ทางด้านออกหลวงมงคลต้านทัพจากทางพระนครไม่ได้ จึงพ่ายสงครามและทำให้ออกญากำแหงและทหารในกองทัพติดตามพระพันปีศรีศิลป์กลับไปสำเร็จโทษได้ การพ่ายแพ้สงครามและการสิ้นพระชนม์ของพระพันปีศรีศิลป์ ทำให้ออกหลวงมงคลนั้นสิ้นหวัง กองทหารจากพระนครออกติดตามค้นหาตัวเขาทุกหนทุกแห่ง เขาจึงเตลิดหนีไป เมื่อไม่รู้จะซ่อนตัวอยู่ที่ใด เขาจึงหลบเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในตอนกลางคืน เพื่อมุ่งออกติดตามออกญากลาโหมถึงในบ้านและหวังจะฆ่าเสีย
แต่บังเอิญคืนนั้นออกญากลาโหมถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ในพระราชวัง แผนการของออกหลวงมงคลจึงล้มเหลว ดังนั้นออกหลวงมงคลจึงกลับไปยังบ้านของตนและได้พาภรรยาสองคนหนีไปด้วยกัน กระทั่งถึงประสบสะแกกรัง ชายเขตแดนมอญและได้พำนักอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ออกหลวงมงคลใช้ชีวิตชาวป่าอย่างไร้จุดหมาย ต่อมาไม่นานก็มีผู้พบที่ซ่อนตัวของออกหลวงมงคลและภรรยา โดยครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลป่าเขตนั้นออกสำรวจพื้นที่และล่าสัตว์ จึงได้พบกับบ้านพักของออกหลวงมงคลซึ่งวันนั้นออกหลวงมงคลออกไปล่าสัตว์ปล่อยให้ภรรยาทั้งสองอยู่กับบ้าน กระทั่งเจ้าหน้าที่ได้พบเข้าและได้พาภรรยาทั้งสองของออกหลวงมงคลออกมา
ออกหลวงมงคลโกรธแค้นมาก รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้น เพื่อความยุติธรรมและขัดขวาง การแย่งชิงราชสมบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและประเพณีแห่งบ้านเมืองและทำให้ตนตกอยู่ในฐานะผู้ต้องราชอาญาข้อหากบฏที่ร่วมกับมหาอุปราชปิตุลากอบกู้แผ่นดิน ซึ่งทำให้ครอบครัวและบริวารต้องได้รับความเดือดร้อนและต้องโทษไปด้วย เมื่อภรรยาสองคนถูกทางการจับตัวไปแน่นอนว่าโทษนั้นก็คงถึงแก่ชีวิต คิดดังนั้นแล้วออกหลวงมงคลก็แทบหมดสิ้นหวังในชีวิต ด้วยเสียใจอย่างมากที่ภรรยาและข้าทาสบริวารต้องถูกลงโทษและจบสิ้นชีวิตลง ครั้นเมื่อออกหลวงมงคลตั้งสติได้และคิดว่าจะทำการอื่นใดนั้นก็คงจะไม่ลุล่วงแน่ ด้วยความสำนึกผิดที่สร้างความเดือกร้อนให้แก่ภรรยาและบริวาร จึงได้เข้ามอบตัวแก่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองและขอให้นำตัวเขามายังพระนคร
เจ้าหน้าที่ได้จองจำเขาด้วยโซ่ตรวนที่ขา มือ แขนและคอ ทุกส่วนของร่างกายด้วยได้รับคำตักเตือนมาก่อนว่าออกหลวงมงคลเป็นนักโทษที่ทางการต้องการตัวและมีพละกำลังมากมายนัก ทั้งเก่งในเรื่องวิชาคุณไสย ซึ่งอาจจะหลบหนีและกระทำการร้ายแรงขึ้นมาอีก ครั้นเห็นผู้คุมพยายามใส่เครื่องพันธนาการให้แก่ตน ออกหลวงมงคลจึงหัวเราะ กล่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้คุมพวกนั้นว่า
“ไม่ต้องทำเช่นนั้นดอก ที่ยอมเป็นนักโทษด้วยความสมัครใจและต้องการให้ทางการจับกุมตัวและนำเขาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาและให้สำเร็จโทษตามพระราชอาญาที่นั่น”
เจ้าหน้าที่ค่อนข้างจะแปลกใจ แต่ก็ต้องทำตามหน้าที่โดยนำเครื่องพันธนาการมาใส่ให้แก่ออกหลวงมงคล
“ถ้าหากข้าพเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่มามอบตัวให้เป็นนักโทษ และไม่ยอมให้ใครจับกุมตัวได้” แล้วออกหลวงมงคลก็แหกเครื่องพันธนาการนั้นออกอย่างง่ายดายเหมือนดึงเศษเชือกหรือด้ายเปื่อยๆออกมา
“ถ้าข้าพเจ้าต้องการพิสูจน์พละกำลังและวิชาความรู้ของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็สามารถฆ่าท่านได้หลายคนทีเดียว แต่ข้าพเจ้าต้องการตาย ฉะนั้นจงนำข้าพเจ้าไปยังกรุงศรีอยุธยาโดยอิสระเถิด เพื่อว่าออกญากลาโหมผู้โหดเหี้ยม ซึ่งปลงพระชนม์พระปิตุลาอาจพึงพอใจในเลือดของข้าพเจ้า เพราะเขากระหายมานานแล้ว” เจ้าหน้าที่จึงพาออกหลวงมงคลเดินทางมายังพระนคร
สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงยินดีเมื่อทราบว่า ออกหลวงมงคลมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว ด้วยกิตติศัพท์ความเก่งกาจของอออกหลวงมงคลเป็นที่เลื่องลือ ทั้งด้านฝีไม้ลายมือและคุณไสยวิเศษต่างๆนั้น ทำให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงโปรดออกหลวงมงคลนัก แม้จะช่วยพระปิตุลาทำการสู้รบอย่างไม่คิดชีวิตมาก่อน แต่พระองค์ประสงค์จะไว้ชีวิตด้วยเสียดายฝีไม้ลายมือและของวิชาที่ออกหลวงมงคลมีอยู่และเห็นเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองภายหน้าได้
สมเด็จพระเชษฐาธิราชจึงตรัสให้ออกญากลาโหมไปพูดจาเกลี้ยกล่อมให้ออกหลวงมงคลเปลี่ยนใจ หากออกหลวงมงคลต้องการแสดงความจงรักภักดีแก่พระเจ้าแผ่นดินก็ให้แจ้งแก่ออกญากลาโหม สมเด็จพระเชษฐาธิราชก็จะทรงพระราชทานอภัยโทษและไว้ชีวิต
แต่ออกหลวงมงคลก็ยังยืนยันในเจตนารมณ์ด้วยความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
“ข้าพเจ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัวที่เคารพอีกแล้ว พระเจ้าอยู่หัวผิดกฎหมายที่ท่านพูดถึง ทั้งตัวของท่านเองก็ได้ร่วมมือกันปลงพระชนม์ผู้สืบราชสมบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียแล้ว เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงอยากตายมากกว่าจะเชื่อฟังคนใจโหด”
ออกญากลาโหมได้กลับมากราบทูลผลการเกลี้ยกล่อมที่ออกหลวงมงคลปฏิเสธและไม่ยอมอ่อนน้อมแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน ออกหลวงมงคลจึงถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต ก่อนจะสิ้นชีวิตนั้นออกหลวงมงคลได้บอกกล่าวแก่ผู้คนทั้งปวง ซึ่งแน่นอนว่า ณ บริเวณที่ประหารออกหลวงมงคลนั้น ย่อมมีผู้คนชาวเมืองมาดูกันอย่างมากมาย และก็คงเป็นที่สนใจต่อเหล่าบรรดาพ่อค้าชาวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
ก่อนตายออกหลวงมงคลได้แนะนำชี้แนะให้ราษฎรเห็นว่าบ้านเมืองตกอยู่ในอันตราย บอกเตือนล่วงหน้าว่าเคราะห์กรรมจะตามมาครอบคลุมบ้านเมืองในภายหลัง ในที่สุดเขาพูดถึงความกล้าหาญของตนเองและวิทยาคุณไสยศาสตร์กับกล่าวเพิ่มเติมว่าถ้าหากคนใดยังสงสัยเรื่องนี้อยู่ เขาจะพิสูจน์ให้เห็นจริงต่อหน้าคนทั้งมวล
หากเขาอยู่ในอาการนิ่งสงบเพื่อรับดาบที่ฟันลงมา เพชฌฆาตก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แม้จะใช้ดาบนั้นฟันเขาอย่างเต็มแรงจนใบมีดนั้นบิดโค้งไปมาก็ตาม ทุกครั้งที่เพชฌฆาตลงดาบฟัน ก็เกิดเสียงดังเหมือนคมดาบกระทบกับทั่งตีเหล็ก หลังจากนั้นออกหลวงมงคล ก็ลุกขึ้นดึงเชือกที่มัดตัวออก จับเพชฌฆาตไว้และบีบคอจนตาย เสร็จแล้วก็ขอน้ำ เขาเสกคาถาลงในน้ำมนต์แล้วทำเครื่องหมายลงบนลำตัวด้านซ้ายใต้ซี่โครง
ในประเทศสยาม ใครที่ถูกลงโทษด้วยดาบ เพชฌฆาตก็จะต้องฟันตรงนั้น ซึ่งไส้ที่อยู่ภายในช่องท้องจะไหลออกมาอย่างเร็วที่สุด แล้วออกหลวงมงคลก็นอนลงแล้วสั่งให้เพชฌฆาตอีกคนที่ถูกนำตัวมา ให้ฟันเขาตรงที่ที่เขาทำเครื่องหมายไว้ ถ้าหากฟันพลาด ออกหลวงมงคลก็จะบีบคอเพชฌฆาตให้ตายเหมือนคนแรก
เพชฌฆาตก็ฟันดาบลงไป แต่ด้วยความหวาดกลัวและเกร็งจึงทำให้ลงดาบผิดตำแหน่ง ออกหลวงมงคลก็มิได้เป็นอันใดและอนุญาตให้เพชฌฆาตลงดาบอีกครั้ง โดยสั่งให้ฟันที่หัวใจ เพชฌฆาตก็กราบอโหสิกรรมแล้วก็ลงดาบอีกครั้ง ออกหลวงมงคลจึงสิ้นชีวิตลง...
00000000
ทางด้านทับทิมเมื่อถูกนำตัวมาถึงพระนคร ออกญาเสนาภิมุขก็สั่งให้นำตัวไปคุมขังไว้ที่คุก มิให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน สิงห์ได้ลักลอบแอบเข้าไปหาทับทิม เมื่อเห็นสภาพของหญิงคนรักก็ให้สงสารจับใจและโกรธตนเองที่ทำกระไรไม่ได้ ด้วยพ่อสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะตอนนี้ทับทิมถือได้ว่าเป็นนักโทษกบฏ ทับทิมเอ็งก็ปลงตกทำใจไว้แล้วว่ายังไงตนก็คงไม่รอด และได้บอกลาสิงห์ด้วยเสียงสั่นเครือ สิงห์รีบห้ามปรามไม่ให้ทับทิมคิดเช่นนั้น แต่ทับทิมบอกให้สิงห์ยอมรับความจริงเพราะออกหลวงมงคลผู้มีวิชาอยู่ยงคงกระพันยังถูกฟันคอขาด แล้วทับทิมรอดพ้นคมดาบเพชฌฆาตได้อย่างไร
สิงห์ฉุกคิดว่าเมื่อออกหลวงมงคลได้ถูกประหารไปแล้วก็เกรงภัยจะมาถึงคราวทับทิม ซึ่งสิงห์คงทนไม่ได้แน่หากเป็นเช่นนั้น สิงห์จึงไปขอออกญาเสนาภิมุขให้ปล่อยตัวทับทิมไปแล้วตนจะขอรับผิดแทน ออกญาเสนาภิมุขไม่ฟังคำขอใดๆจากสิงห์ สั่งให้คนไปนำตัวทับทิมออกมาที่ลานประหารในทันที...
00000000
ณ...ลานประหาร...
คราบเลือดของออกหลวงมงคลยังมิได้แห้งเหือดหาย ดาบในมือของเพชฌฆาตก็กำลังจะได้ดื่มเลือดอีกครั้งในไม่ช้า เสียงเพลงรำดาบทำนองโหยหวน ทุกท่าล้วนหมายเอาชีวิต ทับทิมนั่งตัวเกร็งและสั่นไปทั้งร่าง เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นทุกรูขุมขน ดวงตาทั้งสองมืดสนิทเพราะถูกปิดไว้ด้วยผ้าผืนหนา ในมือถือดอกบัวและถูกมัดตราสังข์ไว้ ความปลงตกที่มีเมื่อครู่เลือนหายเมื่อต้องมาประชันกับความหวาดเสียวจากคมดาบ
เพชฌฆาตเงื้อดาบจะฟาดฟัน ดาบนั้นห่างจากคอเพียงแค่คืบ หากแต่ท่าร่ายรำยังคงดำเนินต่อไป จนเมื่อหมดกระบวนท่า เพชฌฆาตก้มกราบขออโหสิกรรมทับทิม ทับทิมเองก็รู้ตัวแล้วว่า คงได้ฤกษ์สำหรับประหารนักโทษกบฏอย่างตนแล้ว ทับทิมกลั้นใจกัดฟัน ข่มใจให้คิดว่า คนเราเกิดมาไม่ช้าก็ต้องตาย
ชาวบ้านที่มุงดูกันอย่างมากมายต่างก็ลุ้นกันเหมือนคราวฟันคอออกหลวงมงคล แม่ที่พาลูกติดมาดูการประหารด้วย ต่างก็เตรียมเอามือปิดตาลูกน้อยไม่ให้เห็นภาพที่น่าหดหู่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพชฌฆาตคนเดิมลุกขึ้นจากการกราบขออโหสิกรรม เงื้อดาบนั้นขึ้นแล้วเล็งที่หมายเพื่อไม่ให้คมดาบต้องพลาดท่าเหมือนคราวออกหลวงมงคล เลือดซ่านแตกกระเซ็น หัวทับทิมกระเด็นหลุดไปไกล เลือดสีแดงข้นพุ่งกระฉูดเต็มหน้าเพชฌฆาต น้ำตาหยาดสุดท้ายของทับทิมไหลลงมาอาบแก้มในขณะที่ดวงตาเบิกกว้างเพราะไม่อาจตายตาหลับได้
ภาพความสลดหดหู่ปลุกทับทิมให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาในคุกมืด เสียงกุญแจห้องขังถูกเปิด ทหารสองนายมากุมตัวทับทิมออกไปยังลานประหารนักโทษ คราบเลือด เพชฌฆาต คมดาบ ผู้คน แม้แต่เสียงเพลงพิฆาต ทุกอย่างไม่มีอะไรต่างไปจากฝันร้ายของทับทิมแม้แต่น้อย ผ้าผืนหนาถูกนำมาปิดตาทับทิมไว้เช่นในฝัน ทับทิมกลั้นใจและปลอบตัวเองดังที่เคยทำในฝันร้ายนั้น พลันภาพหัวตนเองหลุดจนเลือดกระเซ็นซ่านก็ผุดขึ้นมา
เสียงฝีเท้าม้าควบอย่างเร็วพร้อมธงยกเลิกการประหาร สิงห์รีบควบม้าสีหมอกพร้อมนำธงนั้นมายังลานประหารอย่างเร่งรีบที่สุดในชีวิต พลันเมื่อถึง ณ ลานประหารสิงห์ก็รีบแจ้งแก่เพชฌฆาตว่าตนได้รับคำสั่งจากออกญากลาโหมให้ละเว้นโทษและไม่ต้องประหารทับทิมแล้ว เพชฌฆาตเก็บดาบในทันทีเมื่อเห็นธงสัญลักษณ์ของออกญากลาโหมแม่ทัพใหญ่
สิงห์โผเข้าไปหาทับทิมกอดทับทิมไว้แนบแน่น ก่อนจะรีบละอ้อมกอดมาตัดเชือกตราสังข์ที่มัดมือและเท้าออกให้ทับทิมอย่างรวดเร็ว เมื่อผ้าปิดตาถูกเปิดออก สิงห์ก็ทันได้เห็นหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายของทับทิม สิงห์ดึงเจ้าของหยาดน้ำตามากอดอีกครั้งเพื่อปลอบประโลม
“ฉันขอโทษที่มาช้า ฉันขอโทษนะทับทิม”
“ข้านึกว่าข้าจะตายเสียแล้ว ข้านึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” เสียงสั่นเครือของทับทิมทำให้สิงห์สงสารจับหัวใจ
“ฉันบอกแล้วอย่างไร ว่าจะทำทุกทางเพื่อช่วยให้ทับทิมรอด เรารอดแล้วนะทับทิม เรารอดแล้ว..”
ทับทิมร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นความรู้สึกของคนที่เพิ่งรอดคมดาบมาได้อย่างหวุดหวิดคงยากที่จะบรรยายให้ใครฟังได้ สิงห์ยังคงกอดปลอบขวัญหญิงคนรักอย่างแนบแน่น จนเสียงร้องไห้เริ่มทุเลาลง สิงห์จึงประคองร่างบอบบางลุกออกไปจากลานประหารในทันที
00000000
สิงห์ได้ให้ทหารนำศพครูเที่ยงมาไว้ที่วิเศษชัยชาญนานแล้ว ทุกคนรอทับทิมให้กลับไปทำพิธีให้พ่อ สิงห์จึงรีบพาทับทิมกลับวิเศษชัยชาญโดยด่วน เมื่อได้เจอกับเข้มและเพลิงที่เริ่มหายดีแล้วทั้งสามก็โผเข้าหากันอย่างดีใจที่เพื่อนตายได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง จุกที่เพิ่งกลับมาจากตกปลาเมื่อเห็นหน้าทับทิมก็ดีใจจนทิ้งปลาทั้งหมดลงพื้นอย่างไม่ใยดี แล้ววิ่งไปกอดพี่สาวคนสนิทด้วยความคิดถึงจับใจ
ส่วนบังอรก็เอาแต่ซึมเศร้าเพราะยังรับไม่ได้กับการจากไปของผัวรักและพี่ชายที่ตนเคารพและเป็นที่พึ่งให้ตนอยู่เสมอ บังอรรู้สึกเคว้งเมื่อต้องมาสูญเสียเสาหลักในชีวิตไปถึงสองคนในคราวเดียวกัน อบเชยคอยกอดปลอบแม่อยู่ไม่ห่าง และพร่ำบอกว่าแม่ยังมีอบเชย บังอรจึงบอกกับลูกว่า
“เพราะยังมีอบเชย แม่ถึงยังทนฝืนมีชีวิตต่อไป เพราะหากไม่มีอบเชย แม่ก็อยากจะตายๆไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด” อบเชยตกใจและเสียใจที่ตนทำอะไรไม่ได้ จึงร้องไห้ออกมาอีกคน บังอรเห็นน้ำตาลูกสาวสุดรักจึงปาดน้ำตาตนเอง มาเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว สองแม่ลูกกอดปลอบประโลมกันในค่ำคืนแสนโหดร้ายของทั้งคู่...
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๑๘ คราบเลือด...เพชฌฆาต...เสียงโหยหวน
แต่บังเอิญคืนนั้นออกญากลาโหมถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ในพระราชวัง แผนการของออกหลวงมงคลจึงล้มเหลว ดังนั้นออกหลวงมงคลจึงกลับไปยังบ้านของตนและได้พาภรรยาสองคนหนีไปด้วยกัน กระทั่งถึงประสบสะแกกรัง ชายเขตแดนมอญและได้พำนักอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ออกหลวงมงคลใช้ชีวิตชาวป่าอย่างไร้จุดหมาย ต่อมาไม่นานก็มีผู้พบที่ซ่อนตัวของออกหลวงมงคลและภรรยา โดยครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลป่าเขตนั้นออกสำรวจพื้นที่และล่าสัตว์ จึงได้พบกับบ้านพักของออกหลวงมงคลซึ่งวันนั้นออกหลวงมงคลออกไปล่าสัตว์ปล่อยให้ภรรยาทั้งสองอยู่กับบ้าน กระทั่งเจ้าหน้าที่ได้พบเข้าและได้พาภรรยาทั้งสองของออกหลวงมงคลออกมา
ออกหลวงมงคลโกรธแค้นมาก รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้น เพื่อความยุติธรรมและขัดขวาง การแย่งชิงราชสมบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและประเพณีแห่งบ้านเมืองและทำให้ตนตกอยู่ในฐานะผู้ต้องราชอาญาข้อหากบฏที่ร่วมกับมหาอุปราชปิตุลากอบกู้แผ่นดิน ซึ่งทำให้ครอบครัวและบริวารต้องได้รับความเดือดร้อนและต้องโทษไปด้วย เมื่อภรรยาสองคนถูกทางการจับตัวไปแน่นอนว่าโทษนั้นก็คงถึงแก่ชีวิต คิดดังนั้นแล้วออกหลวงมงคลก็แทบหมดสิ้นหวังในชีวิต ด้วยเสียใจอย่างมากที่ภรรยาและข้าทาสบริวารต้องถูกลงโทษและจบสิ้นชีวิตลง ครั้นเมื่อออกหลวงมงคลตั้งสติได้และคิดว่าจะทำการอื่นใดนั้นก็คงจะไม่ลุล่วงแน่ ด้วยความสำนึกผิดที่สร้างความเดือกร้อนให้แก่ภรรยาและบริวาร จึงได้เข้ามอบตัวแก่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองและขอให้นำตัวเขามายังพระนคร
เจ้าหน้าที่ได้จองจำเขาด้วยโซ่ตรวนที่ขา มือ แขนและคอ ทุกส่วนของร่างกายด้วยได้รับคำตักเตือนมาก่อนว่าออกหลวงมงคลเป็นนักโทษที่ทางการต้องการตัวและมีพละกำลังมากมายนัก ทั้งเก่งในเรื่องวิชาคุณไสย ซึ่งอาจจะหลบหนีและกระทำการร้ายแรงขึ้นมาอีก ครั้นเห็นผู้คุมพยายามใส่เครื่องพันธนาการให้แก่ตน ออกหลวงมงคลจึงหัวเราะ กล่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้คุมพวกนั้นว่า
“ไม่ต้องทำเช่นนั้นดอก ที่ยอมเป็นนักโทษด้วยความสมัครใจและต้องการให้ทางการจับกุมตัวและนำเขาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาและให้สำเร็จโทษตามพระราชอาญาที่นั่น”
เจ้าหน้าที่ค่อนข้างจะแปลกใจ แต่ก็ต้องทำตามหน้าที่โดยนำเครื่องพันธนาการมาใส่ให้แก่ออกหลวงมงคล
“ถ้าหากข้าพเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่มามอบตัวให้เป็นนักโทษ และไม่ยอมให้ใครจับกุมตัวได้” แล้วออกหลวงมงคลก็แหกเครื่องพันธนาการนั้นออกอย่างง่ายดายเหมือนดึงเศษเชือกหรือด้ายเปื่อยๆออกมา
“ถ้าข้าพเจ้าต้องการพิสูจน์พละกำลังและวิชาความรู้ของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็สามารถฆ่าท่านได้หลายคนทีเดียว แต่ข้าพเจ้าต้องการตาย ฉะนั้นจงนำข้าพเจ้าไปยังกรุงศรีอยุธยาโดยอิสระเถิด เพื่อว่าออกญากลาโหมผู้โหดเหี้ยม ซึ่งปลงพระชนม์พระปิตุลาอาจพึงพอใจในเลือดของข้าพเจ้า เพราะเขากระหายมานานแล้ว” เจ้าหน้าที่จึงพาออกหลวงมงคลเดินทางมายังพระนคร
สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงยินดีเมื่อทราบว่า ออกหลวงมงคลมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว ด้วยกิตติศัพท์ความเก่งกาจของอออกหลวงมงคลเป็นที่เลื่องลือ ทั้งด้านฝีไม้ลายมือและคุณไสยวิเศษต่างๆนั้น ทำให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงโปรดออกหลวงมงคลนัก แม้จะช่วยพระปิตุลาทำการสู้รบอย่างไม่คิดชีวิตมาก่อน แต่พระองค์ประสงค์จะไว้ชีวิตด้วยเสียดายฝีไม้ลายมือและของวิชาที่ออกหลวงมงคลมีอยู่และเห็นเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองภายหน้าได้
สมเด็จพระเชษฐาธิราชจึงตรัสให้ออกญากลาโหมไปพูดจาเกลี้ยกล่อมให้ออกหลวงมงคลเปลี่ยนใจ หากออกหลวงมงคลต้องการแสดงความจงรักภักดีแก่พระเจ้าแผ่นดินก็ให้แจ้งแก่ออกญากลาโหม สมเด็จพระเชษฐาธิราชก็จะทรงพระราชทานอภัยโทษและไว้ชีวิต
แต่ออกหลวงมงคลก็ยังยืนยันในเจตนารมณ์ด้วยความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
“ข้าพเจ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัวที่เคารพอีกแล้ว พระเจ้าอยู่หัวผิดกฎหมายที่ท่านพูดถึง ทั้งตัวของท่านเองก็ได้ร่วมมือกันปลงพระชนม์ผู้สืบราชสมบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียแล้ว เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงอยากตายมากกว่าจะเชื่อฟังคนใจโหด”
ออกญากลาโหมได้กลับมากราบทูลผลการเกลี้ยกล่อมที่ออกหลวงมงคลปฏิเสธและไม่ยอมอ่อนน้อมแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน ออกหลวงมงคลจึงถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต ก่อนจะสิ้นชีวิตนั้นออกหลวงมงคลได้บอกกล่าวแก่ผู้คนทั้งปวง ซึ่งแน่นอนว่า ณ บริเวณที่ประหารออกหลวงมงคลนั้น ย่อมมีผู้คนชาวเมืองมาดูกันอย่างมากมาย และก็คงเป็นที่สนใจต่อเหล่าบรรดาพ่อค้าชาวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
ก่อนตายออกหลวงมงคลได้แนะนำชี้แนะให้ราษฎรเห็นว่าบ้านเมืองตกอยู่ในอันตราย บอกเตือนล่วงหน้าว่าเคราะห์กรรมจะตามมาครอบคลุมบ้านเมืองในภายหลัง ในที่สุดเขาพูดถึงความกล้าหาญของตนเองและวิทยาคุณไสยศาสตร์กับกล่าวเพิ่มเติมว่าถ้าหากคนใดยังสงสัยเรื่องนี้อยู่ เขาจะพิสูจน์ให้เห็นจริงต่อหน้าคนทั้งมวล
หากเขาอยู่ในอาการนิ่งสงบเพื่อรับดาบที่ฟันลงมา เพชฌฆาตก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แม้จะใช้ดาบนั้นฟันเขาอย่างเต็มแรงจนใบมีดนั้นบิดโค้งไปมาก็ตาม ทุกครั้งที่เพชฌฆาตลงดาบฟัน ก็เกิดเสียงดังเหมือนคมดาบกระทบกับทั่งตีเหล็ก หลังจากนั้นออกหลวงมงคล ก็ลุกขึ้นดึงเชือกที่มัดตัวออก จับเพชฌฆาตไว้และบีบคอจนตาย เสร็จแล้วก็ขอน้ำ เขาเสกคาถาลงในน้ำมนต์แล้วทำเครื่องหมายลงบนลำตัวด้านซ้ายใต้ซี่โครง
ในประเทศสยาม ใครที่ถูกลงโทษด้วยดาบ เพชฌฆาตก็จะต้องฟันตรงนั้น ซึ่งไส้ที่อยู่ภายในช่องท้องจะไหลออกมาอย่างเร็วที่สุด แล้วออกหลวงมงคลก็นอนลงแล้วสั่งให้เพชฌฆาตอีกคนที่ถูกนำตัวมา ให้ฟันเขาตรงที่ที่เขาทำเครื่องหมายไว้ ถ้าหากฟันพลาด ออกหลวงมงคลก็จะบีบคอเพชฌฆาตให้ตายเหมือนคนแรก
เพชฌฆาตก็ฟันดาบลงไป แต่ด้วยความหวาดกลัวและเกร็งจึงทำให้ลงดาบผิดตำแหน่ง ออกหลวงมงคลก็มิได้เป็นอันใดและอนุญาตให้เพชฌฆาตลงดาบอีกครั้ง โดยสั่งให้ฟันที่หัวใจ เพชฌฆาตก็กราบอโหสิกรรมแล้วก็ลงดาบอีกครั้ง ออกหลวงมงคลจึงสิ้นชีวิตลง...
ทางด้านทับทิมเมื่อถูกนำตัวมาถึงพระนคร ออกญาเสนาภิมุขก็สั่งให้นำตัวไปคุมขังไว้ที่คุก มิให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน สิงห์ได้ลักลอบแอบเข้าไปหาทับทิม เมื่อเห็นสภาพของหญิงคนรักก็ให้สงสารจับใจและโกรธตนเองที่ทำกระไรไม่ได้ ด้วยพ่อสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะตอนนี้ทับทิมถือได้ว่าเป็นนักโทษกบฏ ทับทิมเอ็งก็ปลงตกทำใจไว้แล้วว่ายังไงตนก็คงไม่รอด และได้บอกลาสิงห์ด้วยเสียงสั่นเครือ สิงห์รีบห้ามปรามไม่ให้ทับทิมคิดเช่นนั้น แต่ทับทิมบอกให้สิงห์ยอมรับความจริงเพราะออกหลวงมงคลผู้มีวิชาอยู่ยงคงกระพันยังถูกฟันคอขาด แล้วทับทิมรอดพ้นคมดาบเพชฌฆาตได้อย่างไร
สิงห์ฉุกคิดว่าเมื่อออกหลวงมงคลได้ถูกประหารไปแล้วก็เกรงภัยจะมาถึงคราวทับทิม ซึ่งสิงห์คงทนไม่ได้แน่หากเป็นเช่นนั้น สิงห์จึงไปขอออกญาเสนาภิมุขให้ปล่อยตัวทับทิมไปแล้วตนจะขอรับผิดแทน ออกญาเสนาภิมุขไม่ฟังคำขอใดๆจากสิงห์ สั่งให้คนไปนำตัวทับทิมออกมาที่ลานประหารในทันที...
ณ...ลานประหาร...
คราบเลือดของออกหลวงมงคลยังมิได้แห้งเหือดหาย ดาบในมือของเพชฌฆาตก็กำลังจะได้ดื่มเลือดอีกครั้งในไม่ช้า เสียงเพลงรำดาบทำนองโหยหวน ทุกท่าล้วนหมายเอาชีวิต ทับทิมนั่งตัวเกร็งและสั่นไปทั้งร่าง เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นทุกรูขุมขน ดวงตาทั้งสองมืดสนิทเพราะถูกปิดไว้ด้วยผ้าผืนหนา ในมือถือดอกบัวและถูกมัดตราสังข์ไว้ ความปลงตกที่มีเมื่อครู่เลือนหายเมื่อต้องมาประชันกับความหวาดเสียวจากคมดาบ
เพชฌฆาตเงื้อดาบจะฟาดฟัน ดาบนั้นห่างจากคอเพียงแค่คืบ หากแต่ท่าร่ายรำยังคงดำเนินต่อไป จนเมื่อหมดกระบวนท่า เพชฌฆาตก้มกราบขออโหสิกรรมทับทิม ทับทิมเองก็รู้ตัวแล้วว่า คงได้ฤกษ์สำหรับประหารนักโทษกบฏอย่างตนแล้ว ทับทิมกลั้นใจกัดฟัน ข่มใจให้คิดว่า คนเราเกิดมาไม่ช้าก็ต้องตาย
ชาวบ้านที่มุงดูกันอย่างมากมายต่างก็ลุ้นกันเหมือนคราวฟันคอออกหลวงมงคล แม่ที่พาลูกติดมาดูการประหารด้วย ต่างก็เตรียมเอามือปิดตาลูกน้อยไม่ให้เห็นภาพที่น่าหดหู่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพชฌฆาตคนเดิมลุกขึ้นจากการกราบขออโหสิกรรม เงื้อดาบนั้นขึ้นแล้วเล็งที่หมายเพื่อไม่ให้คมดาบต้องพลาดท่าเหมือนคราวออกหลวงมงคล เลือดซ่านแตกกระเซ็น หัวทับทิมกระเด็นหลุดไปไกล เลือดสีแดงข้นพุ่งกระฉูดเต็มหน้าเพชฌฆาต น้ำตาหยาดสุดท้ายของทับทิมไหลลงมาอาบแก้มในขณะที่ดวงตาเบิกกว้างเพราะไม่อาจตายตาหลับได้
ภาพความสลดหดหู่ปลุกทับทิมให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาในคุกมืด เสียงกุญแจห้องขังถูกเปิด ทหารสองนายมากุมตัวทับทิมออกไปยังลานประหารนักโทษ คราบเลือด เพชฌฆาต คมดาบ ผู้คน แม้แต่เสียงเพลงพิฆาต ทุกอย่างไม่มีอะไรต่างไปจากฝันร้ายของทับทิมแม้แต่น้อย ผ้าผืนหนาถูกนำมาปิดตาทับทิมไว้เช่นในฝัน ทับทิมกลั้นใจและปลอบตัวเองดังที่เคยทำในฝันร้ายนั้น พลันภาพหัวตนเองหลุดจนเลือดกระเซ็นซ่านก็ผุดขึ้นมา
เสียงฝีเท้าม้าควบอย่างเร็วพร้อมธงยกเลิกการประหาร สิงห์รีบควบม้าสีหมอกพร้อมนำธงนั้นมายังลานประหารอย่างเร่งรีบที่สุดในชีวิต พลันเมื่อถึง ณ ลานประหารสิงห์ก็รีบแจ้งแก่เพชฌฆาตว่าตนได้รับคำสั่งจากออกญากลาโหมให้ละเว้นโทษและไม่ต้องประหารทับทิมแล้ว เพชฌฆาตเก็บดาบในทันทีเมื่อเห็นธงสัญลักษณ์ของออกญากลาโหมแม่ทัพใหญ่
สิงห์โผเข้าไปหาทับทิมกอดทับทิมไว้แนบแน่น ก่อนจะรีบละอ้อมกอดมาตัดเชือกตราสังข์ที่มัดมือและเท้าออกให้ทับทิมอย่างรวดเร็ว เมื่อผ้าปิดตาถูกเปิดออก สิงห์ก็ทันได้เห็นหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายของทับทิม สิงห์ดึงเจ้าของหยาดน้ำตามากอดอีกครั้งเพื่อปลอบประโลม
“ฉันขอโทษที่มาช้า ฉันขอโทษนะทับทิม”
“ข้านึกว่าข้าจะตายเสียแล้ว ข้านึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” เสียงสั่นเครือของทับทิมทำให้สิงห์สงสารจับหัวใจ
“ฉันบอกแล้วอย่างไร ว่าจะทำทุกทางเพื่อช่วยให้ทับทิมรอด เรารอดแล้วนะทับทิม เรารอดแล้ว..”
ทับทิมร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นความรู้สึกของคนที่เพิ่งรอดคมดาบมาได้อย่างหวุดหวิดคงยากที่จะบรรยายให้ใครฟังได้ สิงห์ยังคงกอดปลอบขวัญหญิงคนรักอย่างแนบแน่น จนเสียงร้องไห้เริ่มทุเลาลง สิงห์จึงประคองร่างบอบบางลุกออกไปจากลานประหารในทันที
สิงห์ได้ให้ทหารนำศพครูเที่ยงมาไว้ที่วิเศษชัยชาญนานแล้ว ทุกคนรอทับทิมให้กลับไปทำพิธีให้พ่อ สิงห์จึงรีบพาทับทิมกลับวิเศษชัยชาญโดยด่วน เมื่อได้เจอกับเข้มและเพลิงที่เริ่มหายดีแล้วทั้งสามก็โผเข้าหากันอย่างดีใจที่เพื่อนตายได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง จุกที่เพิ่งกลับมาจากตกปลาเมื่อเห็นหน้าทับทิมก็ดีใจจนทิ้งปลาทั้งหมดลงพื้นอย่างไม่ใยดี แล้ววิ่งไปกอดพี่สาวคนสนิทด้วยความคิดถึงจับใจ
ส่วนบังอรก็เอาแต่ซึมเศร้าเพราะยังรับไม่ได้กับการจากไปของผัวรักและพี่ชายที่ตนเคารพและเป็นที่พึ่งให้ตนอยู่เสมอ บังอรรู้สึกเคว้งเมื่อต้องมาสูญเสียเสาหลักในชีวิตไปถึงสองคนในคราวเดียวกัน อบเชยคอยกอดปลอบแม่อยู่ไม่ห่าง และพร่ำบอกว่าแม่ยังมีอบเชย บังอรจึงบอกกับลูกว่า
“เพราะยังมีอบเชย แม่ถึงยังทนฝืนมีชีวิตต่อไป เพราะหากไม่มีอบเชย แม่ก็อยากจะตายๆไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด” อบเชยตกใจและเสียใจที่ตนทำอะไรไม่ได้ จึงร้องไห้ออกมาอีกคน บังอรเห็นน้ำตาลูกสาวสุดรักจึงปาดน้ำตาตนเอง มาเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว สองแม่ลูกกอดปลอบประโลมกันในค่ำคืนแสนโหดร้ายของทั้งคู่...
โปรดติดตามตอนต่อไป