เนื่องจากบทความต้นฉบับเขียนคำผิดเยอะมากแล้วก็เรียบเรียงได้ชวนงงอ่านแล้วงง ผมเลยแก้ไขให้ใหม่แล้วมาลงในพันทิปเผื่อเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นต่อไปครับ
พระสมเด็จเผ่าพิมพ์อกร่องหูบายศรี วัดอินทรวิหาร กรุงเทพ พ.ศ.๒๔๙๕
จัดเป็นพระสมเด็จทรงคุณค่าเปี่ยมพุทธานุภาพที่ประกอบด้วยมวลสารมงคลหลากหลายมากมาย โดยเฉพาะ “ชิ้นส่วนแตกหักของพระสมเด็จวัดระฆัง , สมเด็จบางขุนพรหม และ สมเด็จวัดเกศไชโย” ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้สร้างไว้ โดยนำมาบดผสมผสานอยู่กับมวลสารมงคลอื่นๆเป็นจำนวนมาก รวมทั้งพระคณาจารย์ยุคเก่าที่ในปัจจุบันพระเครื่องของท่านซึ่งได้จัดสร้างไว้นั้น มีมูลค่าเรือนแสน เรือนล้าน ก็ยังมาร่วมปลุกเสกให้ในพิธีนี้อีกด้วย
พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ (อธิบดีกรมตำรวจสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม) ในฐานะเป็นประธานจัดงานนมัสการประจำปีของหลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.เนื่อง อาขุบุตร เป็นหัวหน้าดำเนินการสร้างพระพิมพ์สมเด็จฯ จำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ (ประกอบด้วย ๔ พิมพ์หลัก โดยมีพิมพ์อกร่องหูบายศรี เป็นพิมพ์นิยมสูงสุด นอกนั้นก็เป็นพิมพ์ใหญ่,พิมพ์เจดีย์และพิมพ์สามเหลี่ยม) เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้เช่าบูชา
วัตถุประสงค์เหตุในการจัดสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้เพื่อสืบต่อเกียรติคุณแห่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เพื่อบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถ เพื่อเฉลิมศรัทธาของประชาชนที่เป็นพุทธมามกะ จะได้นำเอาไปเคารพบูชาและสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา นอกจากนี้พลตำรวจเอกเผ่าบ้านเดิมของท่านก็อยู่หลังวัดอินทรวิหารด้วย
สมเด็จเผ่านี้ สร้างโดยพระครูสังฆ์ (ต่อมาดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอินทรสมาจาร) เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร รูปที่ ๓ ต่อจากพระครูธรรมานุกูล (หลวงปู่ภู จันทเกสโร) ศิษย์คู่บุญบารมีของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ผู้มีอายุยืนถึง ๑๐๓ ปี
พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีตำรวจในสมัยนั้น เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
พระครูสังฆ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ท่านพระครูสังฆ์ได้นำมวลสารที่เหลือจากการสร้างพระในปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ นั่นคือ “พระสมเด็จพระครูสังฆ์ วัดอินทร์ ๒๔๘๕” มาเป็นส่วนผสมในครั้งนี้ด้วย
ตัวท่านเองประวัติของท่านแปลกมากตรงที่เป็นพระที่มาที่วัดแล้วมาหาหลวงปู่ภูและ บอกหลวงปู่ภูว่า สมเด็จโตให้ฉันมาสร้างพระ ซึ่งหลวงปู่ภูท่านก็เห็นชอบด้วย จึงให้ดำเนินการสร้างพระชุดแรกขึ้นมาโดยเอาแม่พิมพ์เก่าของหลวงปู่ภูมาสร้าง ดังนั้น ”พระสมเด็จเผ่า ๒๔๙๕” รุ่นนี้ ใช้เชื้อพระเก่ามวลสารดีๆมากมายและเป็นพิธีใหญ่ระดับประเทศ
ประวัติ พระสมเด็จนายพลเผ่า( สมเด็จวัดอินทร์ ปี ๒๔๙๕ )
โดย ท่านอาจารย์ ฉันทิชัย กระแสสินธุ์
วันนั้นเป็น วันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ นาฬิกา
ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากนายพันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ว่าให้เตรียมกระดาษดินสอไปที่พระอุโบสถวัดอินทรวิหาร เวลา ๑๖.๐๐ น. ครั้นข้าพเจ้าย้อนถามไปว่า เกี่ยวด้วยเรื่องอะไร พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ก็บอกปัดว่าไปทราบเอาที่โบสถ์วัดอินทร์ก็แล้วกัน โดยมิทันที่ข้าพเจ้าจะซักไซ้อย่างไรต่อไปอีก พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ได้วางโทรศัพท์เสียเป็นการตัดบท
ข้าพเจ้าเคยรับทราบจากนายพลตำรวจจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ว่าจะมีการสร้างพระพิมพ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) ขึ้น แต่ยังไม่กำหนดวันแน่นอน จึงเดาเอาว่าเห็นจะไม่ผิดไปจากเรื่องที่เคยทราบนั้น
พอถึงเวลา ๑๖.๐๐ น. ข้าพเจ้าก็ถึงวัดอินทร์ตามที่พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา โทรศัพท์แจ้งไปโดยอาศัยรถยนต์ของหม่อมเจ้าปรีชา กัลยาณวงศ์ เป็นยานพาหนะ
ที่หน้าโบสถ์ ข้าพเจ้าได้พบกับพันตำรวจตรีเลื่อน บุณยจิตติ สหายรักของข้าพเจ้าผู้เคยร่วมงานกันมา พร้อมกับคุณชิต วิภาษธวัช ผู้สะพายกล้องอย่างดีสำหรับเก็บภาพในงานมงคลพิธี
พอเข้าไปในพระอุโบสถ ข้าพเจ้าถึงกับตะลึงงันด้วยความปีติ เพราะเบื้องหน้าพระประธาน เต็มไปด้วยสรรพวัตถุวิเศษที่นำมาเข้าในพิธีมณฑล ภายในพระอุโบสถนั้น ท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ นั่งเป็นประธานอยู่เบื้องขวา ท่านพลจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ก็อยู่ในพระอุโบสถด้วย…
เมื่อได้กราบพระประธานแล้ว ข้าพเจ้าได้เข้าไปทำความเคารพ ท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งท่านได้กรุณาบัญชาว่า “ จดเหตุการณ์ในเรื่องนี้อย่างละเอียด สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ตำรวจ”
ขณะนั้นเป็นเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์กับบรรดาผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในงานมหามงคลพิธี มาพร้อมกันในพระอุโบสถ อาทิ ข้าราชการตำรวจและคหบดีผู้ที่ได้รับเชิญมาเป็นกรรมการด้วยตลอดจนพระมหาราชครูพราหมณ์มุนีศรีวิสุทธิคุณกับพระครูพราหมณ์ศิวาจารย์ พราหมณ์พิธีผู้อ่านโองการเชิญชุมนุมเทพยดาตลอดจนเทพมนต์ ร่วมในพิธีสร้างพระพิมพ์เพื่อความสมบูรณ์โดยศิวศาสตร์ ตามแบบอย่างมหายัญพิธีแต่เบื้องบรรพ์ร่วมอยู่ด้วย
ข้าพเจ้านั่งอยู่ข้างพลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร และพันตำรวจตรี เลื่อน บุณยจิตติ ข้าพเจ้าได้กระซิบถาม พลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร ถึงเรื่องต่างๆที่ประสงค์ทราบให้ชัดเจน จึงได้ทราบว่า บรรดาข้าวของวิเศษต่างๆที่นำมาเป็นพิธีกรรมทั้งหมดนี้ พลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร กับพันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพาเป็นผู้จัดมาโดยบัญชาของท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ครบถูกต้องตามตำราทุกประการ ส่วนด้านขวาพระอุโบสถ พระสงฆ์ราชาคณะและพระครูตลอดจนพระอาจารย์สำนักต่าง ๆ ที่ได้รับนิมนต์ให้มาเข้าร่วมในการสร้างพระพิมพ์ ซึ่งมีรายชื่อดังนี้
พระเทพเวที วัดสามพระยา พระศรีสมโพธิ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม พระภาวนาวิกรม วัดระฆัง,พระภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำ,พระอาจารย์ แฉ่ง วัดบางพัง,พระครูสรภัญญประกาศ วัดโปรดเกศ ฯลฯ รวม ๑๔ รูป โดยที่ในงานนี้ได้นิมนต์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม มาเป็นประธานด้วย แต่บังเอิญท่านอาพาธโดยกะทันหันมาไม่ได้ จึงให้พระภิกษุผู้ทรงวิทยาคุณรูปอื่นมาแทน
พระภิกษุทุกรูปที่ได้รับนิมนต์มาในมหามงคลพิธีนี้ล้วนแต่ทรงไว้ซึ่งศีลาจารวัตรอันงดงามสมเป็นสมณะศิษย์พระตถาคต ได้นั่งรอเวลาอยู่อย่างสงบ เบื้องหน้าพระประธาน แบบพระมารวิชัยภายใต้เศวตรฉัตร ๙ ชั้นนั้น ภายในวงสายสิญจน์มีสรรพวัตถุวิเศษที่จะเข้าในพิธีกรรมสร้างพระพิมพ์ มีดังนี้
ผงเกสรดอกไม้,ผงเกสรบุนนาค,ผงเกสรบัวหลวง ,ผงเกสรสารภี,ผงเกสรพิกุล ,
ผงซิงค์อ๊อกไซด์,ปูนขาว,กระดาษฟาง,น้ำมันมะพร้าว, ดินสอพอง,น้ำมันก๊าดและน้ำอ้อย เครื่องตำมี ครก,สากหินและแผ่นกระเบื้องเคลือบสำหรับกดแม่พิมพ์ มีดทองเหลืองสำหรับตัดพระพิมพ์ ๘๔,๐๐๐ องค์ และถาดสำหรับรองพระพิมพ์เพื่อผึ่งในร่ม (ไม่ใช่ผึ่งแดด )ให้แห้ง บนพานแว่นฟ้ามีผงวิเศษดั้งเดิมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ที่นำมาจากเศษพระพิมพ์สมเด็จที่ชำรุดบดให้เป็นผงผสมให้เข้ากันแล้วใส่ ผอบ รออยู่ มีผงตะไบพระกริ่งวัดสุทัศน์ ตอนหล่อพระกริ่ง เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕ มีผงสมเด็จที่มอบให้แก่หลวงปู่ภูวัดอินทรวิหารรักษาไว้ก็ได้นำมาใส่ ผอบ เพื่อคลุกคลีเข้าด้วยกัน และยังมีผงของหลวงพ่อเดิม จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งนายพลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร นำมารวมเข้าไว้อีกด้วย
นอกจากนี้บรรดาพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่ได้รับนิมนต์เข้าร่วมบริกรรมปลุกเสกยังได้ให้ผงวิเศษจากสำนักของท่าน เพื่อรวมเข้ากับการสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้อีกด้วย จึงนับว่าการสร้างพระพิมพ์สมเด็จครั้งนี้ พรั่งพร้อมไปด้วยผงวิเศษครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักการสร้างเช่นปางบรรพ์ทุกประการ
เครื่องบูชาพระพุทธรูปและเครื่องบวงสรวงสังเวยนั้นทางคณะกรรมการจัดงานได้จัดเครื่องทองน้อย ตั้งเทียนชัยแปดทิศ ดูอร่ามตาและศักดิ์สิทธิ์เป็นหนักหนา เบื้องซ้ายตั้งบายศรีเจ็ดชั้นข้างละคู่ มีรูปถ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ขนาดใหญ่ตั้งไว้ด้วย และมีธรรมาสน์มุกตั้งเป็นสำคัญในการอัญเชิญให้พระวิญญาณสมเด็จฯ มาเป็นประธาน
พอได้ศุภฤกษ์มงคล ๑๖ นาฬิกา ๒๐ นาที พระมหาราชครูพราหมณ์มุนีศรีวิสุทธิคุณ แต่งกายด้วยเครื่องขาวสวมครุยทอง เข้ากราบพระพุทธรูปและกราบพระภิกษุผู้เป็นประธาน หลังจากนั้นก็เริ่มกล่าวคำบวงสรวงสังเวยปรารภเหตุในการจัดสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้
เสร็จการบวงสรวงสังเวยแล้วก็อ่านโอมนะโมแปดบท (นะโมการอัฏฐกะ ) แล้วเชิญชุมนุมเทวดาด้วยบทสัคเค กาเม จะรูเป เสร็จแล้ว พราหมณ์ก็เริ่มเป่าสังข์และไกวบัณเฑาะว์ พอสิ้นเสียงสังข์ พระครูศิวาจารย์อ่านโองการ พระมหาราชครูอาราธนาพระปริตรสูตรต่างๆ เป็นการบรรจุพระพุทธวจนะและหัวใจพระสูตรทั้งหลายให้แทรกซึมเข้าไปในสรรพสิ่งพัสดุอันวิเศษที่ตั้งอยู่ภายในสายสิญจน์ พระศรีสมโภชแห่งวัดสุทัศน์ ฯ เริ่มสวดพระมงคลสูตรอันเป็นพระชัยมงคลคาถาตามประเพณี
ในการสร้างพระพิมพ์ในครั้งนี้ นายสิงห์ อินทเวช ผู้มีวัตรปฏิบัติเช่นชีปะขาว อายุ ๘๐ ปีเศษ ได้อุตสาหะพยุงสังขารอันชราเข้ามาร่วมบริกรรมสร้างพระพิมพ์อยู่ด้วย โดยห่างจากหัตถบาสแห่งพิธีกรรมของพระภิกษุ แล้วนั่งสมาธิบริกรรมคาถาและร่ายเวทวิษณุมนต์เพื่อยังความสำเร็จและความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้น
ครั้นได้ฤกษ์ เวลา ๑๗.๓๐ นาฬิกา นายพลจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ก็นิมนต์พระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษลงมาจากอาสนสงฆ์เพื่อนั่งบริกรรมปลุกเสก พระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาและพระอภิธรรม ต่างนั่งบริกรรมล้อมรอบเครื่องมงคลพิธี เว้นแต่พระเทพเวทีกับพระศรีสมโภช มิได้เข้าร่วมบริกรรม เนื่องจากท่านชำนาญโดยเฉพาะทางคันถธุระ จึงนั่งห่างจากหัตถบาสที่กระทำพิธีนั้นและสำรวมจิตเพ่งดูการนั่งปรกของพระคณาจารย์เหล่านั้นโดยดุษณียภาพ
การนั่งบริกรรมปลุกเสกเป็นคณะปรกในพิธีกรรมครั้งนี้ มีกำหนด ๔๐ นาที พระคณาจารย์ทุกรูปอยู่ในลักษณะอันสงบหลับตานั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นและเริ่มทำการส่งกระแสจิตมุ่งไปยังสรรพพัสดุอันวิเศษที่นำเข้ามาในมณฑลพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน ได้มีการห้ามปรามกันไว้ว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่อยู่ในมณฑลพิธีจะกระทำให้บังเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมิได้
มีการกำหนดว่าเมื่อไรได้ยินเสียงกังสดาล เมื่อนั้นเป็นสัญญาณว่าครบกำหนดฤกษ์บรรจุมโนมัยอิทธิเข้าสู่สรรพพัสดุวิเศษที่นำมาในมณฑลพิธีกรรมนั้นแล้ว
ภายในมณฑลพิธีเงียบกริบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ได้ยินเสียงลมพัดต้องใบโพธิ์ข้างโบสถ์อยู่หวิวๆ
วันนั้นเป็นวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ( วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๕ )
ภายหลัง เมื่อพิมพ์พระสมเด็จเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ มีพระอาจารย์ร่วมปลุกเสก ณ พระอุโบสถวัดอินทร์ ดังนี้
หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ,หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว,หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว กาญจนบุรี,หลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้ นนทบุรี,หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือหลวงพ่อฮะ วัดดอนไก่ดี สมุทรสาคร,พระปลัดตังกวย วัดประดู่ฉิมพลี กทม,หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก,หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ,หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม นครปฐม,หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพังและหลวงปู่นาค วัดระฆัง
CREDIT จาก อินเตอร์เน็ต กูเกิ้ล
สมเด็จเผ่า ปีพ.ศ.๒๔๙๕ ประวัติการสร้างที่แก้คำผิดแล้วเรียบเรียงใหม่แล้วเรียบร้อยครับ
พระสมเด็จเผ่าพิมพ์อกร่องหูบายศรี วัดอินทรวิหาร กรุงเทพ พ.ศ.๒๔๙๕
จัดเป็นพระสมเด็จทรงคุณค่าเปี่ยมพุทธานุภาพที่ประกอบด้วยมวลสารมงคลหลากหลายมากมาย โดยเฉพาะ “ชิ้นส่วนแตกหักของพระสมเด็จวัดระฆัง , สมเด็จบางขุนพรหม และ สมเด็จวัดเกศไชโย” ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้สร้างไว้ โดยนำมาบดผสมผสานอยู่กับมวลสารมงคลอื่นๆเป็นจำนวนมาก รวมทั้งพระคณาจารย์ยุคเก่าที่ในปัจจุบันพระเครื่องของท่านซึ่งได้จัดสร้างไว้นั้น มีมูลค่าเรือนแสน เรือนล้าน ก็ยังมาร่วมปลุกเสกให้ในพิธีนี้อีกด้วย
พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ (อธิบดีกรมตำรวจสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม) ในฐานะเป็นประธานจัดงานนมัสการประจำปีของหลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.เนื่อง อาขุบุตร เป็นหัวหน้าดำเนินการสร้างพระพิมพ์สมเด็จฯ จำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ (ประกอบด้วย ๔ พิมพ์หลัก โดยมีพิมพ์อกร่องหูบายศรี เป็นพิมพ์นิยมสูงสุด นอกนั้นก็เป็นพิมพ์ใหญ่,พิมพ์เจดีย์และพิมพ์สามเหลี่ยม) เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้เช่าบูชา
วัตถุประสงค์เหตุในการจัดสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้เพื่อสืบต่อเกียรติคุณแห่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เพื่อบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถ เพื่อเฉลิมศรัทธาของประชาชนที่เป็นพุทธมามกะ จะได้นำเอาไปเคารพบูชาและสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา นอกจากนี้พลตำรวจเอกเผ่าบ้านเดิมของท่านก็อยู่หลังวัดอินทรวิหารด้วย
สมเด็จเผ่านี้ สร้างโดยพระครูสังฆ์ (ต่อมาดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอินทรสมาจาร) เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร รูปที่ ๓ ต่อจากพระครูธรรมานุกูล (หลวงปู่ภู จันทเกสโร) ศิษย์คู่บุญบารมีของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ผู้มีอายุยืนถึง ๑๐๓ ปี
พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีตำรวจในสมัยนั้น เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
พระครูสังฆ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ท่านพระครูสังฆ์ได้นำมวลสารที่เหลือจากการสร้างพระในปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ นั่นคือ “พระสมเด็จพระครูสังฆ์ วัดอินทร์ ๒๔๘๕” มาเป็นส่วนผสมในครั้งนี้ด้วย
ตัวท่านเองประวัติของท่านแปลกมากตรงที่เป็นพระที่มาที่วัดแล้วมาหาหลวงปู่ภูและ บอกหลวงปู่ภูว่า สมเด็จโตให้ฉันมาสร้างพระ ซึ่งหลวงปู่ภูท่านก็เห็นชอบด้วย จึงให้ดำเนินการสร้างพระชุดแรกขึ้นมาโดยเอาแม่พิมพ์เก่าของหลวงปู่ภูมาสร้าง ดังนั้น ”พระสมเด็จเผ่า ๒๔๙๕” รุ่นนี้ ใช้เชื้อพระเก่ามวลสารดีๆมากมายและเป็นพิธีใหญ่ระดับประเทศ
ประวัติ พระสมเด็จนายพลเผ่า( สมเด็จวัดอินทร์ ปี ๒๔๙๕ )
โดย ท่านอาจารย์ ฉันทิชัย กระแสสินธุ์
วันนั้นเป็น วันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ นาฬิกา
ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากนายพันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ว่าให้เตรียมกระดาษดินสอไปที่พระอุโบสถวัดอินทรวิหาร เวลา ๑๖.๐๐ น. ครั้นข้าพเจ้าย้อนถามไปว่า เกี่ยวด้วยเรื่องอะไร พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ก็บอกปัดว่าไปทราบเอาที่โบสถ์วัดอินทร์ก็แล้วกัน โดยมิทันที่ข้าพเจ้าจะซักไซ้อย่างไรต่อไปอีก พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ได้วางโทรศัพท์เสียเป็นการตัดบท
ข้าพเจ้าเคยรับทราบจากนายพลตำรวจจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ว่าจะมีการสร้างพระพิมพ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) ขึ้น แต่ยังไม่กำหนดวันแน่นอน จึงเดาเอาว่าเห็นจะไม่ผิดไปจากเรื่องที่เคยทราบนั้น
พอถึงเวลา ๑๖.๐๐ น. ข้าพเจ้าก็ถึงวัดอินทร์ตามที่พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา โทรศัพท์แจ้งไปโดยอาศัยรถยนต์ของหม่อมเจ้าปรีชา กัลยาณวงศ์ เป็นยานพาหนะ
ที่หน้าโบสถ์ ข้าพเจ้าได้พบกับพันตำรวจตรีเลื่อน บุณยจิตติ สหายรักของข้าพเจ้าผู้เคยร่วมงานกันมา พร้อมกับคุณชิต วิภาษธวัช ผู้สะพายกล้องอย่างดีสำหรับเก็บภาพในงานมงคลพิธี
พอเข้าไปในพระอุโบสถ ข้าพเจ้าถึงกับตะลึงงันด้วยความปีติ เพราะเบื้องหน้าพระประธาน เต็มไปด้วยสรรพวัตถุวิเศษที่นำมาเข้าในพิธีมณฑล ภายในพระอุโบสถนั้น ท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ นั่งเป็นประธานอยู่เบื้องขวา ท่านพลจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ก็อยู่ในพระอุโบสถด้วย…
เมื่อได้กราบพระประธานแล้ว ข้าพเจ้าได้เข้าไปทำความเคารพ ท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งท่านได้กรุณาบัญชาว่า “ จดเหตุการณ์ในเรื่องนี้อย่างละเอียด สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ตำรวจ”
ขณะนั้นเป็นเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์กับบรรดาผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในงานมหามงคลพิธี มาพร้อมกันในพระอุโบสถ อาทิ ข้าราชการตำรวจและคหบดีผู้ที่ได้รับเชิญมาเป็นกรรมการด้วยตลอดจนพระมหาราชครูพราหมณ์มุนีศรีวิสุทธิคุณกับพระครูพราหมณ์ศิวาจารย์ พราหมณ์พิธีผู้อ่านโองการเชิญชุมนุมเทพยดาตลอดจนเทพมนต์ ร่วมในพิธีสร้างพระพิมพ์เพื่อความสมบูรณ์โดยศิวศาสตร์ ตามแบบอย่างมหายัญพิธีแต่เบื้องบรรพ์ร่วมอยู่ด้วย
ข้าพเจ้านั่งอยู่ข้างพลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร และพันตำรวจตรี เลื่อน บุณยจิตติ ข้าพเจ้าได้กระซิบถาม พลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร ถึงเรื่องต่างๆที่ประสงค์ทราบให้ชัดเจน จึงได้ทราบว่า บรรดาข้าวของวิเศษต่างๆที่นำมาเป็นพิธีกรรมทั้งหมดนี้ พลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร กับพันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพาเป็นผู้จัดมาโดยบัญชาของท่านพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ครบถูกต้องตามตำราทุกประการ ส่วนด้านขวาพระอุโบสถ พระสงฆ์ราชาคณะและพระครูตลอดจนพระอาจารย์สำนักต่าง ๆ ที่ได้รับนิมนต์ให้มาเข้าร่วมในการสร้างพระพิมพ์ ซึ่งมีรายชื่อดังนี้
พระเทพเวที วัดสามพระยา พระศรีสมโพธิ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม พระภาวนาวิกรม วัดระฆัง,พระภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำ,พระอาจารย์ แฉ่ง วัดบางพัง,พระครูสรภัญญประกาศ วัดโปรดเกศ ฯลฯ รวม ๑๔ รูป โดยที่ในงานนี้ได้นิมนต์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม มาเป็นประธานด้วย แต่บังเอิญท่านอาพาธโดยกะทันหันมาไม่ได้ จึงให้พระภิกษุผู้ทรงวิทยาคุณรูปอื่นมาแทน
พระภิกษุทุกรูปที่ได้รับนิมนต์มาในมหามงคลพิธีนี้ล้วนแต่ทรงไว้ซึ่งศีลาจารวัตรอันงดงามสมเป็นสมณะศิษย์พระตถาคต ได้นั่งรอเวลาอยู่อย่างสงบ เบื้องหน้าพระประธาน แบบพระมารวิชัยภายใต้เศวตรฉัตร ๙ ชั้นนั้น ภายในวงสายสิญจน์มีสรรพวัตถุวิเศษที่จะเข้าในพิธีกรรมสร้างพระพิมพ์ มีดังนี้
ผงเกสรดอกไม้,ผงเกสรบุนนาค,ผงเกสรบัวหลวง ,ผงเกสรสารภี,ผงเกสรพิกุล ,
ผงซิงค์อ๊อกไซด์,ปูนขาว,กระดาษฟาง,น้ำมันมะพร้าว, ดินสอพอง,น้ำมันก๊าดและน้ำอ้อย เครื่องตำมี ครก,สากหินและแผ่นกระเบื้องเคลือบสำหรับกดแม่พิมพ์ มีดทองเหลืองสำหรับตัดพระพิมพ์ ๘๔,๐๐๐ องค์ และถาดสำหรับรองพระพิมพ์เพื่อผึ่งในร่ม (ไม่ใช่ผึ่งแดด )ให้แห้ง บนพานแว่นฟ้ามีผงวิเศษดั้งเดิมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ที่นำมาจากเศษพระพิมพ์สมเด็จที่ชำรุดบดให้เป็นผงผสมให้เข้ากันแล้วใส่ ผอบ รออยู่ มีผงตะไบพระกริ่งวัดสุทัศน์ ตอนหล่อพระกริ่ง เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕ มีผงสมเด็จที่มอบให้แก่หลวงปู่ภูวัดอินทรวิหารรักษาไว้ก็ได้นำมาใส่ ผอบ เพื่อคลุกคลีเข้าด้วยกัน และยังมีผงของหลวงพ่อเดิม จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งนายพลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร นำมารวมเข้าไว้อีกด้วย
นอกจากนี้บรรดาพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่ได้รับนิมนต์เข้าร่วมบริกรรมปลุกเสกยังได้ให้ผงวิเศษจากสำนักของท่าน เพื่อรวมเข้ากับการสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้อีกด้วย จึงนับว่าการสร้างพระพิมพ์สมเด็จครั้งนี้ พรั่งพร้อมไปด้วยผงวิเศษครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักการสร้างเช่นปางบรรพ์ทุกประการ
เครื่องบูชาพระพุทธรูปและเครื่องบวงสรวงสังเวยนั้นทางคณะกรรมการจัดงานได้จัดเครื่องทองน้อย ตั้งเทียนชัยแปดทิศ ดูอร่ามตาและศักดิ์สิทธิ์เป็นหนักหนา เบื้องซ้ายตั้งบายศรีเจ็ดชั้นข้างละคู่ มีรูปถ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ขนาดใหญ่ตั้งไว้ด้วย และมีธรรมาสน์มุกตั้งเป็นสำคัญในการอัญเชิญให้พระวิญญาณสมเด็จฯ มาเป็นประธาน
พอได้ศุภฤกษ์มงคล ๑๖ นาฬิกา ๒๐ นาที พระมหาราชครูพราหมณ์มุนีศรีวิสุทธิคุณ แต่งกายด้วยเครื่องขาวสวมครุยทอง เข้ากราบพระพุทธรูปและกราบพระภิกษุผู้เป็นประธาน หลังจากนั้นก็เริ่มกล่าวคำบวงสรวงสังเวยปรารภเหตุในการจัดสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้
เสร็จการบวงสรวงสังเวยแล้วก็อ่านโอมนะโมแปดบท (นะโมการอัฏฐกะ ) แล้วเชิญชุมนุมเทวดาด้วยบทสัคเค กาเม จะรูเป เสร็จแล้ว พราหมณ์ก็เริ่มเป่าสังข์และไกวบัณเฑาะว์ พอสิ้นเสียงสังข์ พระครูศิวาจารย์อ่านโองการ พระมหาราชครูอาราธนาพระปริตรสูตรต่างๆ เป็นการบรรจุพระพุทธวจนะและหัวใจพระสูตรทั้งหลายให้แทรกซึมเข้าไปในสรรพสิ่งพัสดุอันวิเศษที่ตั้งอยู่ภายในสายสิญจน์ พระศรีสมโภชแห่งวัดสุทัศน์ ฯ เริ่มสวดพระมงคลสูตรอันเป็นพระชัยมงคลคาถาตามประเพณี
ในการสร้างพระพิมพ์ในครั้งนี้ นายสิงห์ อินทเวช ผู้มีวัตรปฏิบัติเช่นชีปะขาว อายุ ๘๐ ปีเศษ ได้อุตสาหะพยุงสังขารอันชราเข้ามาร่วมบริกรรมสร้างพระพิมพ์อยู่ด้วย โดยห่างจากหัตถบาสแห่งพิธีกรรมของพระภิกษุ แล้วนั่งสมาธิบริกรรมคาถาและร่ายเวทวิษณุมนต์เพื่อยังความสำเร็จและความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้น
ครั้นได้ฤกษ์ เวลา ๑๗.๓๐ นาฬิกา นายพลจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ก็นิมนต์พระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษลงมาจากอาสนสงฆ์เพื่อนั่งบริกรรมปลุกเสก พระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาและพระอภิธรรม ต่างนั่งบริกรรมล้อมรอบเครื่องมงคลพิธี เว้นแต่พระเทพเวทีกับพระศรีสมโภช มิได้เข้าร่วมบริกรรม เนื่องจากท่านชำนาญโดยเฉพาะทางคันถธุระ จึงนั่งห่างจากหัตถบาสที่กระทำพิธีนั้นและสำรวมจิตเพ่งดูการนั่งปรกของพระคณาจารย์เหล่านั้นโดยดุษณียภาพ
การนั่งบริกรรมปลุกเสกเป็นคณะปรกในพิธีกรรมครั้งนี้ มีกำหนด ๔๐ นาที พระคณาจารย์ทุกรูปอยู่ในลักษณะอันสงบหลับตานั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นและเริ่มทำการส่งกระแสจิตมุ่งไปยังสรรพพัสดุอันวิเศษที่นำเข้ามาในมณฑลพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน ได้มีการห้ามปรามกันไว้ว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่อยู่ในมณฑลพิธีจะกระทำให้บังเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมิได้
มีการกำหนดว่าเมื่อไรได้ยินเสียงกังสดาล เมื่อนั้นเป็นสัญญาณว่าครบกำหนดฤกษ์บรรจุมโนมัยอิทธิเข้าสู่สรรพพัสดุวิเศษที่นำมาในมณฑลพิธีกรรมนั้นแล้ว
ภายในมณฑลพิธีเงียบกริบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ได้ยินเสียงลมพัดต้องใบโพธิ์ข้างโบสถ์อยู่หวิวๆ
วันนั้นเป็นวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ( วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๕ )
ภายหลัง เมื่อพิมพ์พระสมเด็จเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ มีพระอาจารย์ร่วมปลุกเสก ณ พระอุโบสถวัดอินทร์ ดังนี้
หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ,หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว,หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว กาญจนบุรี,หลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้ นนทบุรี,หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือหลวงพ่อฮะ วัดดอนไก่ดี สมุทรสาคร,พระปลัดตังกวย วัดประดู่ฉิมพลี กทม,หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก,หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ,หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม นครปฐม,หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพังและหลวงปู่นาค วัดระฆัง
CREDIT จาก อินเตอร์เน็ต กูเกิ้ล