[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Credit
https://www.google.com/search?q=blautopf+blaubeuren&as_st=y&tbm=isch&source=lnms&sa=X&ved=0ahUKEwjUuNKr06vVAhWByLwKHQzjBNMQ_AUICigB&biw=1348&bih=634&dpr=1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ชีวิตนักเรียนสาวไทยในเยอรมัน
เรื่องแต่งจากสถานที่จริง และเป็นเรื่องยาวย้อนยุคราวปี 1974 ที่ดีที่สุดที่เขียนได้ค่ะ ในนามปากกา ' พลอยแดง ' ทุกรอยยิ้มที่เกิดถือ
เป็นความตั้งใจที่มอบให้ผู้อ่านนะคะ
Goethe Institut,Blautopf Blaubeuren , ULM
“Aufwiedersehen!” เสียงที่เปล่งออกมาจากนักเรียนทั้งหลายต่อด้วยเสียงเก้าอี้ลากเลื่อนจาการลุกขึ้นของเหล่านักเรียนก็ดังขึ้นมาแทน อาจารย์ฝรั่งสาวก็เดินออกจากห้องไป
ชั่วโมงแรก วันแรก ในโรงเรียนสอนภาษาเยอรมัน ศิรินทร์ได้พบเพื่อนๆร่วมห้องหลายคน อย่าเรียกว่ารู้จักเลย เพราะชื่อเพื่อนๆศิรินทร์ยังจำไม่ได้เลย จะมีก็โรเบิร์ต ลอร่า และแอนนี่เพื่อนร่วมห้องนอน และอีกหลายต่อหลายคนที่มีสายตาเป็นมิตร ถึงจะมาจากเช็คโกสโลวาเกีย อเมริกาใต้ เวียตนาม อินโดนีเชียและอีกหลายประเทศ แต่ส่วนมากเป็นผู้ชายแทบทั้งสิ้น มีผู้หญิงสี่คนในจำนวนยี่สิบคนในวันแรกที่เห็น
หลังเลิกเรียน ศิรินทร์ก็เดินกลับบ้านกับแอนนี่ เพราะไม่รู้จะทำอะไรไปมากกว่านั้น แอนนี่เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดี ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นฝรั่งทั้งตัวทั้งนิสัย รูปร่างหน้าตาก็จัดว่าสวย ตัวใหญ่ไปหน่อยถ้าเทียบกับศิรินทร์ เธอโตกว่าศิรินทร์สักเจ็ดกิโลกรัม น้ำหนัก สูงกว่าศิรินทร์ ตาสีน้ำตาลอมเทา ผมสีน้ำตาลทอง ขนตางอนเช้ง และที่สำคัญเธอชอบใส่ชุดชั้นในเดินรอบๆห้องในห้องที่แม่บ้านแบ่งให้นักเรียนเช่าอยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสอนภาษา และไม่ไกลจากย่านชุมชน แถมอยู่ใกล้บ่อน้ำสีน้ำเงิน (Blautopf) ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อของเมืองนี้ด้วย
“ ศิรี มีจดหมายของเธอนะ” แอนนี่ร้องบอก ศิรินทร์เหลียวไปมองแอนนี่ส่งจดหมายที่หยิบติดมือเข้ามาในห้อง
“ ขอบคุณมาก” หล่อนพูดรีบรับมาดู จำได้ว่าเป็นลายมือพี่ใหญ่ พี่ชายคนโต หล่อนได้เขียนจดหมายไปบอกล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะมาเรียนภาษาที่เมื่องเล็กๆทางใต้นี่ จดหมายนี้เป็นฉบับแรกที่ได้รับ ความยินดีจึงปรากฏกับตนเองอย่างมาก หล่อนนั่งลงบนปลายเตียงนอนเปิดจดหมายออกอ่าน ได้ความว่า พี่ใหญ่ส่งเงินผ่านมาทางสำนักงานดูแลนักเรียนแล้ว บอกถึงความเป็นห่วงของแม่ในเรื่องกินเรื่องอยู่ แล้วบอกให้ตั้งใจเรียนที่ต้องไม่ลืมคือ เขียนจดหมายไปเล่าให้ทางบ้านฟังบ้าง...
“ จากเมืองไทยรึ” แอนนี่ถามเมื่อศิรินทร์พับจดหมายเก็บ
“ ใช่ จากครอบครัวฉัน”
“ ครอบครัวเธอใหญ่ไหม”
“ ก็ไม่ใหญ่มาก มีพี่น้องห้าคน หญิงสาม ชายสอง ฉันเป็นคนที่สี่ มีน้องสาวคนหนึ่ง” ศิรินทร์เรียงประโยคก่อนตอบหล่อน
“ เธอจะเรียนอะไรล่ะ” แอนนี่ดูจะพูดเยอรมันคล่องปากขึ้นมาอีกหน่อย
“ ฉันตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ เพราะฉันสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้ ที่นั่นมีมหาวิทยาลัยไม่มาก แล้วฉันก็อยากมาที่นี่ด้วย”
แอนนี่ไม่ได้ถามอะไรต่อเมื่อศิรินทร์ลุกเอาจดหมายไปเก็บในลิ้นชักโต๊ะ แอนนี่ชอบอ่านพ็อคเก็ตบุ๊ค หล่อนอ่านเงียบอยู่ทั้งวันในบางวันหยุด ศิรินทร์ก็เลยหยิบตำรามาอ่านบ้าง ภาษาเยอรมันศิรินทร์คิดว่ายาก มันยากกว่าภาษาอังกฤษที่หล่อนเคยเรียนเสียอีก ครูยังสอนไปไม่ได้เท่าไร เพราะมัว
แต่ฝึกฟังเสียงพูดและอ่านตามครู หัดออกเสียงคำยากๆ การเรียนไม่รีบร้อน แต่ศิรินทร์ต้องหัดพูดประโยคที่จำเป็น เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้
“ ศิรี วันอาทิตย์นี้ไปเดินเล่นกันไหม” เสียงแอนนี่ถามมา
“ โอเค ไปได้” ศิรินทร์อยากพูดมากกว่านั้น แต่พูดไม่ออก เลยบอกว่า คิดว่าอากาศคงดี
“ เธออยากดื่มกาแฟไหม” หล่อนถามอีก
“ ไม่ละ ขอบคุณ” ศิรินทร์ไม่ชอบดื่มกาแฟ เพราะทำให้หล่อนนอนไม่หลับ หล่อนเคยชินกับชามากกว่า สำหรับอากาศเย็นๆอย่างนี้การได้ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆย่อมเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว
แอนนี่คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับชุดที่ใส่ แล้วเดินไปในห้องครัวที่อยู่ประตูตรงข้ามถัดออกไปหน่อย สักครู่ก็กลับมาพร้อมถ้วยกาแฟส่งกลิ่นหอมเอามาวางบนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง จิบกาแฟตาทอดอ่านหนังสือที่อ่านค้างอยู่ ศิรินทร์ทำอย่างที่เคยทำทุกๆวันคือ นอนอ่านหนังสือเรียนแล้วก็หลับไปกับหนังสือ
สัปดาห์หนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ศิรินทร์เริ่มจะคุ้นเคยกับสถานที่ทั้งโรงเรียนและที่บ้าน โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใจดี อายุเจ็ดสิบปี สูงผอม ใส่แว่นตากลมสีขาว ผมรวบเกล้าไปข้างหลังสีขาวหมดศีรษะแล้ว หล่อนมีโอกาสได้พูดคุยและดูแม่บ้านทำขนมปังไว้ทาน แม่บ้านพูดให้ฟังว่า ผู้หญิงจะแต่งงานได้ จะต้องสามารถนวดแป้งด้วยไม้กลึงนวดแป้งได้จนแป้งเป็นแผ่นกลมได้ ศิรินทร์ก็เลยได้ลองนวดแป้งจนกลมได้ ไม่ยาก หล่อนคิด หล่อนดีใจที่แม่บ้านชมว่าเก่ง และในระยะนี้แม่บ้านก็มักชวนหล่อนตามไปซื้อของที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆบ้าน โดยหล่อนอาสาเป็นผู้ถือข้าวของให้แม่บ้าน ซึ่งแม่บ้านก็แนะนำหล่อนอวดผู้คนที่รู้จักว่า หล่อนมาจากเมืองไทย หลายคนมองหล่อนอย่างเอ็นดูที่สนใจมากคือเส้นผมดำยาวเลยบ่าเป็นแพรไหมของหล่อน
สองเดือนผ่านไปแล้ว พี่สมศักดิ์พี่ของเพื่อนจากเมืองไทยที่เป็นคนติดต่อโรงเรียนภาษาให้ ทั้งแนะนำสิ่งต่างๆที่ควรรู้ก่อนจะมาอยู่ที่เยอรมัน โดยพี่สมศักดิ์เป็นผู้ไปรับหล่อนจากสนามบินพักอยู่บ้านเพื่อนหนึ่งวัน ก่อนจะนำหล่อนมาส่งให้แม่บ้านที่รับเด็กต่างชาติที่จะเรียนภาษาที่เกอเธ่แห่งนี้
วันนี้พี่สมศักดิ์ไม่ได้มาเยี่ยมหากแต่โทรมาถามข่าวคราวเช็คความเป็นอยู่ ซึ่งหล่อนก็ดีใจมากที่ได้พูดภาษาไทยออกมา หล่อนไม่มีโอกาสได้พูดไทยเลย พี่สมศักดิ์เคยมาดูหล่อนหนหนึ่ง เห็นหล่อนอยู่สุขสบายเพราะปรับตัวได้ดีกับแม่บ้านก็เลยหายห่วงทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาเยี่ยมอีก
หลังจากคุยโทรศัพท์กับพี่สมศักดิ์แล้ว หล่อนรู้สึกเหมือนเหงามาก ตั้งใจออกไปเดินเล่นดูผู้คนที่มาชมเมืองท่องเที่ยวแถวนี้ เมื่อหล่อนอาบน้ำสระผมดังปฏิบัติเป็นประจำทุกอาทิตย์ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที แดดบางๆท้องฟ้าแจ่มใสดีนัก หล่อนสวมแจ็กเก็ตตัวบางทับเสื้อเสว็ตเตอร์อีกที ใส่กางเกงตัวหนาสวมถุงเท้าและรองเท้าหนังชามัวร์สีน้ำตาล หล่อนกะว่าจะเดินไปให้ไกลจากบ้านสักหน่อย นานๆจะมีแดดดีอย่างวันนี้สักที
แค่เดินเข้าเขตถนนที่ป้ายชี้แสดงให้นักท่องเที่ยวเดิน หล่อนก็อยากเปลี่ยนใจเสียดื้อๆ เพราะเป็นวันที่นักท่องเที่ยวต่างเมืองมาเที่ยวกันอย่างมากมาย คงเป็นเพราะอากาศดีนั่นเอง ศิรินทร์เดินเลาะมาทางลำธารน้ำที่ล้นมาจากบ่อน้ำสีน้ำเงินนั่น มองเห็นโบสถ์ที่อยู่ข้างๆสะท้อนภาพอยู่ในลำธารดูสวย แปลกตา แนวต้นไม้ข้างลำธารยาว ลัดเลาะไปสุดทางโน้น ใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มตกเกลื่อนพื้น ด้วยกำลังจะพ้นฤดูร้อน ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ดูแล้วใจเหี่ยวแห้งตามใบไม้ หล่อนจำได้ว่าใบไม้มีลักษณะเหมือนใบเมเปิ้ลที่หล่อนเคยเห็น เมื่อเดินตามทางทอดเลี้ยวขนานกับลำธารไปเรื่อยๆ ห่างไกลจากบ้านมามากนักแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเพราะเข้าใกล้แนวต้นไม้ทึบ ไม่มีแสงแดดลอดส่องลงมา
หล่อนคว้าใบไม้สวยถูกใจมาใบหนึ่ง เดินถือกวัดแกว่งอ้อมทางเดิมเพื่อกลับสู่ทางไปบ้านระยะอีกไม่ไกลนักก็มีความรู้สึกบางอย่างต้องหันไปทางซ้าย ก็พบกับรอยยิ้มผูกไมตรีส่งมาจากหนุ่มชาวเอเชียสองคน หนุ่มหนึ่งหน้าตาดี ค่อนข้างเจ้าเนื้อ อีกหนุ่มผิวคล้ำกว่า หน้าเข้มจมูกโด่งเหมือนแขก หล่อนเผลอยิ้มตอบนึกอะไรไม่ทัน ส่งยิ้มแบบไทยๆไป ทั้งสองเดินเข้ามาหา ใกล้แค่นี้สัญชาตญาณบางอย่างบอกได้ว่า เขาอาจเป็นคนไทยทั้งคู่ เพราะดูว่าใช่คนเดียว คือคนที่ยิ้มมากนั่นแหละ อีกคนอาจเป็นอินโดก็ได้ แต่เขาคงไม่แน่ใจดังหล่อนหรอก เพราะหล่อนรู้ตัวดีว่า หล่อนดูไม่ค่อยเหมือนคนไทย ไม่ออกฝรั่งเสียด้วย หล่อนดูเหมือนจีนมากกว่า ตัวหล่อนรู้จักลักษณะตัวเองจากภายนอกแค่นี้ แล้วจะไม่ให้หนุ่มแปลกหน้าลังเลได้อย่างไร หล่อนหยุดคิดแล้วทักออกไปเลยว่า
“ สวัสดีค่ะ” หล่อนมั่นใจว่าทักไม่ผิด
“ สวัสดีครับ” คนที่ยิ้มมากตอบรับอย่างยินดี
“ ผมก็คิดว่าคุณน่าจะใช่คนไทยนะครับ ถึงดูๆอยู่” เขากล่าวประโยคตามมา
หล่อนยิ้มไปทั้งหน้า
“ จริงๆแล้วใครๆก็คิดว่าเหมือนจีนหรือเวียตนามค่ะ ที่นี่เขาทักว่าเป็นจีนค่ะ คนเอเชียเขาคิดว่าเป็นจีนหมด”
“ เห็นไหมล่ะนัด” เขาหันไปพูดกับเพื่อน "เอ้อ...นัดเขาบอกว่าลองเดินตามดูก่อน เห็นคุณไม่ถือกระเป๋า คิดว่าพักอยู่ใกล้ๆนี้ครับ”
หล่อนหันมาสบตาคนที่ยังไม่ได้พูดเลย แต่ฉลาดคิดคนนั้น
“ อ้อ ใช่ค่ะ ดิฉันพักอยู่ใกล้ๆนี่แหละค่ะ คุณมาเที่ยวเหรอคะ”
“ ผมชื่อชัยยศครับ นี่วันนัดครับ อาทิตย์นี้ว่างก็เลยมาเยี่ยมบ้านคนรู้จักที่นอยอูล์ม ( Neu Ulm)นี่ครับ แล้วก็เลยมาลองเที่ยวที่นี่บ้าง เพราะยังไม่เคยมาสักที อากาศดีมากนะครับวันนี้” เขาพูดยาวเชียว คงเดินตามมานานด้วยกระมัง
“ ค่ะ ชื่อศิรินทร์ค่ะ” ไม่ทราบจะตอบยาวกว่านี้ได้อย่างไร คนที่ชื่อวันนัดก็คงยิ้มในหน้า ปิดปากเงียบเช่นเดิม
“ ถ้าคุณศิรินทร์ไม่รังเกียจและพอมีเวลา ผมคิดว่าหาที่คุยกันหน่อย ดีไหมครับ” ชัยยศเอ่ยชวนมองหาที่นั่ง
“ ก็ดีค่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ศิยังไม่เคยเจอคนไทย คนอื่นเลยจริงๆ” หล่อนรับคำอย่างดีใจ ที่ได้พบคนไทยโดยมิได้นึกหมายมาก่อน
“ ศิว่าไปร้านโน้นดีไหมคะ” ร้านที่หล่อนชี้เป็นร้านที่วางโต๊ะเก้าอี้ออกมานอกร้านบนฟุตปาธ รับอากาศแบบฤดูร้อนอย่างเต็มที่
เมื่อเลือกที่นั่งห่างจากนักท่องเที่ยวพอสมควรแล้ว ศิรินทร์เอ่ยถามอย่างกับมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของถิ่นว่า
“ คุณจะดื่มอะไรดีคะ” หล่อนถามไม่เจาะจงตัว
“ ขอกาแฟดีกว่านะครับ นะยศ” คุณวันนัดพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ ของคุณศิรินทร์ล่ะครับ”
“ กาแฟเหมือนกันก็ได้ค่ะ” หล่อนบอกตามเขาไป ทั้งๆที่ไม่ชอบกาแฟ
ชัยยศมองหาบริกร ศิรินทร์ก็มองหาบริกรด้วย เมื่อชัยยศสั่งแล้วตวัดสายตากลับมาเจอวันนัดมองหล่อนอยู่แล้ว
“ ผมไม่นึกว่าจะมีคนไทยอยู่ที่นี่ อยู่นานหรือยังครับ” ชัยยศถามหล่อน
“ อยู่ได้เกือบสามเดือนแล้วละค่ะ เรียนภาษาที่นี่ค่ะ แต่พักกับแม่บ้านใกล้ๆนี่ค่ะ” หล่อนชี้ทิศทางบ้าน
“ งั้นคุณศิรินทร์ก็อยู่อีกไม่นานสิครับ”
“ ค่ะ เรียนภาษาจบก็คงย้ายไปที่โคโลญจน์ค่ะ”
“เหรอครับ อยู่ที่นี่เหงาไหมครับ ไม่มีคนไทยเลย” ชัยยศชวนคุยไปเรื่อยๆ
“ เรื่องเหงาอย่าพูดเลยค่ะ ศิเดินนับต้นไม้ริมทางนี่ไม่รู้จักกี่เที่ยวแล้วค่ะ เพราะเดินเล่นบ่อยๆ ไม่รู้จะไปไหนค่ะ” หล่อนยิ้มประกอบคำพูด
“ งั้นคราวหน้าผมมาใหม่ได้ไหมครับ หรือถ้าว่างก็ไปเที่ยวเมืองผมบ้างดีไหมครับ มีคนไทยหลายคน แต่ผู้หญิงไม่ค่อยมีนะครับ”
“ ไกลไหมคะ คุณอยู่เมืองไหนคะ”
(มีต่อ)
💧💦🌊หอรักริมไรน์ (อยู่เมืองฝรั่ง)ชีวิตนักเรียนไทยในเยอรมัน 🌊💦💧
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Goethe Institut,Blautopf Blaubeuren , ULM
“Aufwiedersehen!” เสียงที่เปล่งออกมาจากนักเรียนทั้งหลายต่อด้วยเสียงเก้าอี้ลากเลื่อนจาการลุกขึ้นของเหล่านักเรียนก็ดังขึ้นมาแทน อาจารย์ฝรั่งสาวก็เดินออกจากห้องไป
ชั่วโมงแรก วันแรก ในโรงเรียนสอนภาษาเยอรมัน ศิรินทร์ได้พบเพื่อนๆร่วมห้องหลายคน อย่าเรียกว่ารู้จักเลย เพราะชื่อเพื่อนๆศิรินทร์ยังจำไม่ได้เลย จะมีก็โรเบิร์ต ลอร่า และแอนนี่เพื่อนร่วมห้องนอน และอีกหลายต่อหลายคนที่มีสายตาเป็นมิตร ถึงจะมาจากเช็คโกสโลวาเกีย อเมริกาใต้ เวียตนาม อินโดนีเชียและอีกหลายประเทศ แต่ส่วนมากเป็นผู้ชายแทบทั้งสิ้น มีผู้หญิงสี่คนในจำนวนยี่สิบคนในวันแรกที่เห็น
หลังเลิกเรียน ศิรินทร์ก็เดินกลับบ้านกับแอนนี่ เพราะไม่รู้จะทำอะไรไปมากกว่านั้น แอนนี่เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดี ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นฝรั่งทั้งตัวทั้งนิสัย รูปร่างหน้าตาก็จัดว่าสวย ตัวใหญ่ไปหน่อยถ้าเทียบกับศิรินทร์ เธอโตกว่าศิรินทร์สักเจ็ดกิโลกรัม น้ำหนัก สูงกว่าศิรินทร์ ตาสีน้ำตาลอมเทา ผมสีน้ำตาลทอง ขนตางอนเช้ง และที่สำคัญเธอชอบใส่ชุดชั้นในเดินรอบๆห้องในห้องที่แม่บ้านแบ่งให้นักเรียนเช่าอยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสอนภาษา และไม่ไกลจากย่านชุมชน แถมอยู่ใกล้บ่อน้ำสีน้ำเงิน (Blautopf) ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อของเมืองนี้ด้วย
“ ศิรี มีจดหมายของเธอนะ” แอนนี่ร้องบอก ศิรินทร์เหลียวไปมองแอนนี่ส่งจดหมายที่หยิบติดมือเข้ามาในห้อง
“ ขอบคุณมาก” หล่อนพูดรีบรับมาดู จำได้ว่าเป็นลายมือพี่ใหญ่ พี่ชายคนโต หล่อนได้เขียนจดหมายไปบอกล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะมาเรียนภาษาที่เมื่องเล็กๆทางใต้นี่ จดหมายนี้เป็นฉบับแรกที่ได้รับ ความยินดีจึงปรากฏกับตนเองอย่างมาก หล่อนนั่งลงบนปลายเตียงนอนเปิดจดหมายออกอ่าน ได้ความว่า พี่ใหญ่ส่งเงินผ่านมาทางสำนักงานดูแลนักเรียนแล้ว บอกถึงความเป็นห่วงของแม่ในเรื่องกินเรื่องอยู่ แล้วบอกให้ตั้งใจเรียนที่ต้องไม่ลืมคือ เขียนจดหมายไปเล่าให้ทางบ้านฟังบ้าง...
“ จากเมืองไทยรึ” แอนนี่ถามเมื่อศิรินทร์พับจดหมายเก็บ
“ ใช่ จากครอบครัวฉัน”
“ ครอบครัวเธอใหญ่ไหม”
“ ก็ไม่ใหญ่มาก มีพี่น้องห้าคน หญิงสาม ชายสอง ฉันเป็นคนที่สี่ มีน้องสาวคนหนึ่ง” ศิรินทร์เรียงประโยคก่อนตอบหล่อน
“ เธอจะเรียนอะไรล่ะ” แอนนี่ดูจะพูดเยอรมันคล่องปากขึ้นมาอีกหน่อย
“ ฉันตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ เพราะฉันสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้ ที่นั่นมีมหาวิทยาลัยไม่มาก แล้วฉันก็อยากมาที่นี่ด้วย”
แอนนี่ไม่ได้ถามอะไรต่อเมื่อศิรินทร์ลุกเอาจดหมายไปเก็บในลิ้นชักโต๊ะ แอนนี่ชอบอ่านพ็อคเก็ตบุ๊ค หล่อนอ่านเงียบอยู่ทั้งวันในบางวันหยุด ศิรินทร์ก็เลยหยิบตำรามาอ่านบ้าง ภาษาเยอรมันศิรินทร์คิดว่ายาก มันยากกว่าภาษาอังกฤษที่หล่อนเคยเรียนเสียอีก ครูยังสอนไปไม่ได้เท่าไร เพราะมัว
แต่ฝึกฟังเสียงพูดและอ่านตามครู หัดออกเสียงคำยากๆ การเรียนไม่รีบร้อน แต่ศิรินทร์ต้องหัดพูดประโยคที่จำเป็น เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้
“ ศิรี วันอาทิตย์นี้ไปเดินเล่นกันไหม” เสียงแอนนี่ถามมา
“ โอเค ไปได้” ศิรินทร์อยากพูดมากกว่านั้น แต่พูดไม่ออก เลยบอกว่า คิดว่าอากาศคงดี
“ เธออยากดื่มกาแฟไหม” หล่อนถามอีก
“ ไม่ละ ขอบคุณ” ศิรินทร์ไม่ชอบดื่มกาแฟ เพราะทำให้หล่อนนอนไม่หลับ หล่อนเคยชินกับชามากกว่า สำหรับอากาศเย็นๆอย่างนี้การได้ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆย่อมเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว
แอนนี่คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับชุดที่ใส่ แล้วเดินไปในห้องครัวที่อยู่ประตูตรงข้ามถัดออกไปหน่อย สักครู่ก็กลับมาพร้อมถ้วยกาแฟส่งกลิ่นหอมเอามาวางบนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง จิบกาแฟตาทอดอ่านหนังสือที่อ่านค้างอยู่ ศิรินทร์ทำอย่างที่เคยทำทุกๆวันคือ นอนอ่านหนังสือเรียนแล้วก็หลับไปกับหนังสือ
สัปดาห์หนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ศิรินทร์เริ่มจะคุ้นเคยกับสถานที่ทั้งโรงเรียนและที่บ้าน โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใจดี อายุเจ็ดสิบปี สูงผอม ใส่แว่นตากลมสีขาว ผมรวบเกล้าไปข้างหลังสีขาวหมดศีรษะแล้ว หล่อนมีโอกาสได้พูดคุยและดูแม่บ้านทำขนมปังไว้ทาน แม่บ้านพูดให้ฟังว่า ผู้หญิงจะแต่งงานได้ จะต้องสามารถนวดแป้งด้วยไม้กลึงนวดแป้งได้จนแป้งเป็นแผ่นกลมได้ ศิรินทร์ก็เลยได้ลองนวดแป้งจนกลมได้ ไม่ยาก หล่อนคิด หล่อนดีใจที่แม่บ้านชมว่าเก่ง และในระยะนี้แม่บ้านก็มักชวนหล่อนตามไปซื้อของที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆบ้าน โดยหล่อนอาสาเป็นผู้ถือข้าวของให้แม่บ้าน ซึ่งแม่บ้านก็แนะนำหล่อนอวดผู้คนที่รู้จักว่า หล่อนมาจากเมืองไทย หลายคนมองหล่อนอย่างเอ็นดูที่สนใจมากคือเส้นผมดำยาวเลยบ่าเป็นแพรไหมของหล่อน
สองเดือนผ่านไปแล้ว พี่สมศักดิ์พี่ของเพื่อนจากเมืองไทยที่เป็นคนติดต่อโรงเรียนภาษาให้ ทั้งแนะนำสิ่งต่างๆที่ควรรู้ก่อนจะมาอยู่ที่เยอรมัน โดยพี่สมศักดิ์เป็นผู้ไปรับหล่อนจากสนามบินพักอยู่บ้านเพื่อนหนึ่งวัน ก่อนจะนำหล่อนมาส่งให้แม่บ้านที่รับเด็กต่างชาติที่จะเรียนภาษาที่เกอเธ่แห่งนี้
วันนี้พี่สมศักดิ์ไม่ได้มาเยี่ยมหากแต่โทรมาถามข่าวคราวเช็คความเป็นอยู่ ซึ่งหล่อนก็ดีใจมากที่ได้พูดภาษาไทยออกมา หล่อนไม่มีโอกาสได้พูดไทยเลย พี่สมศักดิ์เคยมาดูหล่อนหนหนึ่ง เห็นหล่อนอยู่สุขสบายเพราะปรับตัวได้ดีกับแม่บ้านก็เลยหายห่วงทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาเยี่ยมอีก
หลังจากคุยโทรศัพท์กับพี่สมศักดิ์แล้ว หล่อนรู้สึกเหมือนเหงามาก ตั้งใจออกไปเดินเล่นดูผู้คนที่มาชมเมืองท่องเที่ยวแถวนี้ เมื่อหล่อนอาบน้ำสระผมดังปฏิบัติเป็นประจำทุกอาทิตย์ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที แดดบางๆท้องฟ้าแจ่มใสดีนัก หล่อนสวมแจ็กเก็ตตัวบางทับเสื้อเสว็ตเตอร์อีกที ใส่กางเกงตัวหนาสวมถุงเท้าและรองเท้าหนังชามัวร์สีน้ำตาล หล่อนกะว่าจะเดินไปให้ไกลจากบ้านสักหน่อย นานๆจะมีแดดดีอย่างวันนี้สักที
แค่เดินเข้าเขตถนนที่ป้ายชี้แสดงให้นักท่องเที่ยวเดิน หล่อนก็อยากเปลี่ยนใจเสียดื้อๆ เพราะเป็นวันที่นักท่องเที่ยวต่างเมืองมาเที่ยวกันอย่างมากมาย คงเป็นเพราะอากาศดีนั่นเอง ศิรินทร์เดินเลาะมาทางลำธารน้ำที่ล้นมาจากบ่อน้ำสีน้ำเงินนั่น มองเห็นโบสถ์ที่อยู่ข้างๆสะท้อนภาพอยู่ในลำธารดูสวย แปลกตา แนวต้นไม้ข้างลำธารยาว ลัดเลาะไปสุดทางโน้น ใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มตกเกลื่อนพื้น ด้วยกำลังจะพ้นฤดูร้อน ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ดูแล้วใจเหี่ยวแห้งตามใบไม้ หล่อนจำได้ว่าใบไม้มีลักษณะเหมือนใบเมเปิ้ลที่หล่อนเคยเห็น เมื่อเดินตามทางทอดเลี้ยวขนานกับลำธารไปเรื่อยๆ ห่างไกลจากบ้านมามากนักแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเพราะเข้าใกล้แนวต้นไม้ทึบ ไม่มีแสงแดดลอดส่องลงมา
หล่อนคว้าใบไม้สวยถูกใจมาใบหนึ่ง เดินถือกวัดแกว่งอ้อมทางเดิมเพื่อกลับสู่ทางไปบ้านระยะอีกไม่ไกลนักก็มีความรู้สึกบางอย่างต้องหันไปทางซ้าย ก็พบกับรอยยิ้มผูกไมตรีส่งมาจากหนุ่มชาวเอเชียสองคน หนุ่มหนึ่งหน้าตาดี ค่อนข้างเจ้าเนื้อ อีกหนุ่มผิวคล้ำกว่า หน้าเข้มจมูกโด่งเหมือนแขก หล่อนเผลอยิ้มตอบนึกอะไรไม่ทัน ส่งยิ้มแบบไทยๆไป ทั้งสองเดินเข้ามาหา ใกล้แค่นี้สัญชาตญาณบางอย่างบอกได้ว่า เขาอาจเป็นคนไทยทั้งคู่ เพราะดูว่าใช่คนเดียว คือคนที่ยิ้มมากนั่นแหละ อีกคนอาจเป็นอินโดก็ได้ แต่เขาคงไม่แน่ใจดังหล่อนหรอก เพราะหล่อนรู้ตัวดีว่า หล่อนดูไม่ค่อยเหมือนคนไทย ไม่ออกฝรั่งเสียด้วย หล่อนดูเหมือนจีนมากกว่า ตัวหล่อนรู้จักลักษณะตัวเองจากภายนอกแค่นี้ แล้วจะไม่ให้หนุ่มแปลกหน้าลังเลได้อย่างไร หล่อนหยุดคิดแล้วทักออกไปเลยว่า
“ สวัสดีค่ะ” หล่อนมั่นใจว่าทักไม่ผิด
“ สวัสดีครับ” คนที่ยิ้มมากตอบรับอย่างยินดี
“ ผมก็คิดว่าคุณน่าจะใช่คนไทยนะครับ ถึงดูๆอยู่” เขากล่าวประโยคตามมา
หล่อนยิ้มไปทั้งหน้า
“ จริงๆแล้วใครๆก็คิดว่าเหมือนจีนหรือเวียตนามค่ะ ที่นี่เขาทักว่าเป็นจีนค่ะ คนเอเชียเขาคิดว่าเป็นจีนหมด”
“ เห็นไหมล่ะนัด” เขาหันไปพูดกับเพื่อน "เอ้อ...นัดเขาบอกว่าลองเดินตามดูก่อน เห็นคุณไม่ถือกระเป๋า คิดว่าพักอยู่ใกล้ๆนี้ครับ”
หล่อนหันมาสบตาคนที่ยังไม่ได้พูดเลย แต่ฉลาดคิดคนนั้น
“ อ้อ ใช่ค่ะ ดิฉันพักอยู่ใกล้ๆนี่แหละค่ะ คุณมาเที่ยวเหรอคะ”
“ ผมชื่อชัยยศครับ นี่วันนัดครับ อาทิตย์นี้ว่างก็เลยมาเยี่ยมบ้านคนรู้จักที่นอยอูล์ม ( Neu Ulm)นี่ครับ แล้วก็เลยมาลองเที่ยวที่นี่บ้าง เพราะยังไม่เคยมาสักที อากาศดีมากนะครับวันนี้” เขาพูดยาวเชียว คงเดินตามมานานด้วยกระมัง
“ ค่ะ ชื่อศิรินทร์ค่ะ” ไม่ทราบจะตอบยาวกว่านี้ได้อย่างไร คนที่ชื่อวันนัดก็คงยิ้มในหน้า ปิดปากเงียบเช่นเดิม
“ ถ้าคุณศิรินทร์ไม่รังเกียจและพอมีเวลา ผมคิดว่าหาที่คุยกันหน่อย ดีไหมครับ” ชัยยศเอ่ยชวนมองหาที่นั่ง
“ ก็ดีค่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ศิยังไม่เคยเจอคนไทย คนอื่นเลยจริงๆ” หล่อนรับคำอย่างดีใจ ที่ได้พบคนไทยโดยมิได้นึกหมายมาก่อน
“ ศิว่าไปร้านโน้นดีไหมคะ” ร้านที่หล่อนชี้เป็นร้านที่วางโต๊ะเก้าอี้ออกมานอกร้านบนฟุตปาธ รับอากาศแบบฤดูร้อนอย่างเต็มที่
เมื่อเลือกที่นั่งห่างจากนักท่องเที่ยวพอสมควรแล้ว ศิรินทร์เอ่ยถามอย่างกับมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของถิ่นว่า
“ คุณจะดื่มอะไรดีคะ” หล่อนถามไม่เจาะจงตัว
“ ขอกาแฟดีกว่านะครับ นะยศ” คุณวันนัดพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ ของคุณศิรินทร์ล่ะครับ”
“ กาแฟเหมือนกันก็ได้ค่ะ” หล่อนบอกตามเขาไป ทั้งๆที่ไม่ชอบกาแฟ
ชัยยศมองหาบริกร ศิรินทร์ก็มองหาบริกรด้วย เมื่อชัยยศสั่งแล้วตวัดสายตากลับมาเจอวันนัดมองหล่อนอยู่แล้ว
“ ผมไม่นึกว่าจะมีคนไทยอยู่ที่นี่ อยู่นานหรือยังครับ” ชัยยศถามหล่อน
“ อยู่ได้เกือบสามเดือนแล้วละค่ะ เรียนภาษาที่นี่ค่ะ แต่พักกับแม่บ้านใกล้ๆนี่ค่ะ” หล่อนชี้ทิศทางบ้าน
“ งั้นคุณศิรินทร์ก็อยู่อีกไม่นานสิครับ”
“ ค่ะ เรียนภาษาจบก็คงย้ายไปที่โคโลญจน์ค่ะ”
“เหรอครับ อยู่ที่นี่เหงาไหมครับ ไม่มีคนไทยเลย” ชัยยศชวนคุยไปเรื่อยๆ
“ เรื่องเหงาอย่าพูดเลยค่ะ ศิเดินนับต้นไม้ริมทางนี่ไม่รู้จักกี่เที่ยวแล้วค่ะ เพราะเดินเล่นบ่อยๆ ไม่รู้จะไปไหนค่ะ” หล่อนยิ้มประกอบคำพูด
“ งั้นคราวหน้าผมมาใหม่ได้ไหมครับ หรือถ้าว่างก็ไปเที่ยวเมืองผมบ้างดีไหมครับ มีคนไทยหลายคน แต่ผู้หญิงไม่ค่อยมีนะครับ”
“ ไกลไหมคะ คุณอยู่เมืองไหนคะ”
(มีต่อ)