ใครไม่ว่าง ไม่ต้องอ่านสปอย แต่ก่อนเถียง ช่วยอ่านสปอยก่อน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มีคนพยายามที่จะบอกว่า การหนีกระบวนการยุติธรรมในกรณีที่ตัวเองทำผิดกฎหมายเป็นสิทธิที่บุคคลสามารถกระทำได้
เป็นสิทธิที่ติดตัวมาแต่เกิด เป็นสิทธิตามธรรมชาติ ที่ไม่ต้องอาศัยกฎหมายเป็นตัวกำหนด
แต่ใช้เสรีภาพเป็นตัวกำหนดว่า เขามีสิทธิที่จะทำสิ่งนั้น แม้สิ่งนั้นจะขัดต่อข้อกฏหมาย
หรือแม้แต่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หากบุคคลผู้มีเสรีภาพ ยังต้องมีสิทธิที่จะกระทำได้ โดยหากไม่สามารถหนีได้ก็ถูกจับ
หนีรอดก็สบาย หนีไม่ได้ก็ติดคุก หมดอิสระภาพ /วนไป
แม้จะพยายามถามว่า สิทธิที่ว่านั้นมาจากไหน ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้อย่างชัดเจน (เหมือนคนเห็นผี)
บอกได้แต่ว่าเห็น แต่ไม่รู้มายังไง รูปร่างอะไรก็ไม่แน่ชัด รู้แต่ว่า ที่เห็นนั่นแหละ คือผี และหลักฐานอะไร ไม่มีสักอย่าง
ได้แต่ขี่ม้าอ้อมข่ายบางระจัน ไปกรุงแบก- แล้วกลับมาสุโขทัยอีกหน เพื่อที่จะบอกว่า "มันมีก็แล้วกัน"
คำที่ได้ยิน คร่าวๆ ก็พวก สิทธิ เสรีภาพ สิทธิตามธรรมชาติ สิทธิส่วนบุคคล ฯลฯ
คำว่า เสรีภาพ คือ ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ อิสระจากพันธนาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย จิตใจ ศาสนา สถานภาพ ฯลฯ
ส่วนคำว่าสิทธินั้น ไม่เหมือนกัน เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังเป็นสัตว์สังคม ตราบนั้นอิสระภาพของคนในสังคมยังต้องถูกควบคุม
สิทธิ เกิดขึ้นเพื่อ
1. มอบอิสระภาพ - เช่น หากคุณเป็นคนไทย มีสิทธิลงคะแนน 1เสียง
2. จำกัดอิสระภาพ - มีสิทธิลงคะแนนเพียง 1 เสียง *เท่านั้น*
จะเห็นว่า การกำหนดสิทธิ จะเป็นการเพิ่มอิสระภาพให้แก่ผู้ที่ถูกกดขี่ ถูกเอารัดเอาเปรียบ และจำกัด หรือลดอิาระภาพของผู้ที่เคยเอาเปรียบคนอื่น แม้คำว่า "เอาเปรียบ"นั้น เจ้าตัวจะไม่เคยรู้มาก่อนว่า เขาได้เคยกระทำการเอาเปรียบคนอื่น อาจจะเพราะเป็นอภิสิทธิ์ชนมาก่อน หรือไม่เคยมีใครเรียกร้องความเท่าเทียม
ดังนั้น คำว่าสิทธิ จึงมีขึ้นเพื่อสนับสนุนหลักการของ"ความเสมอภาคหรือความเท่าเทียม" ไม่ใช่เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนหลักการ มือใครยาวสาวได้สาวเอา
บางคนก็ ปาวๆๆๆๆ บอกว่านี่มันคือหลักกฎหมาย ไม่ใช่เลย นี่มันคือ "ความถูกต้อง" ต่างหาก
ไม่ว่ากฎหมายจะกำหนดไว้อย่างไร แต่ความถูกต้อง ก็คือความถูกต้อง ไม่ใช่บอกว่า ความถูกต้อง ต้องอ้างกฎหมายเสมอไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แบบนี้ใครกันแน่ที่มัวแต่มองเรื่องกฎหมาย?
ความถูกต้อง กำหนดได้จากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายก็เรื่องหนึ่ง จริยธรรมก็เรื่องหนึ่ง ธรรมเนียม ประเพณี หรือสิ่งที่เคารพเชื่อถือกันมาก็อีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนเรื่องของ สิทธิตามธรรมชาติ ก็เหมือนที่เคยบอกไป แต่จะมาพูดอีกก็คงไม่เชื่อ ลองไปอ่านบทความนี้กันเองก็แล้วกันว่า เขามีคำๆนี้มาเพื่ออะไร
..แม้ว่าล็อคจะประกาศยืนยันชัดแจ้งถึงเสรีภาพในการคิด การพูด และการนับถือศาสนา แต่เขาเชื่อว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่สำคัญที่สุด เขาประกาศว่าเจ้าของย่อมกระทำสิ่งใดก็ได้ที่เขาต้องการต่อทรัพย์สินของตนตราบที่ไม่เป็นการรบกวนสิทธิ์ของผู้อื่น
..
http://emrajalawhouse.com/tag/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4/
..มนุษย์จึงมีสิทธิตามธรรมชาติในทรัพย์สิน ในการแสวงหาข้อมูล และในการแสดงความคิดเห็น สิทธิตามธรรมชาติอย่างอื่นที่มนุษย์มี จะต้องเป็นผลมาจากความจำเป็นของมนุษย์ที่ต้องดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย และสิทธิที่แต่ละคนมีจะต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เช่นมนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ในแง่นี้เป้าหมายในชีวิตที่เราเลือกถูกจำกัดโดยสิทธิที่ผู้อื่นมี เรามิอาจตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้สะสมหัวมนุษย์ได้มากที่สุด..
http://pioneer.chula.ac.th/~pukrit/2207102/right.html
สิทธิในความเป็นส่วนตัวหรือ สิทธิส่วนบุคคล [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หมายถึงสิทธิของบุคคลที่ประกอบไปด้วยสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว ในเรื่องดังกล่าวน่าจะจัดอยู่ในเรื่องของความเป็นอยู่ส่วนตัวซึ่งหมายความว่า สถานะที่บุคคลจะรอดพ้นจากการสังเกต การรู้เห็น การสืบความลับ การรบกวนต่างๆ และความมีสันโดษ ไม่ติดต่อสัมพันธ์กับสังคม โดยทั้งนี้ ขอบเขตที่บุคคลควรได้รับการคุ้มครองและการเคารพในสิทธิส่วนบุคคลก็คือการดำรงชีวิตอย่างเป็นอิสระ มีการพัฒนาบุคลิกลักษณะตามที่ต้องการ สิทธิที่จะแสวงหาความสุขในชีวิตตามวิถีทางที่อาจเป็นไปได้และเป็นความพอใจตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น[1]
ซึ่งสิทธิในความเป็นส่วนตัวหรือสิทธิส่วนบุคคล นี้เป็น สิทธิขันพื้นฐาน มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 32 บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว
การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันนี้จริงๆเป็นคนละเรื่องกับสิทธิตามธรรมชาติเลยเนอะ ละไม่อธิบายก็แล้วกัน หากใครสงสัยให้ถามมา"ดีๆ" แล้วจะเสวนาให้อ่านฟรีๆ ไม่มีคิดเงิน
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะสืบค้นจากที่มาไหนๆ ก็ไม่มีใครบอกว่า สิทธิตามธรรมชาติ หรือ สิทธิที่บุคคลพึงมี หรือ ฯลฯ เป็นสิทธิที่อาจจะขัดต่อกฎหมายหรือศิลธรรมอันดี หรือประเพณี หรือ ฯลฯ เลย หากใครบอกว่า สิทธิที่พึงมีนั้น ขัดต่อกฎหมายก็ได้ด้วย ช่วยหาที่มาเพื่อการศึกษาหน่อย
คำว่า สิทธิในการหนีคดี มีหลายอย่างที่ผิดไปจากความเป็นจริง
1. หนีคดีไม่ใช่สิทธิ แต่เป็นวิธีเอาตัวรอดจากความผิด คนทำผิดต้องถูกลงโทษจะตามกฎหมาย ประเพณี หรือ ฯลฯ ถ้าไม่เช่นนั้น คุณจะต้องหลบลี้ออกจาสังคมไป แต่นั้นไม่ใช่สิทธิในการเลือก เพราะในขณะที่คุณ กำลังอยู่ต่อหน้าผู้เสียผลประโยชน์ เขาจะไม่ปล่อยให้คุณหนี เพราะคุณไม่มีสิทธิหนี -- เข้าใจตรงกันนะ
2. คนที่หนีจากการลงโทษได้
ไม่ได้ใช้สิทธิในการหนี แต่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้เสียหาย เช่น หากคุณฆ่าคนตายแล้วหนี หากสิทธิในการหนีของคุณเป็นการละเมิดชีวิตของผู้ตาย และไม่สามารถทำได้ในสังคมปรกติ แปลว่า คุณไม่มีสิทธิ แต่คุณกำลังละเมิดสิทธิ ที่คุณไม่มี แต่อต้องการได้สิทธิมากขึ้น
นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องกฎหมายอะไรเลยนะ หลักการล้วนๆ
บางคนบอกว่า นี่คือการมองมุมเดียวให้มองมุมใหม่ๆบ้าง เปิดโลกทัศน์ให้กว้างหน่อย อย่าอยู่แต่ในกะลา
เราเลยพาลคิดไปถึงเรื่อง "บอกว่าอุจจาระหอม ก็ว่าหอม"
..
มองให้ดี การบอกว่าเหม็น เป็นแค่มุมมองเดียว คนอื่นจะบอกว่าหอม ก็เป็นสิทธิที่ทำได้นะ..
ยังมีคนบอกว่า ถ้านึกไม่ออกว่า อุจจาระหอมได้ไง ก็คือคนบ้า ใช้สมองไม่เป็น เริ่มไปกันใหญ่
แต่การบอกว่า อุจจาระหอม มันก็ไม่ได้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของใครนะ อันนี้คุณทำได้
แต่เฮ่ยยย ก็มันหอม เลยไม่ยอมราดน้ำ ในส้วมสาธารณะ อันนี้ ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคลแล้วนะ
หากไม่ใช่คนบ้า ก็ต้องอธิบายว่า มันไม่ใช่สิ่งที่หอม ฉนั้น กรุณาราดน้ำก่อนออกจากห้องน้ำทุกครั้งด้วย
แต่ถ้าคุยกันคนบ้า ก็อาจจะบอกว่า เออ มันหอมก็จริงนะ แต่มันก้อนเล็กเกิน ราดทิ้งๆไปก่อนเหอะ เดี๋ยวถ่ายก้อนใหญ่ แน่นๆ แข็งๆ แล้วค่อยเก็บมาแบ่งกันชม
ท่าจะดีเนอะ

การบอกว่า *หนีคดีเป็นสิทธิ* เปรียบเสมือนการบอกว่า *อุจจาระมีกลิ่นหอม*
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คำว่า สิทธิในการหนีคดี มีหลายอย่างที่ผิดไปจากความเป็นจริง
1. หนีคดีไม่ใช่สิทธิ แต่เป็นวิธีเอาตัวรอดจากความผิด คนทำผิดต้องถูกลงโทษจะตามกฎหมาย ประเพณี หรือ ฯลฯ ถ้าไม่เช่นนั้น คุณจะต้องหลบลี้ออกจาสังคมไป แต่นั้นไม่ใช่สิทธิในการเลือก เพราะในขณะที่คุณ กำลังอยู่ต่อหน้าผู้เสียผลประโยชน์ เขาจะไม่ปล่อยให้คุณหนี เพราะคุณไม่มีสิทธิหนี -- เข้าใจตรงกันนะ
2. คนที่หนีจากการลงโทษได้ ไม่ได้ใช้สิทธิในการหนี แต่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้เสียหาย เช่น หากคุณฆ่าคนตายแล้วหนี หากสิทธิในการหนีของคุณเป็นการละเมิดชีวิตของผู้ตาย และไม่สามารถทำได้ในสังคมปรกติ แปลว่า คุณไม่มีสิทธิ แต่คุณกำลังละเมิดสิทธิ ที่คุณไม่มี แต่อต้องการได้สิทธิมากขึ้น
นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องกฎหมายอะไรเลยนะ หลักการล้วนๆ
บางคนบอกว่า นี่คือการมองมุมเดียวให้มองมุมใหม่ๆบ้าง เปิดโลกทัศน์ให้กว้างหน่อย อย่าอยู่แต่ในกะลา
เราเลยพาลคิดไปถึงเรื่อง "บอกว่าอุจจาระหอม ก็ว่าหอม"
..มองให้ดี การบอกว่าเหม็น เป็นแค่มุมมองเดียว คนอื่นจะบอกว่าหอม ก็เป็นสิทธิที่ทำได้นะ..
ยังมีคนบอกว่า ถ้านึกไม่ออกว่า อุจจาระหอมได้ไง ก็คือคนบ้า ใช้สมองไม่เป็น เริ่มไปกันใหญ่
แต่การบอกว่า อุจจาระหอม มันก็ไม่ได้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของใครนะ อันนี้คุณทำได้
แต่เฮ่ยยย ก็มันหอม เลยไม่ยอมราดน้ำ ในส้วมสาธารณะ อันนี้ ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคลแล้วนะ
หากไม่ใช่คนบ้า ก็ต้องอธิบายว่า มันไม่ใช่สิ่งที่หอม ฉนั้น กรุณาราดน้ำก่อนออกจากห้องน้ำทุกครั้งด้วย
แต่ถ้าคุยกันคนบ้า ก็อาจจะบอกว่า เออ มันหอมก็จริงนะ แต่มันก้อนเล็กเกิน ราดทิ้งๆไปก่อนเหอะ เดี๋ยวถ่ายก้อนใหญ่ แน่นๆ แข็งๆ แล้วค่อยเก็บมาแบ่งกันชม
ท่าจะดีเนอะ