ขอพื้นที่ระบายความในใจ และขอสอบถามว่ามีใครเคยทำงานที่บริษัท PR Agency ที่หนึ่งแถวประชาชื่นบ้างคะ?

สวัสดีค่ะ พอดีเราเพิ่งลาออกจากที่นี่มา แต่จะเรียกว่าลาออกก็คงไม่ถูกต้องค่ะ เรียกว่าเดินมาออกมาเลยจะดีกว่า
เราเคยทำงานมา 1-2 ที่ค่ะ ปกติก็พอจะเข้าใจระบบการทำงานบ้าง และเป็นคนเรียนรู้ค่อนข้างเร็ว เพราะผ่านงานมาหลากหลาย แม้จะทำไม่กี่ที่ก็ตาม เนื่องจากที่ล่าสุดค่อนข้างให้ทำงานแบบกว้างๆหลากหลายในคนๆเดียวกัน ซึ่งก็เหนื่อย แต่ก็ดีนะคะ ทำให้เราได้เจอกับงานที่ไม่จำเจ
หลังจากนั้นเราก็หางานใหม่ เนื่องด้วยปัญหาส่วนตัวทำให้เราต้องออกจากที่ทำงานล่าสุดค่ะ จนมาได้เจอกับบริษัทนี้ หลังจากหางานอยู่ประมาณเดือนนึง วันที่ติดต่อให้เรามาสัมภาษณ์ คือ วันพฤหัสบดี เวลา 21.00 น. โดยโทรมาและคุยเรื่องต่างๆ ซึ่งเราเห็นว่าเขาเป็นคนคุยสนุกดี ก็เลยนัดกันเพื่อไปสัมภาษณ์งาน ในวันศุกร์ เวลา 10.00 น. ช่วงที่หางานนี้เราพักอาศัยอยู่กับเพื่อนค่ะ แถวเจริญกรุง ก็เลยเผื่อเวลาเดินทางไว้เยอะ ทำให้เราไปถึงตั้งแต่ 9.30 น. (ขนาดเผื่อเวลาแล้ว เพราะออกจากคอนโดเพื่อนประมาณ 7.30 น.)
เมื่อมาถึงตามแผนที่และการแนะนำจากอีเมล์ที่ส่งแผนที่มานั้น  เข้าทางซอยประชาชื่น 11 แยกที่ 4 บ้านหลังกลางๆ มีชื่อบริษัทอยู่หน้าบ้านชัดเจน เราก็เลยโทร เพราะกดกริ่งเรียก ไม่มีใครมาค่ะ ภาพที่เห็นคือผู้หญิงดูมีอายุ ตัวเล็กๆ หน้าตาดูใจดี พูดจาเพราะๆ เบาๆ แต่ที่แน่ๆคือ คิดในใจว่าอายุเยอะวัยเกษียณแน่ๆ แต่ยังทำงานอยู่ แสดงว่าต้องเก่งแน่เลย หรืออาจจะมาช่วยญาติๆไรงี้ เพราะอายุประมาณนี้คนส่วนมากที่เรารู้จักถ้าไม่ลำบากจริงๆ ก็จะอยู่บ้านๆ เที่ยวกับเพื่อนวัยเดียวกันสบายๆไปแล้ว
เข้าไปมีพนักงานอยู่ 5 คน เราก็กรอกข้อมูลก่อน ระหว่างกรอกเอกสารก็แอบสังเกตบรรยากาศภายในออฟฟิศว่าเงียบมาก มากจนได้ยินเสียงถอยหายใจแรงๆ พอกรอกเอกสารเสร็จ เขาก็เข้ามาสัมภาษณ์ค่ะ ก็มีการถามทั่วๆไปแบบสัมภาษณ์งาน ถามเกี่ยวกับการเรียน การทำงานที่ผ่านมา แต่ใช้เวลากับตรงนี้น้อยมาก เพราะเขาชวนคุยเรื่องที่พัก อาหาร เรื่องทั่วๆไปเยอะมาก แต่ที่รู้สึกตอนนั้นคือ เหมือนเราพูดอะไรไปเขาจะไม่ได้ฟังเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วเขาก็ถามว่าพร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่ แต่เราด้วยความที่ว่างงานอยู่แล้ว ก็เลยรับปากแล้วพร้อมเริ่มงานวันจันทร์ถัดมาทันที ทำให้เราย้ายที่พัก และเตรียมตัวอย่างดี
วันแรกที่เข้าไปก็มีการสอนงาน ถ่ายทอดงานแบบปกติ เพราะน้องที่ทำตำแหน่งที่เราเข้าไปทำ จะออกต้นเดือนหน้า เหลือเวลาประมาณสัปดาห์กว่าๆ พอพักเที่ยงทุกคนออกไปทานข้าว แต่เรารีบกลับมาทำธุระที่หอพัก แล้วรีบกลับ ก็คุยกับน้องๆ คือ ทุกคนอยากจะลาออกมาก และพูดถึงเจ้านายในแง่ที่ไม่ค่อยดี ส่วนตัวเราตอนนั้นคือคิดแค่ว่า นินทาเจ้านายนี่ก็เรื่องปกตินะ แต่ก็คงอารมณ์คนแก่แบบพูดจาซ้ำๆ พอเข้าวันที่ 2-3-4 ของการทำงาน เราก็เริ่มเห็นพฤติกรรมของเจ้านายคนใหม่เพิ่มมากขึ้น ทั้งเรื่องย้ำคิดย้ำทำ พูดจาไม่รักษาน้ำใจ และที่รู้สึกว่าเริ่มรู้สึกไม่ดี ก็คงจะเป็นเรื่องให้ช่วยงานที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบเกินเวลาทำงานไปเยอะ และไม่มีการพูดที่รักษาน้ำใจพนักงานที่ช่วย หรือคำขอบคุณแม้แต่คำเดียว
สัปดาห์ต่อมา มีพนักงาน 2 คนที่โดนกระทำแบบไม่รักษาน้ำใจ จนทนไม่ไหว ก็เลยไม่มาทำงาน พอถัดมาอีกวันก็เป็นน้องที่แจ้งลาออกอยู่แล้ว ก็ไม่มีทำงาน โดยที่ไม่ได้บอกเจ้านายคนใหม่ก่อน ทำให้เขามีอารมณ์หงุดหงิด และก็เริ่มเอางานทั้งหลายมาลงที่เราและน้องอีกคนค่อนข้างเยอะ แต่เราก็สู้นะ เพราะมีงานเยอะดีกว่าว่างงาน นั่นคือในใจที่คิดและรู้สึกตอนนั้น เพียงแค่เขาจะไม่ค่อยดูแลงานได้ละเอียดเท่าที่ควร เพราะเราทำงานเสนอ และแจ้งให้ทราบตั้งแต่วันอังคาร จนวันศุกร์เขาก็ยังไม่ได้ดูให้เรา พอเราบอกเขา และให้เขาช่วยตรวจงาน เขากลับบอกว่า ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวจะดูให้
อีกประการคือ เขาเป็น PR Agency ค่ะ การที่จะทำหน้าที่ PR งานให้ลูกค้า การทำงานด้าน Social ก็เป็นเรื่องสำคัญ และเขามีการขายแพ็กเกต Facebook Fanpage ให้ลูกค้าไป แต่พอเราถามถึงรายละเอียดอื่นๆ เพราะเราก็เคยทำ page ให้ลูกค้ามาเยอะ และมีเพจส่วนตัวบ้าง เคยดูแลเพจมาหลายแบรนด์และหลายองค์กร ก็มักจะต้องทำแผนงาน เสนอแผนงาน คือการทำงานที่เป็นระบบ แต่พอเราถามว่า เขาบอกไม่ต้อง ทำไปทำไมมันเสียเวลา และส่งหัวข้อห้วนๆมาให้เรา ซึ่งเราก็ถามถึงรูปแบบการนำเสนอ รูปแบบ มู๊ดแอนด์โทน ต่างๆ เขาไม่เข้าใจและรับรู้ว่าแต่ละอย่างคือ อะไร??? พอเราอธิบายว่าแต่ละอย่างเป็นยังไง เขาก็ เถียงค่ะ ขอใช้คำว่า เถียงจริงๆ และบอกให้เราทำไปตามนั้น ซึ่งเราบอกไม่ได้นะ ต้องมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนและให้ลูกค้า “อนุมัติ” เขาตอบเราทันทีว่า จะทำก็ทำ ทำไมต้องให้ลูกค้าอนุมัติ เดี๋ยวฉันอนุมัติเอง เธอมีหน้าที่ทำก็ทำตามที่สั่งก็พอ ... ขอบอกว่าตอนนั้นเราก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ในเมื่อเขายืนกรานจะทำให้ได้ เราก็ได้แต่พยายามโน้มน้าว เช่น ให้ทำภาพโปรไฟล์และภาพหน้าปกก่อนดีกว่านะคะ เขาก็ยังไม่รู้จักค่ะว่าทั้ง2อย่างนี้คืออะไร พออธิบายไป เขาก็บอกแนวที่เขาชอบมา เราจึงถามค่ะ ว่าต้องการแนวไหน กลับกลายเป็นว่าเรากับน้องกราฟิกอีกคนโดนตวาดใส่ว่าไม่ต้องมาถามฉัน เธอควรคุยงานกันเอง เราก็เลยลุกจะเดินไปคุยกับน้อง คิดในใจว่าในเมื่อถามไม่ได้ ก็ทำก่อนละกัน แต่พอเราลุกไป เขาก็มาแทรกทันที และสั่งๆๆว่าจะเอาแบบไหน ทำให้เราได้แตถอนหายใจ
จนถึงเวลาที่เส้นความอดทนเราเริ่มร่อแร่ ใกล้จะขาด คือวันเสาร์ถัดมา เขาไลน์มาตามงาน ที่เราวางไว้บนโต๊ะและบอกให้เขาตรวจมาทั้งสัปดาห์ ตอนเช้าวันเสาร์ เราจึงบอกว่าอยู่บนโต๊ะแล้วค่ะ เขาหายไปสักพัก ก็กลับมาบอกว่า ไม่เอาค่ะ ไปทำมาใหม่ ต้องทำแบบนี้ๆๆๆ และต้องทำวันเสาร์อาทิตย์นี้นะคะ แต่เนื่องจากเราติดธุระ จึงบอกไม่ว่าไม่ทำ ทำให้เขามีการต่อว่ามาทางไลน์เยอะมาก ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นของเราคือ ไม่โอเค และมาตามงานอีกส่วนของเราที่ดูแล แต่มันเกิดปัญหา โดยได้แจ้งเขาถึงปัญหา และเขารับทราบไปแล้ว แต่ตอนนั้นที่มาทวงงานคือ เหมือนเขาลืม และเหมือนเราไม่เคยแจ้งอะไรให้เขารับรู้เลย เราจึงชี้แจงไปใหม่ และรู้สึกว่าไม่มีเหตุผล เขาก็พูดประโยคเดิมๆมา เหมือนไม่ได้สนใจที่เราพิมพ์ไปค่ะ เราเลยคิดหนักมาก ตัดสินใจว่าเราจะเอายังไงต่อไปดี แต่ด้วยเหตุผลและนิสัยส่วนตัว และสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ทำได้แค่ บอกตัวเองว่า เอาว่ะ สู้อีกสักตั้ง ลองอดทนดู!
วันจันทร์ที่เริ่มมาทำงาน ก็มีการทวงงานที่ค้างคา เราก็อธิบายเหมือนเดิมว่ามันเกิดปัญหาอย่างไร และแก้ไขอย่างไรไปแล้ว พร้อมกับเร่งมือทำงานให้ค่ะ แต่ตอนที่เราทำงานใกล้จะเสร็จในช่วงบ่ายต้นๆของวันจันทร์ เขาก็มาบอกว่า พี่มีอีเมล์จากเวนเดอร์ส่งมาให้เพิ่มเติมนะคะ เราก็ตกใจมาก ตอนนั้นโทษเวนเดอร์ค่ะทำไมถึงค้างข้อมูลที่ต้องส่งให้เราแบบนี้ แต่เมื่ออีเมล์ที่ฟอร์เวิร์ดมา กลายเป็นว่าเวนเดอร์ส่งมาให้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนค่ะ ช่วงปลายเดือน และเขาไม่ได้ส่งต่อมาให้เรา เราจึงสอบถามว่ามีอีเมล์แบบนี้อีกไหม เขาก็ส่งมาให้อีกยาวเลยค่ะ เราเลยตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีค้างคาอีก และคุยถึงการเรียบเรียงงาน และหัวข้อต่างๆจนเคลียร์แล้ว ก็ลงมือเพิ่มเติมและแก้ไขงานใหม่อีกรอบ กว่าจะเสร็จก็ค่ำค่ะ ก็เอาให้เขาตรวจ เขาก็ทานข้าวแล้วบอกให้รอก่อน เราเลยบอกว่า รบกวนตรวจให้หน่อยนะคะ เพราะเยอะ และเราก็กลับบ้านค่ะ ซึ่งเขาบอกว่า เดี๋ยวคืนนี้เขาตรวจให้
วันอังคารเช้า เราก็เห็นเอกสารที่ให้เขาตรวจเมื่อวาน วางอยู่บนโต๊ะค่ะ พร้อมคอมเม้นเยอะมากๆ ซึ่งเราก็โอเค แต่คอมเม้นของเขานั้นผิดไปหมดเลยจากที่บอกเราไว้ ซึ่งเราแน่ใจค่ะว่าทำตามที่เขาบอกแล้วแน่ๆ แต่เขายืนยันว่า เราไม่ได้ทำตาม และพยายามสอนเรา เรารับฟังนะคะ แต่ก็เปิดหลักฐานให้ดูค่ะว่าเราทำตามแล้วจริงๆ ในใจของเราตอนนั้นคือ ถ้าเราทำตามแล้ว มันผิดพลาดตรงไหน เราจะได้แก้ไขได้ถูกต้องและเก็บไว้เป็นบทเรียน สรุปว่าพอเขาเห็นหลักฐาน เขาเงียบไปแป๊ปนึงค่ะ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดทันที พอเขาอธิบายเสร็จว่าต้องแก้ไขอะไรยังไงตรงไหนบ้าง เราก็ทวนค่ะว่าที่เราเข้าใจถูกต้องไหม และบอกเขาว่า เดี๋ยวเราจะรีบแก้ให้ดูนะคะ ขอเวลาสักครู่ แต่พอเรายังไม่ทันลงมือค่ะ เขาก็เดินมา และพูดประโยคเดิมกับที่พูดกับเราเมื่อกี้อีกที พร้อมกับต่อว่าเราเรื่องอื่นๆ ซึ่งเรารับไม่ได้นะคะ เราเลยตัดสินใจที่จะลาออก และบอกตอนนั้น และเดินออกมาทันที
ที่เรามาระบายตรงนี้ เพราะเราเห็นว่าที่บริษัทนี้มีคนเข้าและออกเยอะมากพอสมควรค่ะ ทั้งๆที่เป็นบริษัทเล็กๆ แต่เดือนนึงเปลี่ยนพนักงานเยอะมาก และไม่มีใครอยู่ได้นาน และรู้สึกดี จากที่ฟังน้องๆก่อนหน้านี้ที่เราเจอได้เล่าให้ฟัง ก็เลยอยากรู้ว่ามีใครเคยทำงานที่นี่บ้าง และโดนอะไรบ้างคะ และเหตุผลอะไรที่ทำให้ลาออก?

ปล. ส่วนเราตอนนี้ รู้สึกว่าสบายใจดีค่ะที่ได้ออกมา เพราะเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดมาก และปกติคือ ไม่ใช่คนชอบเถียงอยู่แล้ว เพียงแค่อะไรที่ถ้าไม่ถูกต้องเรามักจะถามและขอเหตุผลมากกว่า ซึ่งคนอื่นๆเราว่าไม่มีใครอยากทำงานที่ไหนไม่นานหรอกมั้งคะ บางทีเป็นพนักงาน เป็นเด็กรุ่นใหม่ เป็นเด็กสมัย ที่ไม่ทนทำงานจริงๆหรือคะ หรือเพราะอะไรกันแน่?

แต่สำหรับเราวันนี้ที่ไม่ทน เพราะรู้สึกจะเป็นโรคประสาทค่ะ เครียดมาก และรู้สึกว่า อดทนไปก็ไม่มีค่าอะไร ทุกครั้งคนรอบข้างจะให้อดทนต่อ แต่ครั้งนี้คนรอบข้างที่รับรู้ ต่างบอกให้เราพอทั้งนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่