สวัสดีคับ หลังจากที่กลับมาสดๆร้อนๆ จึงกลับมาเขียนกระทู้กันลืม เพื่อเป็นแนวสำหรับคนที่อยากทำตามฝันเหมือนๆกับเราในการไปเที่ยวสัมผัส ความยิ่งใหญ่ของ "หิมาลายัน" เนื่องด้วยประมาณเกือบๆ 2 ปีก่อน ไปเจอกระทู้เกี่ยวกับ Leh เมืองอะไรทำไมมีแต่รูปสวยๆ จึงเริ่มศึกษาข้อมูล แล้วก็ตามล่าฝันกัน ทริปนี้ สะพายเป้ กันไป 3 คนคับ รวมเวลาทั้งหมดเกือบๆ 15 วัน
ตั๋วเครื่องบิน
เท่าที่เห็นมีหลายสายการบิน Jet airway / Indigo / Air India / Go Air / Vistara
แต่เราเลือก Jet Airway เพราะบินตรงจาก สุวรรณภูมิ - ไปเดลี - แล้วอีกวันเช้าบินตรงไปเลห์เลย (ถูกสุดเท่าที่หาได้ตอนนั้น)
(
หมายเหตุ 1.สำหรับสิ่งที่ทุกคนกลัวอันดับแรก คือกลิ่นตัว บอกเลยว่าไม่มีเลย เด๋วนี้เค้าหอมกว่าเราแล้ว ยาดมที่เตรียมไปไม่ได้ใช้เลย
2. เครื่องสำอาง ครีมต่างๆ แพ็คให้ดีๆ อาจจะระเบิดออกมาได้
3.อาหารบนเครื่อง ถือเป็นการเจิม อาหารอินเดียมื้อแรก กินๆไปเรื่อยๆ จะเริ่มโอเคเอง บอกแอร์ด้วยว่าขอ non - veg
4.มีเหล้า ไวน์ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ไม่อั้น เติมได้ตลอด
5.อย่านั่งโซนท้ายเครื่อง เป็นห้องน้ำ รับรองว่าคุณจะอยู่ไม่สุขเลย คิวเต็มตลอด)
ขอวีซ่า
เด๋วนี้เค้าเน้นให้ขอผ่าน E-visa (
https://indianvisaonline.gov.in/evisa/ ) ประมาณ 1,700-1,800 บ. จ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิต
เตรียมแสกนรูป + พาสปอต ลองหาข้อมูลสเปคเอาไม่ยาก ใช้เวลา 1วัน ก็ตอบกลับทาง E-mail มาแล้ว
สิ่งของที่ควรเตรียมไป และการเตรียมตัว
1.ยา Daimox กินก่อน 2 วันก่อนไป กินทีละครึ่งเม็ด เช้า+เย็น กินทุกวันจนครบช่วงเวลาที่ไป (ช่วยป้องกันโรคแพ้ความสูงAMS แต่จะฉี่บ่อยขึ้น) และยาลดไข้ (จะมีน้ำมูก + เจ็บคอ เจ็บหัวบ้าง) + โรคประจำตัว ร้านขายยามีแต่เมืองใหญ่ๆ ผมเป็นโรคกระเพราะ ค่อนข้างทรมารมากทริปนี้ โดยเฉพาะเวลาขึ้นที่สูงอาการจะกำเริบหนักมาก
วิธีแก้ AMS จากคำแนะนำคนอินเดีย คือ เราต้องกินน้ำเยอะๆ กับหาที่โล่งสูดอากาศเข้าไปเยอะๆ เดิน เหิน ช้าๆ เวลาอยู่ที่สูง (ถ้าเกินกว่า 4,500 m. ทุกคนจะมีอาการวิงเวียนศีรษะหมด มากน้อยต่างกัน) พอเวลาไปถึงเลห์ให้นอนพักผ่อนทันทีครึ่งวัน เราจะมึนๆหัวเวลานอน พยายามเปิดกระจกไว้เวลานอน แม้จะหนาวแต่ต้องทน ให้ร่างกาปรับสภาพก่อน ค่อยออกไปซ่า
2.ทิชชู เปียก + แห้ง ห้องน้ำนอกจากที่พัก ก็คือ ข้างทางเท่านั้น อาจลำบากมากสำหรับท่านหญิง + บางวันหนาวน้ำอุ่นไม่มี ทิชชูเปียกก็ช่วยได้น้ะ
3.อาหาร สิ่งที่เราเตรียมไปคือ มาม่า+ปลากระป๋อง กับอาหารสำหรับอุ่นน้ำร้อน แทบไม่ได้กินเพราะระหว่างทางไม่มีน้ำอุ่น ไม่มี7-11 มีแต่ภูเขา
ถ้าจะแนะนำคือ ซอสแม็กกี้ + นมข้น จะช่วยชีวิตเราได้มาก เพราะตามทั่วไปจะมีไข่ กับโรตี ที่เราพอจะแลกินได้
แต่หลังๆ เริ่มฉลาด สั่งแพ็คอาหารจากร้านในตอนเย็น เพื่อใช้กินระหว่างทางในวันต่อไป
4.ชุด เราไปเน้นขี่มอไซ ชุดขี่กันฝน+ลม กับ เสื้อกันหนาวดีๆสักตัว สำหรับหน้าร้อนที่นี้ถือว่าเอาอยู่
ผ้าคลุมหัว + ผ้าบัฟ + แว่นกันแดดดีๆ (แดดแรงมากๆคับ ขนาดมีแว่น+ครีมกันแดดยังแสบหน้าเลย)
ถุงมือขี่กันหนาว 1 คู่ + ถุงมือวิบาก 1 คู่ เวลาขี่ขึ้นบนดอยเจอหิมะ ตอนกลางคืนใส่ 2 คู่เอาไม่อยู่ ต้องฮีทเตอที่กริปเท่านั้น (ซึ่งไม่มี อดเอา)
รองเท้าบู้ท + ถุงเท้าเยอะๆ ระหว่างทางจะมีน้ำจากหิมะที่ละลายตลอดทางที่เราขี่ผ่านทุกๆที่ ดังนั้นบู้ทจะเปียกทุกๆวันตลอดเวลา(โตแล้ว อดเอา)
หมวกกันน็อค มีให้ยืมพร้อมรถเช่า เน้นหมวกเต็มใบนะคับ ช่วยได้เยอะ หรือใครจะหอบไปเองก็แล้วแต่สะดวก
5. ใบขับขี่สากล ไม่ได้ใช้เลย แต่เตรียมไปก็ดี เพราะรถเช่าถามเหมือนกันว่ามีใบขับขี่มั้ย แต่ตำรวจไม่มีตรวจเลย
6. กล้องดีๆสักตัว ที่นี้คือสวรรของนักถ่ายภาพจริงๆ "หิมาลายัน" เปรียบเสมือน โฉมงาม กับ เจ้าชายอสูร แม้หนทางจะยากลำบาก แต่ก็แฝงความงดงาม อลังการในทุกๆที่จริงๆ
ที่พัก
มีหลายเกรด หลายราคาตั้งแต่ถูก ยันแพง จองไปคืนเดียวก่อน แล้วไปหาที่ๆ เหมาะสมกับ ไลสไตคุณ
หลายๆที่ไฟจะใช้ไม่ได้ต้องชาร์จจากปลั๊กทีวีเท่านั้น ปลั๊กอื่นใช้ไม่ได้ที่เลห์ไม่ต้องใช้ปลั๊กแปลงเสียบได้เลย
Wifi มีแต่ใช้ไม่ได้เลย ยกเว้น ที่ manali น้ำอุ่นไปประมาณ 10 กว่าวัน ใช้ได้ที่เดียว
ป.ล. ราคาที่พักจะถูกกว่าจองในเน็ท เราสามารถต่อรองราคา+อาหารเช้าได้ทุกที(ส่วนใหญ่ราคาไม่รวมอาหารเช้า มีน้อยที่แถมให้)
ขอPermit (เนื่องจากเป็นเมืองใกล้ชายแดนหลายประเทศ)
1.เลห์ พอไปถึงที่พักที่เลห์ก็ขอทำ permit โดยใช้พาสปอร์ตไปทำ มีแบบวันเดียวกับหลายวันราคาก็ต่างกันไป
permit ที่เลห์ อาณาเขตจะใช้ srinaga,Kradung La - nubra - Turtuk , ทะเลสาบ Pangong -Merak ถ้าจะไป Tso moriri ต่อจากเส้นนี้ต้องขอ permit ผ่าน chushul ที่ Tangtse แต่ทางจะลำบากหน่อยเหมือนขี่เลาะชายหาด เส้นนี้กำลังทำทางเพิ่มอีกหน่อยอาจจะต่อลงไปถึง Kaza(spiti valley)ได้เลยมั้ง
2. manali อันนี้เป็น permit ขาขึ้นไปเลห์ ทำในเน็ทอย่างเดียว (
http://admis.hp.nic.in/ngtkullu/ ) ต้องเช่ารถก่อนถึงจะทำได้ ตรงนี้จะโดนกันเยอะ ข้างๆ ในตู้คอนเทนเนอจะมีคนคอยรอช่วยท่านอยู่ ราคาแล้วแต่ตกลง
เช่ารถ
รถมอเตอร์ไซที่อินเดีย มีแต่ Royal Enfield ราคารถใหม่ไม่ถึงแสน+อะไหล่ถูกกกกกมากกกกๆๆๆๆ รถใหม่ซ่อมศูนย์ฟรีค่าแรงอีก
(เน้นเช่ารถใหม่ๆ ปีนั้นๆนะคับ เพราะทางค่อนข้างโหด + เอกสารรถ ต้องพร้อม เพราะไปไกลด่านเยอะมาก ) มี3รุ่น
1.Bullet 350 ด้วยน.น ตัวรถ + ทางขึ้นเขา บอกเลยว่า 350 cc. ไม่พอ ข้ามไปเลย
2.Bullet 500 เราเลือกตัวนี้ทั้งหมด เพราะว่า ได้รถค่อนข้างใหม่ + 500 cc. กำลังพอดี เพราะเวลาขี่นานๆ แรงจะลดเหลือสัก 150 CC.
3.Himalayan 411cc. ตัวนี้เป็นกึ่งๆวิบาก เหมาะสมในทริปนี้ที่สุด แต่หาได้เพียงคันเดียว + สภาพปีเก่า เลยอดไป
สรุปแล้ว พวกเราประทับใจใน Royal Enfield มากๆ จากบททดสอบ กว่า10 วันบนเส้นทาง Himalayan ถือว่าสอบผ่านเลย
โดยเฉพาะ อัตราสิ้นเปลืองถือว่าประหยัดมากๆ (35+ km/L ) เต็มถังจะได้12 L / ระบบบังลม ไม่มีหม้อน้ำให้ปวดหัว
ด้านโช้คขี่รูดทางขรุขระมาตลอดทาง ไม่มีรั่วสักคัน /ส่วนเครื่องยนต์นั้นมีอืด + มีดับบ้างเวลาขี่นานๆทั้งวัน อาจเป็นเพราะฮีท
ส่วนอะไหล่ต่างๆ ยางในรถ ต้องซื้อเตรียมจาก Leh (มีร้านเดียว เลยวงเวียนหลักตรงมาอีกนิดเดียวทางเส้นไปศรีนากา แล้วยูเทินไปอีกฝั่ง)
กับManali (ร้านมีเยอะมากๆ แต่ศูนย์จะอยู่ลึกลับแต่พวกเราดันบังเอิญเจอซะงั้น ไปทาง Hadimba Rd เกือบสุดทาง แล้วเลี้ยวซ้ายแล้วก็ขวาไปตามทางเล็กๆเรื่อยๆ จะเจอเอง) เท่านั้น
ปั๊มน้ำมัน
ปั๊มน้ำมันจะมีแค่เมืองใหญ่ (เลห์/มานาลี/คาซ่า) ส่วนจากเลห์ ไป มานาลี หรือ ปังกอง เราต้องเติมให้เต็มที่ปั๊มสุดท้าย ห่างจากเลห์ประมาณ 40 km. ก่อนถึงทางแยกเข้าทะเลสาบ กับ วัดHemis จากนั้นจะเลยไปอีก 336++km ถึงจะมีอีกปั๊มที่เมือง Tandi (ขากลับต้องเติมที่นี้ให้เต็ม) แต่ระหว่างทางตามเต๊นขายของทุกๆทางผ่าน จะมีแอบๆขายน้ำมันกันเกือบทุกๆที ราคาจากปกติลิตรละ 70 จะขึ้นเป็น 140-150 รูปีต่อลิตร เราจะเห็นชาวอินเดียมีแกลลอนสำรองไว้เกือบทุกคัน แต่ด้วยความประหยัดของรถ+ความปลอดภัยเราจึงไม่พกกัน
สภาพเส้นทาง
สภาพเส้นทางส่วนใหญ่ทุกที่กว่า 70-80% (วิบากกรรม) เป็นทางกำลังทำถนนทั้งสิ้นสภาพคล้ายๆกันตลอดทริปคือ เป็นดิน+หินแน่นๆขรุขระ เป็นฝุ่น และมีทราย หรือโคลนเล็กน้อยบางจุด แล้วมีน้ำซึ่งมาจากหิมะละลายเป็นน้ำตกเล็กๆให้ข้ามผ่านตลอด ถนนเป็นเลนเดียวส่วนใหญ่ โค้งจะมุมอับ ต้องใช้แตรช่วยตลอด เพราะเราจะจ๊ะเอ๋รถเสมอ จนต้องขี่ตกขอบทางเป็นเรื่องปกติ เราจะได้ทักษะการใช้แตรเลเวล1 กลับมา จะแซงแต่ละทีก็ต้องใช้แตรไม่งั้น รถไม่ยอมให้แซง ความเร็วที่เราใช้เส้นทางนี้อยู่ประมาณไม่เกิน 40-60 km./hr
อีกประมาณ 20-30% เป็นทางถนนเสร็จแล้วจะเจอ เฉพาะ ออกจากLeh กับ ทางจะเข้าไป Manali ความเร็วใช้ได้ประมาณ 60-100km/hr. แต่จะเจอหลุม บ่อ จุดซ่อมถนนดักเป็นจุดๆ เสมอต้องระวังดีๆ รวมถึงหิน และดินที่พร้อมจะสไลลงมาตลอดเวลา

ด้วยระยะทางของฮิมารายัน มากกว่า 2,000km.+++ ที่เราไปมันทดสอบ ทั้งร่างกาย,จิตใจ,ความรู้,ความสามารถต่างๆ ทั้งรถทั้งคน เราจะเจอสภาพถนนทุกรูปแบบในการขับขี่ (ถนน/หิน/ดิน/ทราย/โคลน/น้ำ/หมอกทึบ) รวมถึงสภาพอากาศแดดร้อนจัด รวมไปถึงทั้งหนาวจัด (อุณหภูมิติดลบ เวลาขี่ขึ้นสูงๆผ่านดงหิมะ) จะหนาวมากถ้าขี่กลางคืน ถ้าหากคุณไม่ได้ชอบการขี่รถวิบาก หรือมีทักษะทางด้านนี้ รวมถึงทักษะการยืนขี่ ซึ่งสำคัญมากๆในการขี่รถแนวนี้ มันจะกลายเป็นทริปที่ทรมาร และอันตรายสำหรับคุณได้ ผู้ขับขี่ควรจะขี่ค่อนข้างแข็งระดับหนึ่ง อันตรายและอุบัติเหตุเกิดได้เสมอ เราไปโดยไม่มีรถหรือช่างเซอร์วิส อาศัยประสบการณ์และความรู้แก้สถานการณ์กันเอง ส่วนเส้นทางมีอยู่เส้นเดียวจึงไม่ค่อยเป็นปัญหามาก
กับเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "เส้นทางที่อันตรายและสวยที่สุดเส้นหนึ่งของโลก" มันรอให้พวกคุณไปทำตามความฝันอยู่ ก่อนที่ถนนจะเสร็จนะคับ ขอให้โชคดีในการเดินทางครับทุกท่าน
เที่ยวอินเดีย สไต Backpack + Biker ( Leh Ladakh - Spiti Valley - Manali)
สวัสดีคับ หลังจากที่กลับมาสดๆร้อนๆ จึงกลับมาเขียนกระทู้กันลืม เพื่อเป็นแนวสำหรับคนที่อยากทำตามฝันเหมือนๆกับเราในการไปเที่ยวสัมผัส ความยิ่งใหญ่ของ "หิมาลายัน" เนื่องด้วยประมาณเกือบๆ 2 ปีก่อน ไปเจอกระทู้เกี่ยวกับ Leh เมืองอะไรทำไมมีแต่รูปสวยๆ จึงเริ่มศึกษาข้อมูล แล้วก็ตามล่าฝันกัน ทริปนี้ สะพายเป้ กันไป 3 คนคับ รวมเวลาทั้งหมดเกือบๆ 15 วัน
ตั๋วเครื่องบิน
เท่าที่เห็นมีหลายสายการบิน Jet airway / Indigo / Air India / Go Air / Vistara
แต่เราเลือก Jet Airway เพราะบินตรงจาก สุวรรณภูมิ - ไปเดลี - แล้วอีกวันเช้าบินตรงไปเลห์เลย (ถูกสุดเท่าที่หาได้ตอนนั้น)
(หมายเหตุ 1.สำหรับสิ่งที่ทุกคนกลัวอันดับแรก คือกลิ่นตัว บอกเลยว่าไม่มีเลย เด๋วนี้เค้าหอมกว่าเราแล้ว ยาดมที่เตรียมไปไม่ได้ใช้เลย
2. เครื่องสำอาง ครีมต่างๆ แพ็คให้ดีๆ อาจจะระเบิดออกมาได้
3.อาหารบนเครื่อง ถือเป็นการเจิม อาหารอินเดียมื้อแรก กินๆไปเรื่อยๆ จะเริ่มโอเคเอง บอกแอร์ด้วยว่าขอ non - veg
4.มีเหล้า ไวน์ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ไม่อั้น เติมได้ตลอด
5.อย่านั่งโซนท้ายเครื่อง เป็นห้องน้ำ รับรองว่าคุณจะอยู่ไม่สุขเลย คิวเต็มตลอด)
ขอวีซ่า
เด๋วนี้เค้าเน้นให้ขอผ่าน E-visa ( https://indianvisaonline.gov.in/evisa/ ) ประมาณ 1,700-1,800 บ. จ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิต
เตรียมแสกนรูป + พาสปอต ลองหาข้อมูลสเปคเอาไม่ยาก ใช้เวลา 1วัน ก็ตอบกลับทาง E-mail มาแล้ว
สิ่งของที่ควรเตรียมไป และการเตรียมตัว
1.ยา Daimox กินก่อน 2 วันก่อนไป กินทีละครึ่งเม็ด เช้า+เย็น กินทุกวันจนครบช่วงเวลาที่ไป (ช่วยป้องกันโรคแพ้ความสูงAMS แต่จะฉี่บ่อยขึ้น) และยาลดไข้ (จะมีน้ำมูก + เจ็บคอ เจ็บหัวบ้าง) + โรคประจำตัว ร้านขายยามีแต่เมืองใหญ่ๆ ผมเป็นโรคกระเพราะ ค่อนข้างทรมารมากทริปนี้ โดยเฉพาะเวลาขึ้นที่สูงอาการจะกำเริบหนักมาก
วิธีแก้ AMS จากคำแนะนำคนอินเดีย คือ เราต้องกินน้ำเยอะๆ กับหาที่โล่งสูดอากาศเข้าไปเยอะๆ เดิน เหิน ช้าๆ เวลาอยู่ที่สูง (ถ้าเกินกว่า 4,500 m. ทุกคนจะมีอาการวิงเวียนศีรษะหมด มากน้อยต่างกัน) พอเวลาไปถึงเลห์ให้นอนพักผ่อนทันทีครึ่งวัน เราจะมึนๆหัวเวลานอน พยายามเปิดกระจกไว้เวลานอน แม้จะหนาวแต่ต้องทน ให้ร่างกาปรับสภาพก่อน ค่อยออกไปซ่า
2.ทิชชู เปียก + แห้ง ห้องน้ำนอกจากที่พัก ก็คือ ข้างทางเท่านั้น อาจลำบากมากสำหรับท่านหญิง + บางวันหนาวน้ำอุ่นไม่มี ทิชชูเปียกก็ช่วยได้น้ะ
3.อาหาร สิ่งที่เราเตรียมไปคือ มาม่า+ปลากระป๋อง กับอาหารสำหรับอุ่นน้ำร้อน แทบไม่ได้กินเพราะระหว่างทางไม่มีน้ำอุ่น ไม่มี7-11 มีแต่ภูเขา
ถ้าจะแนะนำคือ ซอสแม็กกี้ + นมข้น จะช่วยชีวิตเราได้มาก เพราะตามทั่วไปจะมีไข่ กับโรตี ที่เราพอจะแลกินได้
แต่หลังๆ เริ่มฉลาด สั่งแพ็คอาหารจากร้านในตอนเย็น เพื่อใช้กินระหว่างทางในวันต่อไป
4.ชุด เราไปเน้นขี่มอไซ ชุดขี่กันฝน+ลม กับ เสื้อกันหนาวดีๆสักตัว สำหรับหน้าร้อนที่นี้ถือว่าเอาอยู่
ผ้าคลุมหัว + ผ้าบัฟ + แว่นกันแดดดีๆ (แดดแรงมากๆคับ ขนาดมีแว่น+ครีมกันแดดยังแสบหน้าเลย)
ถุงมือขี่กันหนาว 1 คู่ + ถุงมือวิบาก 1 คู่ เวลาขี่ขึ้นบนดอยเจอหิมะ ตอนกลางคืนใส่ 2 คู่เอาไม่อยู่ ต้องฮีทเตอที่กริปเท่านั้น (ซึ่งไม่มี อดเอา)
รองเท้าบู้ท + ถุงเท้าเยอะๆ ระหว่างทางจะมีน้ำจากหิมะที่ละลายตลอดทางที่เราขี่ผ่านทุกๆที่ ดังนั้นบู้ทจะเปียกทุกๆวันตลอดเวลา(โตแล้ว อดเอา)
หมวกกันน็อค มีให้ยืมพร้อมรถเช่า เน้นหมวกเต็มใบนะคับ ช่วยได้เยอะ หรือใครจะหอบไปเองก็แล้วแต่สะดวก
5. ใบขับขี่สากล ไม่ได้ใช้เลย แต่เตรียมไปก็ดี เพราะรถเช่าถามเหมือนกันว่ามีใบขับขี่มั้ย แต่ตำรวจไม่มีตรวจเลย
6. กล้องดีๆสักตัว ที่นี้คือสวรรของนักถ่ายภาพจริงๆ "หิมาลายัน" เปรียบเสมือน โฉมงาม กับ เจ้าชายอสูร แม้หนทางจะยากลำบาก แต่ก็แฝงความงดงาม อลังการในทุกๆที่จริงๆ
ที่พัก
มีหลายเกรด หลายราคาตั้งแต่ถูก ยันแพง จองไปคืนเดียวก่อน แล้วไปหาที่ๆ เหมาะสมกับ ไลสไตคุณ
หลายๆที่ไฟจะใช้ไม่ได้ต้องชาร์จจากปลั๊กทีวีเท่านั้น ปลั๊กอื่นใช้ไม่ได้ที่เลห์ไม่ต้องใช้ปลั๊กแปลงเสียบได้เลย
Wifi มีแต่ใช้ไม่ได้เลย ยกเว้น ที่ manali น้ำอุ่นไปประมาณ 10 กว่าวัน ใช้ได้ที่เดียว
ป.ล. ราคาที่พักจะถูกกว่าจองในเน็ท เราสามารถต่อรองราคา+อาหารเช้าได้ทุกที(ส่วนใหญ่ราคาไม่รวมอาหารเช้า มีน้อยที่แถมให้)
ขอPermit (เนื่องจากเป็นเมืองใกล้ชายแดนหลายประเทศ)
1.เลห์ พอไปถึงที่พักที่เลห์ก็ขอทำ permit โดยใช้พาสปอร์ตไปทำ มีแบบวันเดียวกับหลายวันราคาก็ต่างกันไป
permit ที่เลห์ อาณาเขตจะใช้ srinaga,Kradung La - nubra - Turtuk , ทะเลสาบ Pangong -Merak ถ้าจะไป Tso moriri ต่อจากเส้นนี้ต้องขอ permit ผ่าน chushul ที่ Tangtse แต่ทางจะลำบากหน่อยเหมือนขี่เลาะชายหาด เส้นนี้กำลังทำทางเพิ่มอีกหน่อยอาจจะต่อลงไปถึง Kaza(spiti valley)ได้เลยมั้ง
2. manali อันนี้เป็น permit ขาขึ้นไปเลห์ ทำในเน็ทอย่างเดียว ( http://admis.hp.nic.in/ngtkullu/ ) ต้องเช่ารถก่อนถึงจะทำได้ ตรงนี้จะโดนกันเยอะ ข้างๆ ในตู้คอนเทนเนอจะมีคนคอยรอช่วยท่านอยู่ ราคาแล้วแต่ตกลง
เช่ารถ
รถมอเตอร์ไซที่อินเดีย มีแต่ Royal Enfield ราคารถใหม่ไม่ถึงแสน+อะไหล่ถูกกกกกมากกกกๆๆๆๆ รถใหม่ซ่อมศูนย์ฟรีค่าแรงอีก
(เน้นเช่ารถใหม่ๆ ปีนั้นๆนะคับ เพราะทางค่อนข้างโหด + เอกสารรถ ต้องพร้อม เพราะไปไกลด่านเยอะมาก ) มี3รุ่น
1.Bullet 350 ด้วยน.น ตัวรถ + ทางขึ้นเขา บอกเลยว่า 350 cc. ไม่พอ ข้ามไปเลย
2.Bullet 500 เราเลือกตัวนี้ทั้งหมด เพราะว่า ได้รถค่อนข้างใหม่ + 500 cc. กำลังพอดี เพราะเวลาขี่นานๆ แรงจะลดเหลือสัก 150 CC.
3.Himalayan 411cc. ตัวนี้เป็นกึ่งๆวิบาก เหมาะสมในทริปนี้ที่สุด แต่หาได้เพียงคันเดียว + สภาพปีเก่า เลยอดไป
สรุปแล้ว พวกเราประทับใจใน Royal Enfield มากๆ จากบททดสอบ กว่า10 วันบนเส้นทาง Himalayan ถือว่าสอบผ่านเลย
โดยเฉพาะ อัตราสิ้นเปลืองถือว่าประหยัดมากๆ (35+ km/L ) เต็มถังจะได้12 L / ระบบบังลม ไม่มีหม้อน้ำให้ปวดหัว
ด้านโช้คขี่รูดทางขรุขระมาตลอดทาง ไม่มีรั่วสักคัน /ส่วนเครื่องยนต์นั้นมีอืด + มีดับบ้างเวลาขี่นานๆทั้งวัน อาจเป็นเพราะฮีท
ส่วนอะไหล่ต่างๆ ยางในรถ ต้องซื้อเตรียมจาก Leh (มีร้านเดียว เลยวงเวียนหลักตรงมาอีกนิดเดียวทางเส้นไปศรีนากา แล้วยูเทินไปอีกฝั่ง)
กับManali (ร้านมีเยอะมากๆ แต่ศูนย์จะอยู่ลึกลับแต่พวกเราดันบังเอิญเจอซะงั้น ไปทาง Hadimba Rd เกือบสุดทาง แล้วเลี้ยวซ้ายแล้วก็ขวาไปตามทางเล็กๆเรื่อยๆ จะเจอเอง) เท่านั้น
ปั๊มน้ำมัน
ปั๊มน้ำมันจะมีแค่เมืองใหญ่ (เลห์/มานาลี/คาซ่า) ส่วนจากเลห์ ไป มานาลี หรือ ปังกอง เราต้องเติมให้เต็มที่ปั๊มสุดท้าย ห่างจากเลห์ประมาณ 40 km. ก่อนถึงทางแยกเข้าทะเลสาบ กับ วัดHemis จากนั้นจะเลยไปอีก 336++km ถึงจะมีอีกปั๊มที่เมือง Tandi (ขากลับต้องเติมที่นี้ให้เต็ม) แต่ระหว่างทางตามเต๊นขายของทุกๆทางผ่าน จะมีแอบๆขายน้ำมันกันเกือบทุกๆที ราคาจากปกติลิตรละ 70 จะขึ้นเป็น 140-150 รูปีต่อลิตร เราจะเห็นชาวอินเดียมีแกลลอนสำรองไว้เกือบทุกคัน แต่ด้วยความประหยัดของรถ+ความปลอดภัยเราจึงไม่พกกัน
สภาพเส้นทาง
สภาพเส้นทางส่วนใหญ่ทุกที่กว่า 70-80% (วิบากกรรม) เป็นทางกำลังทำถนนทั้งสิ้นสภาพคล้ายๆกันตลอดทริปคือ เป็นดิน+หินแน่นๆขรุขระ เป็นฝุ่น และมีทราย หรือโคลนเล็กน้อยบางจุด แล้วมีน้ำซึ่งมาจากหิมะละลายเป็นน้ำตกเล็กๆให้ข้ามผ่านตลอด ถนนเป็นเลนเดียวส่วนใหญ่ โค้งจะมุมอับ ต้องใช้แตรช่วยตลอด เพราะเราจะจ๊ะเอ๋รถเสมอ จนต้องขี่ตกขอบทางเป็นเรื่องปกติ เราจะได้ทักษะการใช้แตรเลเวล1 กลับมา จะแซงแต่ละทีก็ต้องใช้แตรไม่งั้น รถไม่ยอมให้แซง ความเร็วที่เราใช้เส้นทางนี้อยู่ประมาณไม่เกิน 40-60 km./hr
อีกประมาณ 20-30% เป็นทางถนนเสร็จแล้วจะเจอ เฉพาะ ออกจากLeh กับ ทางจะเข้าไป Manali ความเร็วใช้ได้ประมาณ 60-100km/hr. แต่จะเจอหลุม บ่อ จุดซ่อมถนนดักเป็นจุดๆ เสมอต้องระวังดีๆ รวมถึงหิน และดินที่พร้อมจะสไลลงมาตลอดเวลา
ด้วยระยะทางของฮิมารายัน มากกว่า 2,000km.+++ ที่เราไปมันทดสอบ ทั้งร่างกาย,จิตใจ,ความรู้,ความสามารถต่างๆ ทั้งรถทั้งคน เราจะเจอสภาพถนนทุกรูปแบบในการขับขี่ (ถนน/หิน/ดิน/ทราย/โคลน/น้ำ/หมอกทึบ) รวมถึงสภาพอากาศแดดร้อนจัด รวมไปถึงทั้งหนาวจัด (อุณหภูมิติดลบ เวลาขี่ขึ้นสูงๆผ่านดงหิมะ) จะหนาวมากถ้าขี่กลางคืน ถ้าหากคุณไม่ได้ชอบการขี่รถวิบาก หรือมีทักษะทางด้านนี้ รวมถึงทักษะการยืนขี่ ซึ่งสำคัญมากๆในการขี่รถแนวนี้ มันจะกลายเป็นทริปที่ทรมาร และอันตรายสำหรับคุณได้ ผู้ขับขี่ควรจะขี่ค่อนข้างแข็งระดับหนึ่ง อันตรายและอุบัติเหตุเกิดได้เสมอ เราไปโดยไม่มีรถหรือช่างเซอร์วิส อาศัยประสบการณ์และความรู้แก้สถานการณ์กันเอง ส่วนเส้นทางมีอยู่เส้นเดียวจึงไม่ค่อยเป็นปัญหามาก
กับเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "เส้นทางที่อันตรายและสวยที่สุดเส้นหนึ่งของโลก" มันรอให้พวกคุณไปทำตามความฝันอยู่ ก่อนที่ถนนจะเสร็จนะคับ ขอให้โชคดีในการเดินทางครับทุกท่าน