กระทรวงใดไม่มีระบบทำงานแบบโลกเก่าบ้าง

กระทรวง/กรม/สำนัก/กอง ใดในระบบราชการ ไม่มีสิ่งดังต่อไปนี้บ้าง



1. เล่นพรรคเล่นพวก เป็นระบบอุปถัมภ์ชัดเจน (ขี้ข้าภักดีนาย  นายตอบแทนขี้ข้า) ฝังรากลึกคู่สังคมไทยมาช้านาน  โอกาสที่จะถอนรากถอนโคนไม่มีทางเป็นไปได้ ใครมีงานอะไรดีๆ  ก็ป้อนพวกพ้องก่อน แล้วเอางานเกรดรองลงมาให้คนกลุ่มอื่น

2.  ถูกหรือผิดไม่ได้อยู่ที่การกระทำ แต่อยู่ที่เป็นพวกใคร  ระบบร้องเรียนตรวจสอบเป็นเพียงเสือกระดาษ ยิ่งคิดจะร้องเรียน  ยิ่งเท่ากับเอามือซุกหีบ หลายคนจึงเอาเวลาที่คิดจะร้องเรียนไปหาทางย้ายกรม  ยังมีประโยชน์กว่า

3.  การทำงานไม่เคยจำเป็นต้องมีหลักการหรือทฤษฎีรองรับ  ให้เออออห่อหมกตามคนสั่งเท่านั้น สิ่งสำคัญมาก คือ ต้องเห็นด้วยเท่านั้น  ห้ามแสดงความเห็นต่างโดยเด็ดขาด  ไม่เช่นนั้นจะพบกับหายนะจนต้องรีบขอย้ายไปกรม/กระทรวงอื่น

4.  บางครั้งอาจเกิดกรณีเห็นตาม แต่ตอนหลังผู้ใหญ่มารู้ว่าตัวเองสั่งการผิดพลาด  ร้อยทั้งร้อยผู้บริหารจะโยนความผิดมาให้เรา และถึงจะตอบไปว่า "ถามแล้ว  ผู้บริหารยืนยันให้ทำแบบนี้" ก็จะโดนด่ากลับว่า  ‘ทำไมไม่แย้งให้หนักแน่นแต่แรก’

5.  สไตล์การทำงานที่ถูกมีอยู่แบบเดียว คือ ความชอบส่วนตัวของผู้เป็นใหญ่  ถึงแม้จะมีเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่ดีกว่าหลายเท่า แต่ต้องเป็นอันตกไป  บอกให้เดินซ้ายก็ต้องซ้าย  ถึงแม้ว่าขวาจะถูกหรือมีประสิทธิภาพทั้งแง่คุณภาพและประหยัดเวลากว่า  แต่ถือว่าทำงานเฮงซวย

6.  ระบบตรวจงานไร้ซึ่งความวัตถุวิสัยเพราะขึ้นอยู่กับอัตวิสัยของคนตรวจ  แทบทุกครั้งต้องยอมแก้ตามคนตรวจทั้งที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องถูกผิด  เป็นแค่สไตล์ส่วนบุคคล หากเห็นต่าง หรือแม้แต่เดินไปถามดีๆ  อาจโดนเขม่นว่าเถียงได้  หลายคนจึงต้องพบกับความโง่แล้วอวดฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อของตนตรวจ  ชนิดเอามาเม้ากับเพื่อนสิบปีก็ยังไม่จบ

7. ด้วยเหตุที่ยึดตัวบุคคล  ไม่ยึดหลักการ เวลาเปลี่ยนผู้บริหารที ทุกอย่างจึงเปลี่ยนตามที  ไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นระบบ ขาดเอกภาพ ใช้งบให้หมดไปเป็นปีๆ  ก็ถือว่าทำได้ตามเกณฑ์แล้ว ประเทศชาติและประชาชนจะได้มากหรือน้อย  ก็อยู่ที่มุมมองส่วนตัว จะมาโทษกระทรวงมิได้

8. มาตรฐานมีสองชุด  ชุดหนึ่งไว้สำหรับตัวกูและพวกกู ส่วนอีกชุดเอาไว้ประเมินศัตรู เพราะฉะนั้น  แม้บินเมืองนอกบ่อยเหมือนกัน แต่กูไม่ผิด ศัตรูกูต่างหากเอาแต่เที่ยว  งานเอกสารวิชาการไม่ยอมทำ สมควรโดนขยี้

9.  ความก้าวหน้าขึ้นอยู่กับความสามารถเป็นอย่างมากที่สุดก็แค่ 30% เท่านั้น  เพราะที่เหลือคือระบบอุปถัมอันเข้มข้นหนักหน่วง  ไม่ต้องรอให้ปิดรับสมัครสอบเลื่อนขั้น  ก็เป็นที่รู้กันทั่วบางว่าใครจะได้ตำแหน่ง ยิ่งสนิทกับคนมีอำนาจ  หรือเป็นเลขาติดตามรับใช้มานาน ยิ่งแน่เป็นแช่แป้ง

10.  ประเมินผลงานอิงตามความพอใจของผู้ประเมิน แน่นอนว่าพวกพ้องมาก่อน  ตามมาด้วยคนที่ขายศักดิ์ศรี ยอมสยบแทบเท้าจะได้ได้ผลประโยชน์  และกลุ่มที่รั้งท้ายตาราง คือ คนบริสุทธิ์ ไม่มีพวกพ้อง  ทำมากทำน้อยทำดีทำชั่วก็ไม่มีผลต่อคะแนน

11.  ถึงไม่ได้เป็นศัตรูกับฝ่ายกุมอำนาจ แต่เป็นเรื่องธรรมดามากที่อยู่ๆ  จะโดนเหวี่ยงวีนด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน!!!!  และหากเป็นคนของศัตรูด้วยล่ะก็ เตรียมพบกับอคติล้านแปดได้เลย

12.  ฝ่ายกุมอำนาจผูกขาดงานของตนที่ทำมาหลายปี โดยเฉพาะงานเกรดเอที่งบเยอะ  ทำแล้วได้หน้า โดยอ้างว่าเป็นงานเฉพาะตัว มีรายละเอียดมาก  ไม่ควรให้ผู้อื่นทำ แต่ทางตรงกันข้าม  งานเกรดเอเหมือนกันแต่เป็นของคนที่ไม่ใช่พวกตัวเองจะถูกนำไปกระจายให้ใครก็ได้ทำ  บนหลักเหตุผลว่า ‘ให้คนอื่นหาประสบการณ์บ้าง’

13. คนรุ่นเบบี้บูม  หรือ คนเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  มักไม่สนใจว่าเป็นเสาร์อาทิตย์หรือปีใหม่ สั่งอะไรต้องทำเดี๋ยวนั้น  ถ้าให้ตามงานจากฝ่ายอื่น แล้วคนนั้นไม่รับสาย ติดต่อไม่ได้ หรืออะไรก็ตาม  จะถือว่าเป็นความผิดเราทันที  และจะได้รับการตราหน้าว่าเป็นพวกไม่เสียสละวันหยุด  อยากได้รับโอกาสไปต่างประเทศแต่ไม่ทุ่มเท ทำงานเฉพาะเวลาราชการ และหลายๆ  ครั้งจะเอาไปด่าประจานออกสื่อ  และบางครั้งเป็นกลุ่มไลน์ที่มีคนนอกกระทรวงอยู่ด้วย

14.  หลายคนไม่เน้นใช้อีเมล์ แต่เน้นไลน์ ไม่ว่าจะด่วนหรือไม่ด่วน  บางครั้งอาจสั่งงานหลังเราเข้านอนหรือยังไม่ตื่น  หากไม่ตอบทันทีจะโดนด่าว่าไม่มีความรับผิดชอบในไลน์กลุ่มที่ใหญ่กว่าด้วย  เป็นการประจานเพื่อสร้างดรามา และแสดงให้ผู้ใหญ่เห็นว่ากูทำงานแล้ว  แต่อีกฝ่ายผิดเอง ที่น่าสมเพช คือ  คนที่เป็นพวกเดียวกันพร้อมจะกางปีกป้องในทุกกรณี

15.  คนเก่งและหัวสมัยใหม่ที่ใช้ทุนเสร็จ มักลาออกเสีย 90% เพราะรับสภาพไม่ได้  หากไปเรียนหลายปีและต้องใช้ทุนเกินกว่า 10 ปี  ก็มักขอโอนย้ายไปเป็นอาจารย์มหาลัยรัฐกันทั้งสิ้น ถึงแม้ไม่มีบำนาญ  ไม่มีสวัสดิการให้พ่อแม่บุตรคู่สมรส แต่อิสระทางความคิดกว่า รายได้ดีกว่า  รับงานนอกได้ตลอดเวลา และไม่ต้องก้มหัวให้ระบบอันน่าขยะแขยง

16.  การด่าประจานทางไลน์ คือ การสอนงาน ไม่ถือเป็นความผิด  และไม่ใช่การกระทำที่ไร้วุฒิภาวะ  หนำซ้ำบางคนยังกางปีกป้องว่าเป็นแค่การสื่อสารที่บกพร่อง  หาใช่พฤติกรรมของคนไม่มีการศึกษา

17.  การแย่งงานคนอื่นมาทำถือเป็นเรื่องปรกติ ไม่ว่าจะในกรมเดียวกันหรือไม่ก็ตาม  บางครั้งข้ามกระทรวงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหลักการ  เพราะเมื่อเราได้งานไปเสนอผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่จะรีบนำไปถ่ายรูปทำข่าวออกสื่อเพื่อให้ตนเองมีผลงาน  และประทานผลตอบแทนมาให้เราอย่างดี โดยไม่สนใจว่างานนั้นก้าวก่าย แทรกแซง  หรือทำระบบราชการเสียหายเพียงใด

18. คนร้อยละ 85 มักไว้ใจไม่ได้  ต่อหน้าทำเป็นเห็นอกเห็นใจแบบมะพลับ แต่ลับหลังรับรองว่าตะโกทุกนาง  เห็นคนอื่นดีกว่าตนเองไม่ได้ ต้องแทงข้างหลัง ต้องใส่ร้ายป้ายสี เช่น  เมื่อก่อนได้บินบ่อย ตอนหลังมีคนเก่งกว่ามาแทน  ก็เริ่มแสดงพฤติกรรมอิจฉาริษยา แถมบางกรณีคนด่าคือคนนอกองค์กร  แต่สนิทสนมกับคนในเป็นพิเศษ  และได้รับการป้อนงานมานานหลายปีจนแสดงพฤติกรรมเป็นเจ้าของออกมา

19.  การไปจัดโครงการที่ต่างประเทศ คือ ไปเที่ยวนั่นเอง การทำงานคือสิ่งบังหน้า  คนเซ็นสามารถเลือกได้เองว่าอยากไปที่ใดบ้าง โดยไม่ต้องมีหลักการมารองรับ  และจะไปบ่อยแค่ไหนก็ได้ ไม่มีขีดจำกัด หลายกรณีมักพานักข่าวไปด้วย  เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมีผลงานออกสู่สายตาประชาชน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่