พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๑๒. ธรรมิกสูตร
พุทธพจน์
"ปญฺจินฺทฺริยา มุทู สทฺธา สติ จ วิริยํ สมโถ จ วิปสฺสนา"
"อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา สติ วิริยะ สมถะ และ วิปัสสนา"
-->
ลิ้งค์ <--
อินทรีย์ 5 ที่เราคุ้นหู ประกอบไปด้วยศัพท์ภาษาไทยคือ
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ซึ่งในพระสูตรที่ยกมานี้ ท่านจงใจใช้คำว่า
"อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา สติ วิริยะ สมถะ และ วิปัสสนา"
เอาล่ะครับทีนี้...
สมถะ กลายมาเป็น 1 ในอินทรีย์ 5 ซึ่งเป็นธรรมะแห่งการบรรลุธรรมไปซะแล้ว
ตามไปดู....
พาล วรรค
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อที่ [275]
พุทธพจน์
[๒๗๕] "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมถะ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต จิตที่อบรมแล้ว
ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
วิปัสสนา ที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา ปัญญาที่อบรมแล้ว
ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละอวิชชาได้ ฯ
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้
จึงชื่อว่าปัญญาวิมุติ" ฯ
-->
ลิ้งค์ <--
พออ่านพระสูตรนี้จบ สมถะ และ วิปัสสนา ต่างเกื้อหนุนกันและกัน
ฝ่ายหนึ่งทำให้ โลภะ โทสะ โมหะ สงบลง คือสมถะ
อีกฝ่ายหนึ่งทำให้รู้แจ้งชัด ตั้งแต่ผลถึงแดนเกิด ของ โลภะ โทสะ โมหะ นั้น
ฝ่ายหนึ่งปลอดจากอกุศลธรรม จิตตั้งมั่น อ่อน ควรแก่การงาน
ฝ่ายหนึ่งนำจิตที่ควรแก่การงานไปใช้งานในการแสวงหาความจริงของกายใจ
ถ้าเป็นไปได้ จึงควรมีความเพียรทั้งสองประการ
ไม่ควรละเลยอันใด อันหนึ่ง เพราะเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้คู่กันครับ.
สมถะ และ วิปัสสนา
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๑๒. ธรรมิกสูตร
พุทธพจน์
"ปญฺจินฺทฺริยา มุทู สทฺธา สติ จ วิริยํ สมโถ จ วิปสฺสนา"
"อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา สติ วิริยะ สมถะ และ วิปัสสนา"
--> ลิ้งค์ <--
อินทรีย์ 5 ที่เราคุ้นหู ประกอบไปด้วยศัพท์ภาษาไทยคือ
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ซึ่งในพระสูตรที่ยกมานี้ ท่านจงใจใช้คำว่า
"อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา สติ วิริยะ สมถะ และ วิปัสสนา"
เอาล่ะครับทีนี้...
สมถะ กลายมาเป็น 1 ในอินทรีย์ 5 ซึ่งเป็นธรรมะแห่งการบรรลุธรรมไปซะแล้ว
ตามไปดู....
พาล วรรค
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อที่ [275]
พุทธพจน์
[๒๗๕] "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมถะ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต จิตที่อบรมแล้ว
ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
วิปัสสนา ที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา ปัญญาที่อบรมแล้ว
ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละอวิชชาได้ ฯ
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้
จึงชื่อว่าปัญญาวิมุติ" ฯ
--> ลิ้งค์ <--
พออ่านพระสูตรนี้จบ สมถะ และ วิปัสสนา ต่างเกื้อหนุนกันและกัน
ฝ่ายหนึ่งทำให้ โลภะ โทสะ โมหะ สงบลง คือสมถะ
อีกฝ่ายหนึ่งทำให้รู้แจ้งชัด ตั้งแต่ผลถึงแดนเกิด ของ โลภะ โทสะ โมหะ นั้น
ฝ่ายหนึ่งปลอดจากอกุศลธรรม จิตตั้งมั่น อ่อน ควรแก่การงาน
ฝ่ายหนึ่งนำจิตที่ควรแก่การงานไปใช้งานในการแสวงหาความจริงของกายใจ
ถ้าเป็นไปได้ จึงควรมีความเพียรทั้งสองประการ
ไม่ควรละเลยอันใด อันหนึ่ง เพราะเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้คู่กันครับ.