สวัสดีค่ะ ชื่อเจน นะคะ อ่านพันทิปมานานมากตั้งแต่สมัยยุคที่ยังฟังเพลงรุ่น หินเหล็กไฟ,ปาน ธนพร
นานไปไหมเนี่ย เด็กรุ่นใหม่จะรู้จักหรือเปล่า? ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้เข้ามาแชร์ แบ่งปันประสบการณ์เรื่องของตัวเองในพันทิป ก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ว่าจะเล่ายังไง? จะเขียนถูกมั้ย? เป็นคนกลัวดราม่าค่ะ(555)
เรื่องที่อยากจะมาแบ่งปันนั้นเป็นเรื่องราวของโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเองเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแบบที่ไม่เคยคิดไม่เคยฝัน และไม่น่าจะเกิดขึ้นกับดิฉันได้เลย มันคือโรค
“ริดสีดวงทวารหนัก”ค่ะ เพราะส่วนตัวแล้ว ดิฉันเป็นคนที่แข็งแรงมาก ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กินอาหารครบ 3 มื้อ ผักผลไม้ไม่เคยขาด เรียกได้ว่ากินอิ่ม นอนหลับ ออกกำลังกาย พักผ่อนเป็นเวลา ชีวิตแฮปปี้เลยหล่ะค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(มีตัวเล็กแล้ว2คนค่ะ น่ารักเหมือนแม่ด้วยแหละ อิอิ )
“แต่แล้วโรคภัยที่คิดว่าน่าจะห่างไกลจากชีวิตดิฉันมากๆ ....ก็ได้เข้ามาในชีวิต”
เรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตอนนั้นที่จำได้ ดิฉันเข้าห้องน้ำ ไปทำธุระส่วนตัว (ขับถ่าย) ตามปกติ....แต่วันนั้นไม่เหมือนทุกวัน……
เพราะดิฉันสังเกตเห็นว่า
มันมีเลือด!!!! ซึ่งติดมากับกระดาษชำระ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ประจำเดือนอย่างแน่นอน
ใจก็ได้แต่กังวล ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ร่างกายไม่เคยป่วย หรือมีปัญหาเลยสักนิด..... เลยตัดสินใจไปปรึกษาหมอ
คุณหมอได้ทำการส่องกล้องตรวจวินิจฉัยจนได้พบว่า อาการผิดปกติในร่างกายของดิฉัน เป็นอาการของ ….
ริดสีดวง!!!! ......ริดสีดวงอะไร??? แบบไหน? มันก็ต้องมีตุ่มๆหรือ ก้อนอะไรขึ้นที่ก้นสิ อาหารการกินก็ปกติ ผักนี่เรียกได้ว่าเป็นกะละมัง ขับถ่ายก็ปกติมาตรงเวลาเป๊ะ!!! เป็นไปไม่ได้นะคะคุณหมอ!!!(คิดในใจ) คุณหมอแนะนำให้ผ่าออก แต่ตอนนั้นมันมีแต่ข้อสงสัย,กังวล,แปลกใจ และอารมณ์แบบที่ไม่เชื่ออยากจะเชื่อคุณหมอ วนเวียนอยู่ในหัวตลอด คำแนะนำของคุณหมอที่ให้คำแนะนำกับดิฉันในตอนนั้น บอกตรงๆว่าไม่ได้ฟังเลย และไม่ได้เก็บอยู่ในหัวเลย จำได้เพียงแค่ว่า ริดสีดวงที่ดิฉันเป็น คือริดสีดวงแบบที่เป็นอยู่ข้างใน วันนั้นดิฉันเลยยังตัดสินใจที่จะยังไม่ผ่าออก และขอกลับบ้านไปก่อน
พอดิฉันเริ่มตั้งหลักได้ ดิฉันก็คิดแต่เพียงว่า เจ้าริดสีดวงที่เกิดขึ้นกับตัวเองเนี่ย เดี๋ยวมันก็คงจะหายไปเอง ช่วงนั้นเริ่มมีอาการเจ็บๆบริเวณทวารหนักอยู่บ้าง ก็อาศัยรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาอาการไปเรื่อยๆ ชีวิตหลังจากนี้ ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาเหน็บ มาทุกขนาน กินไปเหน็บกันไป ใจก็ได้แต่คิดว่ารักษาอาการเองอย่างนี้ไปเรื่อยๆก่อน เราสุขภาพดีอยู่แล้วยังไงซักวันมันก็ต้องหายไปเองได้แหละ
เวลาผ่านไปอาการเจ็บที่บริเวณทวารก็เดี๋ยวหาย เดี๋ยวเป็น ทรมานนนนน ก็อยู่เจ็บๆแสบๆ นับวันมันก็ออกฤทธิ์มากขึ้นๆบางวันต้องนั่งรถไปทำธุระต่างจังหวัด เข้ามา กทม. ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ชั่วโมง เป็นรถทัวร์ กทม-เชียงใหม่
อารมณ์ในช่วง ขึ้นเขา ลงเขา ทางลูกรัง แม้กระทั่งทางเรียบๆ รู้สึกถึงความระบม แทบทนไม่ไหว ปวดร้าว ทรมานมาก !!!
แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจผ่าออกนะคะ ยังดื้ออยู่ค่ะ (แปลกใจตัวเองในตอนนั้นเหมือนกันค่ะ???)
ความพีคมันอยู่ที่ช่วง เดือนมีนาคม
กลางดึกคืนหนึ่งเกิดความรู้สึกปวดและทรมานมากกว่าปกติ ปวดแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง เรียกได้ว่าทรมานที่สุดในชีวิตตั้งแต่จำความได้เลยแหละ คลอดลูกยังไม่เจ็บเท่านี้ ยิ่งกว่าปวดคลอดลูกอีกค่ะบอกเลยยยย วินาทีนั้นคือ อัดยาแก้ปวดให้พอรู้สึกดีขึ้นหน่อย พร้อมขับรถจากบ้านมาโรงพยาบาลด่วนจี๋เลย ทางด่วนแทบลุกเป็นไฟ เอาเป็นว่าเสมือนบ้านกับโรงพยาบาลห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร ออกมาทั้งอาการที่เจ็บทรมานแบบนั้นเลย ขับเองด้วย เจอทางโค้งเจอตัวหนอนที ซีดถึงทรวงเลยทีเดียว มาถึงนอนเปล ทันที ที่โรงพยาลอึ้งกันเป็นแถว คนไข้สายโหด!!!ขับรถมาส่งตัวเองจนมาถึงโรงพยาบาลได้ (ตรงนี้ไม่ขอแนะนำให้ทำตามนะคะเพราะอาจเกิดอุบัติเหตเป็นอันตรายทั้งกับคนอื่นและตัวเองได้ แต่ตอนนั้นมันไม่คิดอะไรแล้วนะคะ) ตอนนั้นเป็นช่วงกลางคืนด้วย เจอเพียงแต่คุณหมอเข้าเวร แต่ก็โล่งใจอย่างน้อยก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว แม้คุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้จะไม่อยู่ก็ตาม ก็นอนรอให้เช้าเพื่อจะได้ผ่า......พอเช้าปุ๊ป พยาบาลก็จัดแจงคิวและแจ้งคุณหมอท่านที่เราจะผ่าด้วย (ดิฉันก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใครก็มารู้ทีหลังจากเหตการณ์นั้น ว่าคุณหมอที่มาดูแลเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง ประสบการณ์ด้านนี้เรียกว่าแน่นมากเลยล่ะค่ะ)
คุณหมอก็คุยรายละเอียด เรื่องการผ่า และการเตรียมตัวก่อนผ่า ซึ่งในแบบของดิฉันจะใช้วิธีการรักษาด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่เรียกว่า HAL – RAR ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีนี้ คือ ไม่เจ็บมาก มีผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว สามารถกลับไปทำงานได้ปกติ ซึ่งอารมณ์ของเราในตอนนั้นคืออยากหาย อยากเอาออก ความเจ็บความทรมานในตอนนั้นก็ยังคงอยู่ แต่เราไม่ได้โฟกัสตรงนั้นแล้ว สนใจแต่เพียงอยากเอามันออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุด แค่นั้น!!
คุณหมอบอกให้เราเตรียมตัว 1 วันก่อนผ่า เพื่อจะได้เคลียร์อุจจาระที่อยู่ภายใน ซึ่งจะช่วยให้ง่ายต่อการผ่าตัด และหลังผ่าตัดด้วย เพื่อที่จะได้ไม่ติดเชื้อ โดยคุณหมอให้ยาแก้ปวด ให้น้ำเกลือ และต้องงดอาหาร แต่ยังคงดื่มน้ำผสมยาระบายเพื่อให้ลำไส้สะอาด ไม่มีอุจจาระค้าง (เยอะมาก แต่ดื่มได้แค่ 2 ลิตรกว่าก็ไม่ไหวแล้ว) โดยก่อนผ่าตัด ก็จะมีพยาบาลมาสวนทวารเพื่อดูของที่ตกค้างอยู่ไหม ซึ่งจะต้องสวนออกมาแล้วใส ไม่มีอะไรติดออกมาเลยถึงจะสามารถผ่าตัดได้
ข้อดี ของเราคือ เราไม่กลัวการผ่าตัด (เคยผ่านการผ่าคลอดมาแล้ว) กลัวอย่างเดียวคือกลัวเจ็บ เจ็บในที่นี้คือเจ็บหลังจากผ่า ส่วนตัวดิฉันไม่ค่อยชอบอารมณ์ตอนนั้นซักเท่าไหร่
พอถึงช่วงผ่าตัดก็จะมีการบล็อคหลัง ในช่วงนี้ เราจะเข้าผ่าตัดประมาณ 2 ชั่วโมง พักห้องสังเกตุการณ์อีก 2 ชั่วโมง รวม4ชั่วโมง และเนื่องจากบล๊อคหลังจึงต้องนอนต่ออีก 12 ชั่วโมง สรุปผ่าตัดในครั้งนี้ ดิฉันได้พักผ่อนยาว รวมๆแล้วมากกว่า 12 ชั่วโมง เพราะในช่วงที่ผ่าตัดนั้นเป็นช่วงเช้า พักผ่อนต่อเนื่องถึงตอนกลางคืน ไปสู่เช้าอีกวัน
เช้าถัดมา หลังจากดิฉันตื่นได้สติ สิ่งแรกเลยที่รู้สึกคือ “หิว” ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดอะไรเลยหลังผ่าตัด แปลกใจมากๆเลยค่ะ เหมือนไม่ได้ผ่านการผ่าตัดอะไรมาเลย เช้าวันนั้นดิฉันถามพยาบาลก่อนเลยค่ะ ว่ากินอะไรได้ไหม พยาบาลบอกกินได้แต่ต้องเป็นอาหารเหลวเท่านั้น ซึ่งเฉพาะมื้อเช้ากับมื้อเย็นเท่านั้น พร้อมกับให้ยาผ่านน้ำเกลือเพื่อฆ่าเชื้อ ป้องกันอาการอักเสบและปวด หลังจากผ่าตัด รวมทั้งมีการแช่ก้นให้กับดิฉันด้วย (แช่น้ำอุ่นให้ผ่อนคลาย สบายก้น)
ในช่วงนั้นไม่มีอาการปวดแผลแต่อย่างใดเลย แต่กลัวอย่างเดียวคือกลัวเจ็บนี้แหละ ซึ่งมันยังคงฝังใจเราอยู่ มันเลยทำให้ดิฉันไม่กล้าถ่ายออกมา(ยังแหยงอยู่ๆ) คุณหมอก็บอกว่า ต้องขับถ่ายออกมานะ จะได้เห็น และจะได้รู้ผล ไม่งั้นก็กลับบ้านไม่ได้ ....ดิฉันก็เลยจำเป็นต้องพยายามถ่าย ออกมาเพราะอยากกลับบ้านแล้ว ความรู้สึกครั้งแรกของการขับถ่ายหลังจากผ่าตัดคือ............
มันคล่องมาก!!! ไม่น่าเชื่อเลย ที่สำคัญนะ ความเจ็บไม่มีเลย!!! เหมือนเราไม่เคยเป็นริดสีดวง
และดูเหมือน(อุจจาระ)ที่เราถ่ายออกมาจะมีก้อนเล็กลงด้วย พอสอบถามกับพยาบาลก็ได้คำตอบว่า ก้อนที่ออกมาก็มีขนาดปกตินี่แหละ แต่ที่เรารู้สึกว่าเขามีขนาดเล็กลง ก็เพราะว่าหลังผ่าตัด บริเวณนั้น(รูทวาร)จะมีความตึงขึ้นเท่านั้นเองซึ่งก็คือเรื่องปกติ (แต่เราก็รู้สึกว่าน้องๆเขาเล็กลงจริงๆนะ อิๆ)
หลังจากนั้นก็สามารถกลับบ้านได้ พร้อมกับยาที่ต้องรับประทานอีก 1-2 สัปดาห์ แต่ก็ต้องรักษาวินัยในขับถ่ายให้ตรงเวลา กินอาหารอ่อนๆในช่วงหลังผ่าตัด 3-4 วัน หลังจากนั้นก็ทานปกติได้ โดยต้องมาตรวจหลังผ่าตัดอีก 1 อาทิตย์
หลังจากนั้นคือ ชีวิตสบายยยยยยยยยยไม่เจ็บไม่ปวด คุณหมอการันตีด้วยว่า ไม่กลับมาเป็นอีกแน่นอน
ท้ายที่สุดถึงแม้ ริดสีดวงจะเป็นเรื่องที่น่าอาย แต่หากเป็นแล้วมาหาคุณหมอเถอะค่ะ เพราะโอกาสหายขาดมันมีร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ที่สำคัญแม้เราจะทานอาหารปกติ ขับถ่ายปกติ ก็มีโอกาสที่จะเป็น”ริดสีดวงทวารหนัก”ได้เหมือนกัน เหมือนอย่างเคสนี้ของดิฉัน ที่นอกจากจะรับประทานปกติ ถ่ายตรงเวลา แถมอาหารส่วนใหญ่ก็เป็นพืช ผักผลไม้ด้วย ยังสามารถเป็นโรคนี้ได้เลย หากเมื่อรู้ว่าเป็นแล้ว อย่ารอช้าค่ะ รีบหาคุณหมอให้ไวเลยค่ะ อย่าปล่อยจนรอวันระบมและทรมานอย่างดิฉันเลยค่ะ
ทุกวันนี้ ชีวิตดี ไม่กลัว”ริดสีดวงทวารหนัก”แล้ว เพราะมันไม่กลับมาอีกแน่นอน อย่าลืมนะคะรีบรักษา หากมีอาการรีบหาคุณหมอ รักษาเร็วหายเร็ว อย่าอายเลย มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอายค่ะ
ปล.ดิฉันรู้ว่าเป็น”ริดสีดวงทวารหนัก”ตอนช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ทำการผ่ารักษาช่วงเดือนมีนาคม และแอบมีความกังวลว่าหลังผ่าตัดแล้ว จะหายทันก่อนสงกรานต์มั้ย?? พอดีดิฉันห่วงเที่ยวค่ะ555 สรุปหายก่อนสงกรานต์ เล่นน้ำ เที่ยวได้ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดยอด ต้องยกเครดิตให้ฝีมือของคุณหมอเลยล่ะค่ะ รู้งี้ผ่าไปตั้งนานแล้ว อย่างที่เขาว่ากันไว้เลยล่ะค่ะ.............รู้อะไรไม่สู้รู้งี้
“ริดสีดวงทวารหนัก” กินผัก ถ่ายเป็นเวลา อย่าคิดว่ารอด!!! (แชร์ประสบการณ์ทรมาน)
นานไปไหมเนี่ย เด็กรุ่นใหม่จะรู้จักหรือเปล่า? ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้เข้ามาแชร์ แบ่งปันประสบการณ์เรื่องของตัวเองในพันทิป ก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ว่าจะเล่ายังไง? จะเขียนถูกมั้ย? เป็นคนกลัวดราม่าค่ะ(555)
เรื่องที่อยากจะมาแบ่งปันนั้นเป็นเรื่องราวของโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเองเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแบบที่ไม่เคยคิดไม่เคยฝัน และไม่น่าจะเกิดขึ้นกับดิฉันได้เลย มันคือโรค“ริดสีดวงทวารหนัก”ค่ะ เพราะส่วนตัวแล้ว ดิฉันเป็นคนที่แข็งแรงมาก ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กินอาหารครบ 3 มื้อ ผักผลไม้ไม่เคยขาด เรียกได้ว่ากินอิ่ม นอนหลับ ออกกำลังกาย พักผ่อนเป็นเวลา ชีวิตแฮปปี้เลยหล่ะค่ะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“แต่แล้วโรคภัยที่คิดว่าน่าจะห่างไกลจากชีวิตดิฉันมากๆ ....ก็ได้เข้ามาในชีวิต”
เรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตอนนั้นที่จำได้ ดิฉันเข้าห้องน้ำ ไปทำธุระส่วนตัว (ขับถ่าย) ตามปกติ....แต่วันนั้นไม่เหมือนทุกวัน……
เพราะดิฉันสังเกตเห็นว่ามันมีเลือด!!!! ซึ่งติดมากับกระดาษชำระ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ประจำเดือนอย่างแน่นอน
ใจก็ได้แต่กังวล ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ร่างกายไม่เคยป่วย หรือมีปัญหาเลยสักนิด..... เลยตัดสินใจไปปรึกษาหมอ
คุณหมอได้ทำการส่องกล้องตรวจวินิจฉัยจนได้พบว่า อาการผิดปกติในร่างกายของดิฉัน เป็นอาการของ ….ริดสีดวง!!!! ......ริดสีดวงอะไร??? แบบไหน? มันก็ต้องมีตุ่มๆหรือ ก้อนอะไรขึ้นที่ก้นสิ อาหารการกินก็ปกติ ผักนี่เรียกได้ว่าเป็นกะละมัง ขับถ่ายก็ปกติมาตรงเวลาเป๊ะ!!! เป็นไปไม่ได้นะคะคุณหมอ!!!(คิดในใจ) คุณหมอแนะนำให้ผ่าออก แต่ตอนนั้นมันมีแต่ข้อสงสัย,กังวล,แปลกใจ และอารมณ์แบบที่ไม่เชื่ออยากจะเชื่อคุณหมอ วนเวียนอยู่ในหัวตลอด คำแนะนำของคุณหมอที่ให้คำแนะนำกับดิฉันในตอนนั้น บอกตรงๆว่าไม่ได้ฟังเลย และไม่ได้เก็บอยู่ในหัวเลย จำได้เพียงแค่ว่า ริดสีดวงที่ดิฉันเป็น คือริดสีดวงแบบที่เป็นอยู่ข้างใน วันนั้นดิฉันเลยยังตัดสินใจที่จะยังไม่ผ่าออก และขอกลับบ้านไปก่อน
พอดิฉันเริ่มตั้งหลักได้ ดิฉันก็คิดแต่เพียงว่า เจ้าริดสีดวงที่เกิดขึ้นกับตัวเองเนี่ย เดี๋ยวมันก็คงจะหายไปเอง ช่วงนั้นเริ่มมีอาการเจ็บๆบริเวณทวารหนักอยู่บ้าง ก็อาศัยรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาอาการไปเรื่อยๆ ชีวิตหลังจากนี้ ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาเหน็บ มาทุกขนาน กินไปเหน็บกันไป ใจก็ได้แต่คิดว่ารักษาอาการเองอย่างนี้ไปเรื่อยๆก่อน เราสุขภาพดีอยู่แล้วยังไงซักวันมันก็ต้องหายไปเองได้แหละ
เวลาผ่านไปอาการเจ็บที่บริเวณทวารก็เดี๋ยวหาย เดี๋ยวเป็น ทรมานนนนน ก็อยู่เจ็บๆแสบๆ นับวันมันก็ออกฤทธิ์มากขึ้นๆบางวันต้องนั่งรถไปทำธุระต่างจังหวัด เข้ามา กทม. ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ชั่วโมง เป็นรถทัวร์ กทม-เชียงใหม่
อารมณ์ในช่วง ขึ้นเขา ลงเขา ทางลูกรัง แม้กระทั่งทางเรียบๆ รู้สึกถึงความระบม แทบทนไม่ไหว ปวดร้าว ทรมานมาก !!!
แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจผ่าออกนะคะ ยังดื้ออยู่ค่ะ (แปลกใจตัวเองในตอนนั้นเหมือนกันค่ะ???)
ความพีคมันอยู่ที่ช่วง เดือนมีนาคม
กลางดึกคืนหนึ่งเกิดความรู้สึกปวดและทรมานมากกว่าปกติ ปวดแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง เรียกได้ว่าทรมานที่สุดในชีวิตตั้งแต่จำความได้เลยแหละ คลอดลูกยังไม่เจ็บเท่านี้ ยิ่งกว่าปวดคลอดลูกอีกค่ะบอกเลยยยย วินาทีนั้นคือ อัดยาแก้ปวดให้พอรู้สึกดีขึ้นหน่อย พร้อมขับรถจากบ้านมาโรงพยาบาลด่วนจี๋เลย ทางด่วนแทบลุกเป็นไฟ เอาเป็นว่าเสมือนบ้านกับโรงพยาบาลห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร ออกมาทั้งอาการที่เจ็บทรมานแบบนั้นเลย ขับเองด้วย เจอทางโค้งเจอตัวหนอนที ซีดถึงทรวงเลยทีเดียว มาถึงนอนเปล ทันที ที่โรงพยาลอึ้งกันเป็นแถว คนไข้สายโหด!!!ขับรถมาส่งตัวเองจนมาถึงโรงพยาบาลได้ (ตรงนี้ไม่ขอแนะนำให้ทำตามนะคะเพราะอาจเกิดอุบัติเหตเป็นอันตรายทั้งกับคนอื่นและตัวเองได้ แต่ตอนนั้นมันไม่คิดอะไรแล้วนะคะ) ตอนนั้นเป็นช่วงกลางคืนด้วย เจอเพียงแต่คุณหมอเข้าเวร แต่ก็โล่งใจอย่างน้อยก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว แม้คุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้จะไม่อยู่ก็ตาม ก็นอนรอให้เช้าเพื่อจะได้ผ่า......พอเช้าปุ๊ป พยาบาลก็จัดแจงคิวและแจ้งคุณหมอท่านที่เราจะผ่าด้วย (ดิฉันก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใครก็มารู้ทีหลังจากเหตการณ์นั้น ว่าคุณหมอที่มาดูแลเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง ประสบการณ์ด้านนี้เรียกว่าแน่นมากเลยล่ะค่ะ)
คุณหมอก็คุยรายละเอียด เรื่องการผ่า และการเตรียมตัวก่อนผ่า ซึ่งในแบบของดิฉันจะใช้วิธีการรักษาด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่เรียกว่า HAL – RAR ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีนี้ คือ ไม่เจ็บมาก มีผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว สามารถกลับไปทำงานได้ปกติ ซึ่งอารมณ์ของเราในตอนนั้นคืออยากหาย อยากเอาออก ความเจ็บความทรมานในตอนนั้นก็ยังคงอยู่ แต่เราไม่ได้โฟกัสตรงนั้นแล้ว สนใจแต่เพียงอยากเอามันออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุด แค่นั้น!!
คุณหมอบอกให้เราเตรียมตัว 1 วันก่อนผ่า เพื่อจะได้เคลียร์อุจจาระที่อยู่ภายใน ซึ่งจะช่วยให้ง่ายต่อการผ่าตัด และหลังผ่าตัดด้วย เพื่อที่จะได้ไม่ติดเชื้อ โดยคุณหมอให้ยาแก้ปวด ให้น้ำเกลือ และต้องงดอาหาร แต่ยังคงดื่มน้ำผสมยาระบายเพื่อให้ลำไส้สะอาด ไม่มีอุจจาระค้าง (เยอะมาก แต่ดื่มได้แค่ 2 ลิตรกว่าก็ไม่ไหวแล้ว) โดยก่อนผ่าตัด ก็จะมีพยาบาลมาสวนทวารเพื่อดูของที่ตกค้างอยู่ไหม ซึ่งจะต้องสวนออกมาแล้วใส ไม่มีอะไรติดออกมาเลยถึงจะสามารถผ่าตัดได้
ข้อดี ของเราคือ เราไม่กลัวการผ่าตัด (เคยผ่านการผ่าคลอดมาแล้ว) กลัวอย่างเดียวคือกลัวเจ็บ เจ็บในที่นี้คือเจ็บหลังจากผ่า ส่วนตัวดิฉันไม่ค่อยชอบอารมณ์ตอนนั้นซักเท่าไหร่
พอถึงช่วงผ่าตัดก็จะมีการบล็อคหลัง ในช่วงนี้ เราจะเข้าผ่าตัดประมาณ 2 ชั่วโมง พักห้องสังเกตุการณ์อีก 2 ชั่วโมง รวม4ชั่วโมง และเนื่องจากบล๊อคหลังจึงต้องนอนต่ออีก 12 ชั่วโมง สรุปผ่าตัดในครั้งนี้ ดิฉันได้พักผ่อนยาว รวมๆแล้วมากกว่า 12 ชั่วโมง เพราะในช่วงที่ผ่าตัดนั้นเป็นช่วงเช้า พักผ่อนต่อเนื่องถึงตอนกลางคืน ไปสู่เช้าอีกวัน
เช้าถัดมา หลังจากดิฉันตื่นได้สติ สิ่งแรกเลยที่รู้สึกคือ “หิว” ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดอะไรเลยหลังผ่าตัด แปลกใจมากๆเลยค่ะ เหมือนไม่ได้ผ่านการผ่าตัดอะไรมาเลย เช้าวันนั้นดิฉันถามพยาบาลก่อนเลยค่ะ ว่ากินอะไรได้ไหม พยาบาลบอกกินได้แต่ต้องเป็นอาหารเหลวเท่านั้น ซึ่งเฉพาะมื้อเช้ากับมื้อเย็นเท่านั้น พร้อมกับให้ยาผ่านน้ำเกลือเพื่อฆ่าเชื้อ ป้องกันอาการอักเสบและปวด หลังจากผ่าตัด รวมทั้งมีการแช่ก้นให้กับดิฉันด้วย (แช่น้ำอุ่นให้ผ่อนคลาย สบายก้น)
ในช่วงนั้นไม่มีอาการปวดแผลแต่อย่างใดเลย แต่กลัวอย่างเดียวคือกลัวเจ็บนี้แหละ ซึ่งมันยังคงฝังใจเราอยู่ มันเลยทำให้ดิฉันไม่กล้าถ่ายออกมา(ยังแหยงอยู่ๆ) คุณหมอก็บอกว่า ต้องขับถ่ายออกมานะ จะได้เห็น และจะได้รู้ผล ไม่งั้นก็กลับบ้านไม่ได้ ....ดิฉันก็เลยจำเป็นต้องพยายามถ่าย ออกมาเพราะอยากกลับบ้านแล้ว ความรู้สึกครั้งแรกของการขับถ่ายหลังจากผ่าตัดคือ............
มันคล่องมาก!!! ไม่น่าเชื่อเลย ที่สำคัญนะ ความเจ็บไม่มีเลย!!! เหมือนเราไม่เคยเป็นริดสีดวง
และดูเหมือน(อุจจาระ)ที่เราถ่ายออกมาจะมีก้อนเล็กลงด้วย พอสอบถามกับพยาบาลก็ได้คำตอบว่า ก้อนที่ออกมาก็มีขนาดปกตินี่แหละ แต่ที่เรารู้สึกว่าเขามีขนาดเล็กลง ก็เพราะว่าหลังผ่าตัด บริเวณนั้น(รูทวาร)จะมีความตึงขึ้นเท่านั้นเองซึ่งก็คือเรื่องปกติ (แต่เราก็รู้สึกว่าน้องๆเขาเล็กลงจริงๆนะ อิๆ)
หลังจากนั้นก็สามารถกลับบ้านได้ พร้อมกับยาที่ต้องรับประทานอีก 1-2 สัปดาห์ แต่ก็ต้องรักษาวินัยในขับถ่ายให้ตรงเวลา กินอาหารอ่อนๆในช่วงหลังผ่าตัด 3-4 วัน หลังจากนั้นก็ทานปกติได้ โดยต้องมาตรวจหลังผ่าตัดอีก 1 อาทิตย์
หลังจากนั้นคือ ชีวิตสบายยยยยยยยยยไม่เจ็บไม่ปวด คุณหมอการันตีด้วยว่า ไม่กลับมาเป็นอีกแน่นอน
ท้ายที่สุดถึงแม้ ริดสีดวงจะเป็นเรื่องที่น่าอาย แต่หากเป็นแล้วมาหาคุณหมอเถอะค่ะ เพราะโอกาสหายขาดมันมีร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ที่สำคัญแม้เราจะทานอาหารปกติ ขับถ่ายปกติ ก็มีโอกาสที่จะเป็น”ริดสีดวงทวารหนัก”ได้เหมือนกัน เหมือนอย่างเคสนี้ของดิฉัน ที่นอกจากจะรับประทานปกติ ถ่ายตรงเวลา แถมอาหารส่วนใหญ่ก็เป็นพืช ผักผลไม้ด้วย ยังสามารถเป็นโรคนี้ได้เลย หากเมื่อรู้ว่าเป็นแล้ว อย่ารอช้าค่ะ รีบหาคุณหมอให้ไวเลยค่ะ อย่าปล่อยจนรอวันระบมและทรมานอย่างดิฉันเลยค่ะ
ทุกวันนี้ ชีวิตดี ไม่กลัว”ริดสีดวงทวารหนัก”แล้ว เพราะมันไม่กลับมาอีกแน่นอน อย่าลืมนะคะรีบรักษา หากมีอาการรีบหาคุณหมอ รักษาเร็วหายเร็ว อย่าอายเลย มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอายค่ะ
ปล.ดิฉันรู้ว่าเป็น”ริดสีดวงทวารหนัก”ตอนช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ทำการผ่ารักษาช่วงเดือนมีนาคม และแอบมีความกังวลว่าหลังผ่าตัดแล้ว จะหายทันก่อนสงกรานต์มั้ย?? พอดีดิฉันห่วงเที่ยวค่ะ555 สรุปหายก่อนสงกรานต์ เล่นน้ำ เที่ยวได้ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดยอด ต้องยกเครดิตให้ฝีมือของคุณหมอเลยล่ะค่ะ รู้งี้ผ่าไปตั้งนานแล้ว อย่างที่เขาว่ากันไว้เลยล่ะค่ะ.............รู้อะไรไม่สู้รู้งี้