เรานั่งคุยกันท่ามกลางซากศพ ของเพื่อนทหารที่นอนตายกันเกลื่อนกล่น ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว ฟ้าแดงฉานอมเหลืองเป็นสีผีตากผ้าอ้อม เพื่อนทหารคนอื่นต่างนำรถเข็นมาเก็บศพทหารแต่ละนาย กองทับกองซ้อนเป็นภูเขาคนตาย กลิ่นศพและคาวเลือดลอยเข้าจมูกจากเหม็นเป็นเฉยชิน อีแร้งบินวนเหนือหัวเรามาตั้งแต่ช่วงบ่าย หลายตัวลงมาแทะเล็มเนื้อศพ ก่อนที่เราจะเอาปืนยิงขู่ให้พวกมันกระเจิงไป แต่พวกมันยังไม่ตัดใจ ลานด้านล่างเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ลำไส้ แขน ขา ที่ขาดวิ่น แหลกเละจากแรงระเบิดบ้าง กับระเบิดบ้าง แร้งยังรออย่างมีหวัง
ผมยื่นบุหรี่ในมือ ไปให้ทหารหนุ่มที่นั่งคุยกันอยู่ด้านข้าง เขามองหน้าผมอย่างลังเลก่อนเอื้อมมืออันสั่นเทามารับไปสูบเข้าปอดเต็มเฮือก
"แกยังเด็กอยู่มาก เด็กกว่าทหารคนไหนที่ฉันเคยเห็น แกอายุเท่าไหร่?" ผมถามขึ้น
"สิบห้าย่างสิบหกครับ .. อีก...อีกสองเดือนสิบหก"
เขาพูดตะกุกตะกักก่อนคืนบุหรี่มาให้ผม อายุสิบหกหรือ? ผมทวนคำตอบเขาโดยนึกไปถึงความหลังของตัวเอง ในวัยเดียวกันกับเขา ผมยังไม่เคยรู้จักสงคราม ยังได้เรียนหนังสือ วิ่งเล่นเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ ผมตบบ่าเขาเบาๆเป็นเชิงปลอบ
"ไอ้หนู! แกเพิ่งเคยออกรบครั้งแรก?"
"ครับท่าน"
"สงครามมันก็เป็นอย่างที่แกเห็น มีแต่ความตายและการสูญเสียไปทุกหย่อมหญ้า"
เด็กหนุ่มเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า "ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่กับน้อง"
ผมหันมองใบหน้าเขา รู้สึกว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคอลำบากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ก็ผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน ผมเน้นเสียงแช่มช้า
"แกต้องฆ่า แกถึงจะมีชีวิตรอด ถ้าแกไม่ฆ่าแกก็โดนเขาฆ่า สงครามมันมีหลักง่ายๆแค่นี้เอง ง่ายในการฆ่าแต่ยากในการจบ แกไม่รู้หรอกว่าต้องฆ่าอีกกี่ร้อยศพสงครามถึงจะยุติ"
เด็กหนุ่มหลุบปีกหมวกทหารลง เหมือนจะพรางน้ำตาที่ร่วงริน เขาสะอื้นเบาๆ
"ผมกลัว กลัวมากๆ"
ผมเอามือเสยปีกหมวกทหารของเขา แล้วจับหน้าเขาเชิดขึ้น เน้นเสียงกร้าวหนักขึงขัง
"ฟังฉันให้ดีไอ้หนู ฉันก็กลัวไม่ต่างจากแก ฉันก็อยากกลับบ้านไปหาลูกเมีย แกจะมาอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้ ในสงครามมันไม่มีน้ำตาหรอกโว้ย!"
เด็กหนุ่มยิ่งสะอื้นหนัก ผมตบหน้าเขาเบาๆก่อนตวาด
"จำใส่สมองไว้ให้ดีทหาร ถึงเราจะนั่งคุยกันแบบนี้ สูบบุหรี่มวนเดียวกัน แต่อย่าลืมเราสองคนเป็นศัตรูกัน หมดเวลาพักรบเก็บศพเมื่อไหร่ ถ้าฉันเจอแกในสนามรบ ฉันก็ต้องฆ่าแก ถ้าแกไม่อยากตายก็จงลุกขึ้นอย่างแกร่งกร้าว แล้วเอาปลายกระบอกปืนชี้มาที่ฉัน แกไปได้แล้ว!"
สิ้นคำ เด็กหนุ่มลุกขึ้นโซเซ สะอื้นของเขาเสียงดังกว่าเดิม เขาหันมามองผมอย่างอาลัย น้ำหูน้ำตาเจิ่งนองอาบสองแก้มเขา ผมหลบสายตา โบกมือเป็นเชิงไล่ เขาหันหลังกลับและวิ่งไปสมทบกับเพื่อนทหารฝั่งเขา เพื่อรอเข็นรถเก็บศพกลับค่ายทหารของตัวเอง ผมสูบบุหรี่ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง แหงนหน้ามองอีแร้งที่ยังบินวนเวียนเหนือลานประหารแห่งนี้ ผมถามตัวเองอย่างเลื่อนลอย จะแน่ใจอย่างไรได้ ว่าถ้าเจอกันในสนามรบผมจะกล้าฆ่าทหารหนุ่มคนนั้น.
เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน (สมเกียรติ จันทร)
๒๐/๐๖/๒๕๖๐
[เรื่องสั้น] ศพสุดท้ายเป็นของใคร
ผมยื่นบุหรี่ในมือ ไปให้ทหารหนุ่มที่นั่งคุยกันอยู่ด้านข้าง เขามองหน้าผมอย่างลังเลก่อนเอื้อมมืออันสั่นเทามารับไปสูบเข้าปอดเต็มเฮือก
"แกยังเด็กอยู่มาก เด็กกว่าทหารคนไหนที่ฉันเคยเห็น แกอายุเท่าไหร่?" ผมถามขึ้น
"สิบห้าย่างสิบหกครับ .. อีก...อีกสองเดือนสิบหก"
เขาพูดตะกุกตะกักก่อนคืนบุหรี่มาให้ผม อายุสิบหกหรือ? ผมทวนคำตอบเขาโดยนึกไปถึงความหลังของตัวเอง ในวัยเดียวกันกับเขา ผมยังไม่เคยรู้จักสงคราม ยังได้เรียนหนังสือ วิ่งเล่นเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ ผมตบบ่าเขาเบาๆเป็นเชิงปลอบ
"ไอ้หนู! แกเพิ่งเคยออกรบครั้งแรก?"
"ครับท่าน"
"สงครามมันก็เป็นอย่างที่แกเห็น มีแต่ความตายและการสูญเสียไปทุกหย่อมหญ้า"
เด็กหนุ่มเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า "ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่กับน้อง"
ผมหันมองใบหน้าเขา รู้สึกว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคอลำบากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ก็ผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน ผมเน้นเสียงแช่มช้า
"แกต้องฆ่า แกถึงจะมีชีวิตรอด ถ้าแกไม่ฆ่าแกก็โดนเขาฆ่า สงครามมันมีหลักง่ายๆแค่นี้เอง ง่ายในการฆ่าแต่ยากในการจบ แกไม่รู้หรอกว่าต้องฆ่าอีกกี่ร้อยศพสงครามถึงจะยุติ"
เด็กหนุ่มหลุบปีกหมวกทหารลง เหมือนจะพรางน้ำตาที่ร่วงริน เขาสะอื้นเบาๆ
"ผมกลัว กลัวมากๆ"
ผมเอามือเสยปีกหมวกทหารของเขา แล้วจับหน้าเขาเชิดขึ้น เน้นเสียงกร้าวหนักขึงขัง
"ฟังฉันให้ดีไอ้หนู ฉันก็กลัวไม่ต่างจากแก ฉันก็อยากกลับบ้านไปหาลูกเมีย แกจะมาอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้ ในสงครามมันไม่มีน้ำตาหรอกโว้ย!"
เด็กหนุ่มยิ่งสะอื้นหนัก ผมตบหน้าเขาเบาๆก่อนตวาด
"จำใส่สมองไว้ให้ดีทหาร ถึงเราจะนั่งคุยกันแบบนี้ สูบบุหรี่มวนเดียวกัน แต่อย่าลืมเราสองคนเป็นศัตรูกัน หมดเวลาพักรบเก็บศพเมื่อไหร่ ถ้าฉันเจอแกในสนามรบ ฉันก็ต้องฆ่าแก ถ้าแกไม่อยากตายก็จงลุกขึ้นอย่างแกร่งกร้าว แล้วเอาปลายกระบอกปืนชี้มาที่ฉัน แกไปได้แล้ว!"
สิ้นคำ เด็กหนุ่มลุกขึ้นโซเซ สะอื้นของเขาเสียงดังกว่าเดิม เขาหันมามองผมอย่างอาลัย น้ำหูน้ำตาเจิ่งนองอาบสองแก้มเขา ผมหลบสายตา โบกมือเป็นเชิงไล่ เขาหันหลังกลับและวิ่งไปสมทบกับเพื่อนทหารฝั่งเขา เพื่อรอเข็นรถเก็บศพกลับค่ายทหารของตัวเอง ผมสูบบุหรี่ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง แหงนหน้ามองอีแร้งที่ยังบินวนเวียนเหนือลานประหารแห่งนี้ ผมถามตัวเองอย่างเลื่อนลอย จะแน่ใจอย่างไรได้ ว่าถ้าเจอกันในสนามรบผมจะกล้าฆ่าทหารหนุ่มคนนั้น.
เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน (สมเกียรติ จันทร)
๒๐/๐๖/๒๕๖๐