานอื่นๆอีกเล็กๆน้อย โดยให้รับเงินเดือนเหมือนเรา แม่ตั้งเงินเดือนให้เขา 35000 ให้ใกล้กับเงินเดือนเราที่แม่ตั้งให้คือ 40000 เพื่อไม่อยากให้มีปัญหาว่าเราหาเงินได้มากกว่า มีโบนัสให้อีกปีละ2ครั้ง
พอคุยกับแม่เสร็จเราก็เลยไปคุยกับแฟนเกี่ยวกับธุรกิจเค้าว่าจะเอายังไงต่อ ถ้าจะดึงดันต่อไปเราก็ช่วยอะไรไม่ไหว เพราะภาระที่รับแทนตอนนี้คือหนักจริงๆ แล้วก็บอกตามที่แม่แนะนำมาให้แฟนเราก็โอเค เขาบอกว่าเขาก็ดึงดันต่อไปไม่ไหวเหมือนกัน เขาตัดสินใจมาช่วยงานเรา เราก็ช่วยเขาเคลียหนี้ทั้งหมด เขาก็บอกว่าได้เงินเดือนแล้วจะทยอยผ่อนให้ แล้วก็จะกลับมาช่วยผ่อนบ้าน
แต่สุดท้าย.. ทำพูดก็แค่ลมปาก เขาก็ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลย เงินที่เราช่วยใช้หนี้ตอนนี้ก็จะ 3ปีละไม่เคยคืนสักบาท แต่เราก็ไม่คิดอะไรช่างมันเหอะอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันคิดแค่นั้น แต่เรื่องที่ไม่แค่นั้น คือเราก็รับภาระเหมือนเดิมโดยที่เขาไม่ได้สนใจอะไรเลย ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ของใช้ในบ้านแทบจะทุกอย่างคือเราซื้อหมด แถมส่วนมากเวลากินข้าวเราก็คนจ่าย
ยิ่งมาถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าทนไม่ไหว.. เขาเป็นคนมีเพื่อนเยอะเย็นมาก็สังสรรค์ อาทิตย์นึงมี7วัน สังสรรค์ไม่ต่ำกว่า4 ยิ่งเวลาเงินเดือนออกยิ่งหน้าใหญ่ เดี๋ยวเลี้ยงๆเพื่อน ไม่เคยหันมามองคนข้างหลังเลย มองแต่ตัวเอง ซึ่งก่อนหน้าแต่งงานเราก็สายตี้เหมือนกัน เมาหัวราน้ำบ้าง สว่างคาตาบ้าง แต่พอแต่งงานคือเราเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อไม่อยากให้ใครมาว่าตามหลัง มีดื่มบ้างเวลาออกงานแต่ก็แค่จิบๆ
แต่..แฟนเรากลับไม่เคยเปลี่ยนเลย กลับแย่ลงๆ ใช้เงินสนองแต่ความสุขตัวเอง แม้กระทั่งกินข้าวยังเป็นเราจ่ายแทบทุกมื้อ พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยแฟนเราไม่เคยรับผิดชอบอะไรเลย อนาคตก็ไม่เคยมอง กลับเป็นเราคนเดียวที่มองแต่อนาคต เราบริหารเงินเราในการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ(ซื้อก่อนแต่งงาน) ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภคในชีวิตประจำวัน เรายังสามารถมีเงินเก็บพอที่จะซื้อที่ผืนเล็กๆย่านชานเมือง กับต่างจังหวัดเก็บได้ ซื้อทองเก็บได้ มีฝากประจำบ้าง แต่แฟนเราไม่มีอะไรเลยนอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ
ตอนนี้เราอยู่ในโหมดอดทนเพราะคิดว่าวันข้างหน้าอาจจะดีขึ้น แต่ยิ่งอดทนมันก็เหมือนยิ่งใกล้ถึงทางตัน ตอนนี้เรากำลังทบทวนตัวเองว่าจะไปต่อหรือจะให้มันจบแค่นี้ดี เราคิดตลอดเวลาว่านี่หรอว่ะชีวิตคู่ที่คนภายนอกมองว่าสุข ต่อหน้าคนอื่นเรายิ้มเราปกติทุกอย่าง เพราะเราไม่อยากให้ใครมองว่าแฟนเราเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ คอยปกป้องคอยดึงคอยดันให้ไปเจออนาคตที่ดีๆ แต่ตอนนี้เราเหมือนว่าเราคิดผิด ยิ่งช่วยเหลือเหมือนยิ่งได้ใจจนเหมือนเค้ากลายเป็นคนที่คิดว่าจะทำอะไรก็ได้เดี๋ยวแฟนก็Support ตอนนี้คือเราเริ่มไม่ไหวล่ะเกือบ 4ปี ที่ผ่านมาชีวิตเราเหมือนยิ่งแย่ลงๆ มีปัญหาอะไรก็ต้องคิดต้องแก้คนเดียว จนตอนนี้เราคิดว่า.. เราจะกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวดีมั๊ย? เพราะทุกวันนี้เราก็คิดก็ทำทุกอย่างคนเดียว คิดคนเดียว กระตือรือร้นคนเดียว มองอนาคตอยู่คนเดียว ซึ่งแฟนเราก็ไม่เคยตอบรับอะไรนอกจาก ช่วยงานไปวันๆ แนะนำอะไรไปก็เสียงดังใส่ชักสีหน้าใส่ เย็นมาสังสรรค์ ความรับผิดชอบไม่มี ใช้ชีวิตไปวันๆ อนาคตมีแต่ถอยหลังลงคลอง
**มีใครประสบปัญหาเดียวกันบ้างมั๊ย? เราสมควรจะทำยังดี จะไปต่อ หรือพอแค่นี้ดี ตอนนี้คิดเรื่องนี้ตลอดเวลา อยากปรึกษาแม่แต่ก็กลัวแม่เครียดไปด้วย อยากได้คำแนะนำจากคนที่ประสบปัญหาเดียวกันค่ะ เราควรทำยังไงดี
ชีวิตหลังแต่งงาน ถ้าคุณต้องอดทนอยู่กับคนไม่มีความรับผิดชอบ คุณจะทำยังไง?
ส่วนเราเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 19 เราเลือกเรียน ส.-อา. ส่วนวันธรรมดาก็ช่วยงานที่บ้าน บ้านเรามีโรงงานเราทำงานช่วยที่บ้านในตำแหน่งพนักงานคนนึงกินเงินเดือนเหมือนคนอื่นทั่วไป แม่ใช้งานเหมือนพนักงานบริษัททั่วไปเพื่อจะสอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน
ส่วนแฟนเราก็เป็นคนเรียนๆ เล่นๆ ที่บ้านมีธุรกิจเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้คิดจะสานต่อทั้งๆที่เรียนมาตรงสายงานเดียวกับธุรกิจของที่บ้าน แต่..มีความคิดที่ว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยเงินลงทุนมากจากพ่อแม่เขาช่วย
เขาเริ่มทำธุรกิจแรกๆก็ไปได้สวย อาจจะด้วยไปแรงของเด็กจบใหม่ ช่วงแรกที่เขาเริ่มทำพ่อเขาก็จะสอนงาน เล่าประสบการณ์ที่พ่อเขาเคยเจอมาเขาก็รับฟัง จนธุรกิจกำลังไปได้ เราก็เริ่มคิดขยับขยายครอบครัวกันออกไปซื้อบ้าน
ซึ่งก่อนหน้าหลังแต่งงานเราไปอยู่บ้านแฟนค่ะ ทุกอย่างโอเคไม่ได้มีปัญหาอะไร บ้านเขาอยู่กันหลายครอบครัว เขามีพี่น้อง 4คน มีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่ทุกคนไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แต่เราด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว เลยไม่ค่อยได้เจอกับบ้านที่วุ่นวายมีคนเยอะๆ เราเลยปรึกษากับแฟนว่าอยากซื้อบ้านอยากไปอยู่เป็นครอบครัวแบบส่วนตัวเผื่อวันนึงมีลูก เราก็ไปตระเวนหาบ้านจนได้บ้านที่ถูกใจ ตกลงกันว่าจะผ่อนบ้านคนละครึ่ง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเราจะช่วยกันออก ซึ่งแรกๆ มันก็เป็นไปตามที่คุยกันไว้ แต่ผ่อนบ้านไปได้ประมาณครึ่งปีปัญหาหลายอย่างก็เริ่มเกิด ธุรกิจแฟนเราเริ่มมีปัญหา จากที่ตอนอยู่กับพ่อแม่เขาให้คำแนะนำอะไรในการทำงานแฟนเรารับฟัง เอามาแก้ไขในตัวเอง แต่พอมีบ้านย้ายออกมาอยู่เขาก็ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมากไหน ใครแนะนำอะไรก็ไม่ฟัง พ่อเขาประสบการณ์มีมา25-30ปี พูดแนะนำอะไรก็ไม่ฟัง ว่า..ถ้าทำแบบนี้จะขาดทุนนะ ทำไปก็ไม่เหลืออะไร แต่เขาก็เหมือนหูทวนลม จนเริ่มขาดทุน จนเริ่มกระทบอะไรหลายๆอย่าง
เรากับแฟนเริ่มมีปัญหาการเงิน เริ่มจากเราต้องรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟ คชจ.ต่างๆในบ้านคนเดียว จนเริ่มเขยิบมาเป็นค่าบ้าน 3ใน4 จาก 1:1 จนขยับมาเป็นเราแบกความรับผิดชอบคนเดียวในการผ่อนบ้าน แฟนเราเริ่มกู้เงินมาหมุนในธุรกิจมันก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราปรึกษากับแม่เพราะเราไม่ไหว แม่ก็เลยช่วยหาทางออกโดยการให้มาช่วยงานที่โรงงานเรามาคุมคนงาน รับรองลูกค้า แล้วก็ช่วยงานอื่นๆอีกเล็กๆน้อย โดยให้รับเงินเดือนเหมือนเรา แม่ตั้งเงินเดือนให้เขา 35000 ให้ใกล้กับเงินเดือนเราที่แม่ตั้งให้คือ 40000 เพื่อไม่อยากให้มีปัญหาว่าเราหาเงินได้มากกว่า มีโบนัสให้อีกปีละ2ครั้ง
พอคุยกับแม่เสร็จเราก็เลยไปคุยกับแฟนเกี่ยวกับธุรกิจเค้าว่าจะเอายังไงต่อ ถ้าจะดึงดันต่อไปเราก็ช่วยอะไรไม่ไหว เพราะภาระที่รับแทนตอนนี้คือหนักจริงๆ แล้วก็บอกตามที่แม่แนะนำมาให้แฟนเราก็โอเค เขาบอกว่าเขาก็ดึงดันต่อไปไม่ไหวเหมือนกัน เขาตัดสินใจมาช่วยงานเรา เราก็ช่วยเขาเคลียหนี้ทั้งหมด เขาก็บอกว่าได้เงินเดือนแล้วจะทยอยผ่อนให้ แล้วก็จะกลับมาช่วยผ่อนบ้าน
แต่สุดท้าย.. ทำพูดก็แค่ลมปาก เขาก็ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลย เงินที่เราช่วยใช้หนี้ตอนนี้ก็จะ 3ปีละไม่เคยคืนสักบาท แต่เราก็ไม่คิดอะไรช่างมันเหอะอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันคิดแค่นั้น แต่เรื่องที่ไม่แค่นั้น คือเราก็รับภาระเหมือนเดิมโดยที่เขาไม่ได้สนใจอะไรเลย ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ของใช้ในบ้านแทบจะทุกอย่างคือเราซื้อหมด แถมส่วนมากเวลากินข้าวเราก็คนจ่าย
ยิ่งมาถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าทนไม่ไหว.. เขาเป็นคนมีเพื่อนเยอะเย็นมาก็สังสรรค์ อาทิตย์นึงมี7วัน สังสรรค์ไม่ต่ำกว่า4 ยิ่งเวลาเงินเดือนออกยิ่งหน้าใหญ่ เดี๋ยวเลี้ยงๆเพื่อน ไม่เคยหันมามองคนข้างหลังเลย มองแต่ตัวเอง ซึ่งก่อนหน้าแต่งงานเราก็สายตี้เหมือนกัน เมาหัวราน้ำบ้าง สว่างคาตาบ้าง แต่พอแต่งงานคือเราเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อไม่อยากให้ใครมาว่าตามหลัง มีดื่มบ้างเวลาออกงานแต่ก็แค่จิบๆ
แต่..แฟนเรากลับไม่เคยเปลี่ยนเลย กลับแย่ลงๆ ใช้เงินสนองแต่ความสุขตัวเอง แม้กระทั่งกินข้าวยังเป็นเราจ่ายแทบทุกมื้อ พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยแฟนเราไม่เคยรับผิดชอบอะไรเลย อนาคตก็ไม่เคยมอง กลับเป็นเราคนเดียวที่มองแต่อนาคต เราบริหารเงินเราในการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ(ซื้อก่อนแต่งงาน) ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภคในชีวิตประจำวัน เรายังสามารถมีเงินเก็บพอที่จะซื้อที่ผืนเล็กๆย่านชานเมือง กับต่างจังหวัดเก็บได้ ซื้อทองเก็บได้ มีฝากประจำบ้าง แต่แฟนเราไม่มีอะไรเลยนอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ
ตอนนี้เราอยู่ในโหมดอดทนเพราะคิดว่าวันข้างหน้าอาจจะดีขึ้น แต่ยิ่งอดทนมันก็เหมือนยิ่งใกล้ถึงทางตัน ตอนนี้เรากำลังทบทวนตัวเองว่าจะไปต่อหรือจะให้มันจบแค่นี้ดี เราคิดตลอดเวลาว่านี่หรอว่ะชีวิตคู่ที่คนภายนอกมองว่าสุข ต่อหน้าคนอื่นเรายิ้มเราปกติทุกอย่าง เพราะเราไม่อยากให้ใครมองว่าแฟนเราเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ คอยปกป้องคอยดึงคอยดันให้ไปเจออนาคตที่ดีๆ แต่ตอนนี้เราเหมือนว่าเราคิดผิด ยิ่งช่วยเหลือเหมือนยิ่งได้ใจจนเหมือนเค้ากลายเป็นคนที่คิดว่าจะทำอะไรก็ได้เดี๋ยวแฟนก็Support ตอนนี้คือเราเริ่มไม่ไหวล่ะเกือบ 4ปี ที่ผ่านมาชีวิตเราเหมือนยิ่งแย่ลงๆ มีปัญหาอะไรก็ต้องคิดต้องแก้คนเดียว จนตอนนี้เราคิดว่า.. เราจะกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวดีมั๊ย? เพราะทุกวันนี้เราก็คิดก็ทำทุกอย่างคนเดียว คิดคนเดียว กระตือรือร้นคนเดียว มองอนาคตอยู่คนเดียว ซึ่งแฟนเราก็ไม่เคยตอบรับอะไรนอกจาก ช่วยงานไปวันๆ แนะนำอะไรไปก็เสียงดังใส่ชักสีหน้าใส่ เย็นมาสังสรรค์ ความรับผิดชอบไม่มี ใช้ชีวิตไปวันๆ อนาคตมีแต่ถอยหลังลงคลอง
**มีใครประสบปัญหาเดียวกันบ้างมั๊ย? เราสมควรจะทำยังดี จะไปต่อ หรือพอแค่นี้ดี ตอนนี้คิดเรื่องนี้ตลอดเวลา อยากปรึกษาแม่แต่ก็กลัวแม่เครียดไปด้วย อยากได้คำแนะนำจากคนที่ประสบปัญหาเดียวกันค่ะ เราควรทำยังไงดี