คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
สวัสดี MC พี่แอ๊ดและเพื่อนๆครับ
ความลับของไข่มุกแห่งคลีโอพัตรา

คลีโอพัตราที่ 7 (Cleopatra VII) คือราชินีผู้โด่งดังที่แฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลน่าจะรู้จักกันดีทุกคน สตรีผู้นี้คือนางพญาองค์สุดท้ายแห่งอียิปต์โบราณ ก่อนที่อาณาจักรอันเกรียงไกรนี้จะกลายเป็นเพียงแค่แคว้นหนึ่งของจักรวรรดิโรมันในช่วงประมาณ 30 ปีก่อนคริสตกาล นางมิใช่คนอียิปต์ ทว่าเป็นชาวกรีก มีสตรีใช้ชื่อคลีโอพัตราก่อนหน้านางถึงหกคน แต่ก็ไม่มีใครที่โด่งดังเท่าพระนางคลีโอพัตราที่ 7 อีกแล้ว (ในเรื่องนี้จะขอเรียกสั้นๆว่าพระนางคลีโอพัตรานะครับ)
เรื่องเล่าและตำนานเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ปรากฏให้เห็นมากมาย นางเชี่ยวชาญหลายภาษา อีกทั้งยังเฉลียวฉลาดและมีรูปโฉมงดงามจนสามารถตรึงใจจอมทัพโรมันทั้งจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) และมาร์ค แอนโทนี (Mark Antony) ได้อยู่หมัด ประวัติของพระนางถูกกล่าวถึงและเล่าขานต่อเนื่องยาวนาน
แต่ถึงอย่างนั้น ตำนานและประวัติของพระนางคลีโอพัตราก็ไม่ได้ชัดเจนไปหมดทุกเรื่องหรอกครับ ปริศนาที่โดดเด่นที่สุดก็คือเรื่องการสิ้นพระชนม์และสถานที่ฝังศพหรือสุสานของนาง แต่ในครั้งนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ตำนานซึ่งเป็นที่เลื่องลือเกี่ยวกับ “ความฟุ่มเฟือย” เกี่ยวกับกระยาหารมื้อที่แพงที่สุดของนาง ซึ่งส่วนประกอบสำคัญในมื้ออาหารราคาสูงลิบนี้ก็คือ “ไข่มุก” ครับ!!
ในสมัยของคลีโอพัตรา ไข่มุกเป็นเครื่องประดับราคาแพง โดยเฉพาะไข่มุกที่นางสวมใส่เอาไว้ยิ่งแพงหนักเข้าไปอีก ว่ากันว่ามันมีมูลค่าถึงสามสิบล้านดอลลาร์เลยทีเดียวครับ
ว่าแต่ความลับแห่งไข่มุกของคลีโอพัตราอยู่ตรงไหนกัน มันอยู่ในตำนานที่เกี่ยวกับความฟุ่มเฟือยในมื้ออาหารของพระนางนี่ล่ะครับ ตำนานเรื่องนี้จดบันทึกเอาไว้โดย “พลินีผู้ชรา” (Pliny the Elder) ในเอกสารที่มีชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ” (Natural History) เมื่อปี ค.ศ.77 ซึ่งก็คือมันถูกจดจารเอาไว้หลังจากที่คลีโอพัตราสิ้นพระชนม์ไปได้หนึ่งร้อยกว่าปีแล้วครับ
เรื่องที่พลินีได้บันทึกเอาไว้เริ่มต้นขึ้นเมื่อคลีโอพัตราได้ท้าพนันกับมาร์ค แอนโทนี ว่า นางสามารถเสิร์ฟอาหารหนึ่งมื้อที่มีมูลค่าสูงถึงสิบล้านเซสเทิร์ส (Sesterces) ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับทองคำน้ำหนักถึง 800 กิโลกรัม!! แน่นอนครับว่า แอนโทนีจินตนาการไม่ออกเลยว่านางจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร ก็เลยรับพนันไปอย่างว่าง่าย เพราะคิดในใจว่ายังไงตัวเองก็ชนะแน่ๆ
วันรุ่งขึ้น คลีโอพัตราจัดอาหารชุดใหญ่ไฟกะพริบมาตามที่ตัวเองท้าพนันไว้ แต่เมื่อแอนโทนีได้เห็นก็หัวเราะลั่น เพราะถึงแม้ว่าอาหารเหล่านี้จะดูแล้วหรูหรา ราคาแพง แต่มูลค่าของมันก็ไม่มีทางถึงสิบล้านเซสเทิร์สเป็นแน่ คลีโอพัตราจึงบอกว่าดีใจตอนนี้ยังเร็วไป หลังจากนั้นนางก็ได้สั่งให้คนรับใช้นำเอาอาหารชุดถัดไปเข้ามา ซึ่งเมื่อดูแล้วมันแทบจะไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่แก้วหนึ่งใบที่ใส่น้ำส้มสายชู (Vinegar) เอาไว้เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คลีโอพัตราได้ถอดตุ้มหูไข่มุกที่ประดับอยู่ที่หูทั้งสองข้างของนางออกและหย่อนไข่มุกเม็ดหนึ่งลงไปในแก้วบรรจุน้ำส้มสายชูใบนั้น

งานเลี้ยงของคลีโอพัตรา วาดโดย โจวันนี บัตติสตา ตีเอโปโล.
พลินีบันทึกเอาไว้ว่า ไข่มุกนี้ “ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลก” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจาก “ราชันแห่งตะวันออก” คลีโอพัตรารอจนไข่มุกที่หย่อนลงไปละลายและจัดการ “ดื่ม” มันเข้าไป เพียงเท่านี้ แอนโทนีก็อ้าปากค้าง เพราะว่าเขาพ่ายแพ้ราบคาบ แหล่งข้อมูลบางแหล่งเสนอว่า ไข่มุกทั้งสองเม็ดนั้นมีมูลค่าสูงถึงหกสิบล้านเซสเทิร์ส!!
นักอียิปต์วิทยาและนักประวัติศาสตร์ต่างก็สงสัยว่า เรื่องไข่มุกของคลีโอพัตรานี้มันจะเคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นางจะเคยกินไข่มุกราคาหกสิบล้านเซสเทิร์สจริงๆหรือ เราลองมาไขความลับของไข่มุกแห่งคลีโอพัตรากันดีกว่าครับ
ถึงแม้ว่าพลินีผู้ชราจะบันทึกเรื่องนี้ในปี ค.ศ.77 หรือร้อยกว่าปีหลังจากที่คลีโอพัตราสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่า ตำนานเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขาเมื่อราวหลายร้อยปีก่อน มีการนำไปวาดเป็นภาพที่มีชื่อว่า “งานเลี้ยงของคลีโอพัตรา” (The Banquet of Cleopatra) โดยศิลปินชาวอิตาเลียนนามว่า โจวันนี บัตติสตา ตีเอโปโล (Giovanni Battista Tiepolo) เมื่อปี ค.ศ.1744 นอกจากนั้น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ยังมีการนำเอาตำนานเรื่องนี้ไปวาดเป็นการ์ตูนในหนังสือพิมพ์อีกหลายต่อหลายครั้ง

ภาพ “งานเลี้ยงของคลีโอพัตรา” อีกภาพหนึ่งที่วาดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1650s.
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นักวิชาการก็เริ่มที่จะตั้งคำถามกับตำนานเรื่องนี้ว่ามันจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ และคำถามที่นักวิชาการในสมัยนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์หาความจริงก็คือ “ไข่มุกละลายในน้ำส้มสายชูได้จริงหรือ” เพราะถ้ามันละลายไม่ได้ก็หมายความว่าเรื่องเล่าของพลินีจะเป็นตำนานเก๊ไปในทันทีบรรดานักวิชาการชั้นแนวหน้าในสมัยนั้นต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไข่มุกมันละลายในน้ำส้มสายชูไม่ได้ร้อก (เสียงสูง) มันไม่มีน้ำส้มสายชูไหนที่จะมาละลายไข่มุกได้ นอกจากนั้นเอกสารที่เพิ่งเขียนขึ้นในช่วงปี ค.ศ.2000 ก็กล่าวไว้ว่า “ไม่มีกรดน้ำส้มใดที่สามารถละลายไข่มุกได้” เช่นกัน
นั่นหมายความว่า พลินีโกหกเราเช่นนั้นหรือ เปล่าเลยครับ ถ้าสรุปแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะง่ายไปหน่อย เพราะในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่นักวิชาการชั้นแนวหน้าในอดีตกล่าวไปข้างต้นนั้น “ผิดมหันต์” เลยครับ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เก่งวิชาเคมีสักเท่าใดนักเพราะทุกวันนี้เราทราบดีแล้วครับว่าน้ำส้มสายชูนั้นสามารถละลายไข่มุกได้อย่างแน่นอน ความจริงก็คือ ถ้าเราหย่อนไข่มุกลงไป ในน้ำส้มสายชู ไข่มุกจะละลาย เพียงแค่ว่ามันจะละลาย “ช้ามาก” อาจจะใช้เวลาเป็นวันหรือสองวันเพื่อให้มันละลายอย่างสมบูรณ์ นั่นหมายความว่า ถ้าเราย้อนกลับไปดูที่บันทึกของพลินีอีกครั้ง มันจึงค่อนข้างจะเป็นไปได้ยากสักหน่อยที่คลีโอพัตราจะปลดไข่มุกเม็ดเป้งจากหูมาหย่อนลงไปในแก้วน้ำส้มสายชู คนๆๆสักพักให้ไข่มุกละลายแล้วก็ดื่มเข้าไป แน่นอนว่าด้วยเวลาเพียงแค่นั้นไข่มุกไม่มีทางละลายหรอกครับ แต่นักวิชาการก็เสนอว่าเราสามารถ “เร่ง” ให้ไข่มุกละลายในน้ำส้มสายชูเร็วขึ้นได้ด้วยการให้ความร้อนกับน้ำส้มสายชู ซึ่งเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ไข่มุกก็จะละลายอย่างน่าอัศจรรย์ ทว่าความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือพลินีไม่ได้พูดถึงการให้ความร้อนกับน้ำส้มสายชูในแก้วใบนั้นเลยแม้แต่น้อย
ถ้าไม่มีการให้ความร้อน ก็มีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ครับ นั่นก็คือการ “บดไข่มุก” ให้แตกเสียก่อนแล้วค่อยหย่อนลงไปในแก้วด้วยวิธีนี้เผลอๆแค่ไม่กี่นาทีไข่มุกก็ละลายอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เอกสารประวัติศาสตร์ธรรมชาติของพลินี ก็ไม่ได้กล่าวว่าคลีโอพัตรานำเอาไข่มุกมาบดก่อนแต่อย่างใด ซึ่งหากมองอีกมุม บางทีอาจจะมีการให้ความร้อนหรือการบดไข่มุกเกิดขึ้นจริงๆก็ได้ เพียงแค่พลินีอาจจะไม่ได้เขียนมันเอาไว้อย่างละเอียดทุกขั้นตอนก็เท่านั้นเอง
อีกประเด็นที่นักวิชาการนำมาวิเคราะห์ก็คือ ความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะเป็นเพียงแค่ “เรื่องเล่า” ต่อๆกันมาเท่านั้น มันอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยก็เป็นได้ เพราะว่างานเขียนชิ้นนี้เขียนขึ้นหลังจากนางสิ้นพระชนม์ไปเป็นร้อยปีแล้ว พลินีย่อมไม่ได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตาตัวเองแน่ๆ เขาอาจจะฟังมา หรือไม่ก็อาจจะดัดแปลงมาจากตำนานประจำท้องถิ่นก็เป็นไปได้ คำถามคือแล้วถ้าพลินีเลียนแบบเรื่องนี้มาจากเอกสารชิ้นอื่น มันจะมีชิ้นไหนที่เป็นไปได้บ้างล่ะ?
คลีโอพัตราไม่ใช่บุคคลแรกที่เอาไข่มุกมาละลายในน้ำส้ม สายชูแล้วดื่ม ตำนานแรกสุดของเมนูสุดประหลาดนี้ปรากฏในเอกสารโบราณชื่อ “เรื่องเสียดสี” (Satires) ที่เขียนขึ้นโดยกวีชาวโรมันนามว่า โฮเรซ (Horace) เมื่อประมาณ 33 ปีก่อนคริสตกาลซึ่งถือว่าร่วมสมัยกับยุคของคลีโอพัตราด้วยเช่นกัน โฮเรซเล่าถึงเรื่องราวของบุตรชาย แห่งอีสป (Aesop) ซึ่งไปนำไข่มุกที่ประดับอยู่ที่หูของสตรีสาวนามว่า เมเทลลา (Metella) มาละลายในน้ำส้มสายชูก่อนที่จะลิ้มรสไข่มุกแสนแพงนี้เข้าไป โฮเรซบันทึกเอาไว้ว่ามูลค่าของไข่มุกนั้นสูงถึงหนึ่งล้านเซสเทิร์สเลยทีเดียวครับ
นั่นหมายความว่า ตำนานของคลีโอพัตราเป็นเพียงแค่เวอร์ชั่นที่สองของการลิ้มรสเมนูไข่มุกในน้ำส้มสายชูเท่านั้น แต่ราคามันเพิ่มจากหนึ่งล้านเซสเทิร์สมาถึงสิบเท่าตัวเลยทีเดียว และในสมัยของจักรพรรดิวิปริตคาลิกูลา (Caligula) ที่ปกครองโรมันอยู่ในช่วงปี ค.ศ.37 ถึง ค.ศ.41 ก็มีตำนานเล่าว่าพระองค์เคยลิ้มรสเมนูนี้เช่นกันครับ

จักรพรรดิคาลิกูลา.
เมนูนี้ปรากฏในตำนานเรื่อง “สิบสองซีซาร์” (Twelve Caesars) ที่เขียนขึ้นโดยซูเอโตนิอุส (Suetonius) ประมาณปี ค.ศ.121 ที่เล่าถึงความฟุ่มเฟือยของคาลิกูลาโดยกล่าวว่าพระองค์ “อาบน้ำในอ่างน้ำร้อนและน้ำเย็นที่ผสมน้ำมันหอมอย่างดีและดื่มไข่มุกราคาแพงที่ละลายในน้ำส้มสายชู” นั่นหมายความว่า เมนูนี้ถือเป็นเมนูยอดฮิตประจำตำนานท้องถิ่นแถบนี้เลยก็ว่าได้
จะเห็นได้ว่าตำนานแรกสุดที่โฮเรซได้บันทึกเอาไว้เมื่อ 33 ปีก่อนคริสตกาลนั้นได้เปิดประเด็นในการประกาศความฟุ่มเฟือยด้วยการกินไข่มุกราคาหนึ่งล้านเซสเทิร์สที่ละลายในน้ำส้มสายชู และหลังจากนั้นตำนานอีกสองสายที่ตามมาทีหลังล้วนเขียนขึ้นโดยนักเขียนที่ไม่ได้ร่วมสมัยกับบุคคลในเรื่องของตนทั้งสิ้น พลินีเขียนถึงคลีโอพัตราที่สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้าถึงร้อยกว่าปี ซูเอโตนิอุสเขียนถึงคาลิกูลาที่สิ้นพระชนม์ก่อนหน้านั้น 80 ปี นั่นจึงทำให้นักวิชาการส่วนหนึ่งเสนอว่า บางทีเมนูแสนแพงนี้อาจจะเป็นเพียงแค่การนำเอาตำนานประจำท้องถิ่นมาเสริมแต่งดัดแปลงเพื่อแสดงให้เห็นถึง “ความฟุ่มเฟือย” ของคนดังในอดีตทั้งๆที่บุคคลทั้งสองอาจจะไม่เคยลิ้มรสไข่มุกในน้ำส้มสายชูมาก่อนเลยก็เป็นได้
แต่ถ้ามองในมุมที่มันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ คำถามที่สำคัญก็คือคนโบราณเหล่านี้จะกินไข่มุกไปเพื่ออะไรกัน? คำตอบที่ดูกำปั้นทุบดินที่สุดก็คือ “เพื่อแสดงถึงความฟุ่มเฟือย” ยังไงล่ะ ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่มันควรจะมีเหตุผลที่จับต้องได้มากกว่านี้
ถ้าลองจินตนาการว่า เรากินอาหารบุฟเฟ่ต์เติมได้ไม่อั้นจนอิ่มตื้อ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาก็คือกรดในกระเพาะอาหาร ในทุกวันนี้เรามียาลดกรดขายกันหลายยี่ห้อ แต่ในอดีตย่อมไม่มียาเหล่านี้ให้ซื้อเป็นแน่ พวกเขาจึงต้องมีสิ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการกรดเกินหลังจากรับประทานมื้อหนัก ซึ่งหนึ่งในสารจากธรรมชาติที่ช่วยในเรื่องนี้ได้ก็คือปูนที่ได้จากการเผาเปลือกหอย (Shell lime) นั่นเองครับ
คนโบราณในยุคนั้นทราบดีว่าปูนเหล่านี้จะสามารถช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นจึงกินมันตบท้ายอาหารมื้อใหญ่ นั่นจึงทำให้ตำนานประจำท้องถิ่นเรื่องนี้สมเหตุสมผลขึ้นมาทันที หมายความว่า บุตรชายแห่งอีสปก็ดี คลีโอพัตราก็ดี หรือแม้แต่คาลิกูลาเองก็ดี ล้วนทราบว่าปูนจากเปลือกหอยเป็นยาลดกรดในกระเพาะอย่างดีเพียงแค่ว่ามันคงจะดู “ธรรมดา” เกินไปสักหน่อย ดังนั้นก็เลยเปลี่ยนจากเปลือกหอยพื้นๆมาเป็น “ไข่มุก” เม็ดเป้ง เพื่อให้มันดูหรูหราราคาแพงและสมฐานะมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้เราทราบดีแล้วว่า เมนูไข่มุกในน้ำส้ม สายชูไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานเก๊ที่โฮเรซ พลินีผู้ชราและซูเอโตนิอุสปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาหลอกเราแน่ๆ แต่สำหรับคำถามที่ว่าคนดังในอดีต รวมทั้งพระนางคลีโอพัตราที่ 7 ผู้เลอโฉมจะเคยลิ้มรสไข่มุกราคาหกสิบล้านเซสเทิร์สจริงหรือไม่นั้น เราคงทำได้เพียงแค่ทิ้งปริศนานี้ไว้ให้นักประวัติศาสตร์เป็นผู้ขบคิดหาคำตอบกันต่อไปครับ.
ขอบคุณ สืบ สิบสาม ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน / ไทยรัฐ 12 มี.ค. 2560
ความลับของไข่มุกแห่งคลีโอพัตรา

คลีโอพัตราที่ 7 (Cleopatra VII) คือราชินีผู้โด่งดังที่แฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลน่าจะรู้จักกันดีทุกคน สตรีผู้นี้คือนางพญาองค์สุดท้ายแห่งอียิปต์โบราณ ก่อนที่อาณาจักรอันเกรียงไกรนี้จะกลายเป็นเพียงแค่แคว้นหนึ่งของจักรวรรดิโรมันในช่วงประมาณ 30 ปีก่อนคริสตกาล นางมิใช่คนอียิปต์ ทว่าเป็นชาวกรีก มีสตรีใช้ชื่อคลีโอพัตราก่อนหน้านางถึงหกคน แต่ก็ไม่มีใครที่โด่งดังเท่าพระนางคลีโอพัตราที่ 7 อีกแล้ว (ในเรื่องนี้จะขอเรียกสั้นๆว่าพระนางคลีโอพัตรานะครับ)
เรื่องเล่าและตำนานเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ปรากฏให้เห็นมากมาย นางเชี่ยวชาญหลายภาษา อีกทั้งยังเฉลียวฉลาดและมีรูปโฉมงดงามจนสามารถตรึงใจจอมทัพโรมันทั้งจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) และมาร์ค แอนโทนี (Mark Antony) ได้อยู่หมัด ประวัติของพระนางถูกกล่าวถึงและเล่าขานต่อเนื่องยาวนาน
แต่ถึงอย่างนั้น ตำนานและประวัติของพระนางคลีโอพัตราก็ไม่ได้ชัดเจนไปหมดทุกเรื่องหรอกครับ ปริศนาที่โดดเด่นที่สุดก็คือเรื่องการสิ้นพระชนม์และสถานที่ฝังศพหรือสุสานของนาง แต่ในครั้งนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ตำนานซึ่งเป็นที่เลื่องลือเกี่ยวกับ “ความฟุ่มเฟือย” เกี่ยวกับกระยาหารมื้อที่แพงที่สุดของนาง ซึ่งส่วนประกอบสำคัญในมื้ออาหารราคาสูงลิบนี้ก็คือ “ไข่มุก” ครับ!!
ในสมัยของคลีโอพัตรา ไข่มุกเป็นเครื่องประดับราคาแพง โดยเฉพาะไข่มุกที่นางสวมใส่เอาไว้ยิ่งแพงหนักเข้าไปอีก ว่ากันว่ามันมีมูลค่าถึงสามสิบล้านดอลลาร์เลยทีเดียวครับ
ว่าแต่ความลับแห่งไข่มุกของคลีโอพัตราอยู่ตรงไหนกัน มันอยู่ในตำนานที่เกี่ยวกับความฟุ่มเฟือยในมื้ออาหารของพระนางนี่ล่ะครับ ตำนานเรื่องนี้จดบันทึกเอาไว้โดย “พลินีผู้ชรา” (Pliny the Elder) ในเอกสารที่มีชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ” (Natural History) เมื่อปี ค.ศ.77 ซึ่งก็คือมันถูกจดจารเอาไว้หลังจากที่คลีโอพัตราสิ้นพระชนม์ไปได้หนึ่งร้อยกว่าปีแล้วครับ
เรื่องที่พลินีได้บันทึกเอาไว้เริ่มต้นขึ้นเมื่อคลีโอพัตราได้ท้าพนันกับมาร์ค แอนโทนี ว่า นางสามารถเสิร์ฟอาหารหนึ่งมื้อที่มีมูลค่าสูงถึงสิบล้านเซสเทิร์ส (Sesterces) ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับทองคำน้ำหนักถึง 800 กิโลกรัม!! แน่นอนครับว่า แอนโทนีจินตนาการไม่ออกเลยว่านางจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร ก็เลยรับพนันไปอย่างว่าง่าย เพราะคิดในใจว่ายังไงตัวเองก็ชนะแน่ๆ
วันรุ่งขึ้น คลีโอพัตราจัดอาหารชุดใหญ่ไฟกะพริบมาตามที่ตัวเองท้าพนันไว้ แต่เมื่อแอนโทนีได้เห็นก็หัวเราะลั่น เพราะถึงแม้ว่าอาหารเหล่านี้จะดูแล้วหรูหรา ราคาแพง แต่มูลค่าของมันก็ไม่มีทางถึงสิบล้านเซสเทิร์สเป็นแน่ คลีโอพัตราจึงบอกว่าดีใจตอนนี้ยังเร็วไป หลังจากนั้นนางก็ได้สั่งให้คนรับใช้นำเอาอาหารชุดถัดไปเข้ามา ซึ่งเมื่อดูแล้วมันแทบจะไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่แก้วหนึ่งใบที่ใส่น้ำส้มสายชู (Vinegar) เอาไว้เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คลีโอพัตราได้ถอดตุ้มหูไข่มุกที่ประดับอยู่ที่หูทั้งสองข้างของนางออกและหย่อนไข่มุกเม็ดหนึ่งลงไปในแก้วบรรจุน้ำส้มสายชูใบนั้น

งานเลี้ยงของคลีโอพัตรา วาดโดย โจวันนี บัตติสตา ตีเอโปโล.
พลินีบันทึกเอาไว้ว่า ไข่มุกนี้ “ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลก” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจาก “ราชันแห่งตะวันออก” คลีโอพัตรารอจนไข่มุกที่หย่อนลงไปละลายและจัดการ “ดื่ม” มันเข้าไป เพียงเท่านี้ แอนโทนีก็อ้าปากค้าง เพราะว่าเขาพ่ายแพ้ราบคาบ แหล่งข้อมูลบางแหล่งเสนอว่า ไข่มุกทั้งสองเม็ดนั้นมีมูลค่าสูงถึงหกสิบล้านเซสเทิร์ส!!
นักอียิปต์วิทยาและนักประวัติศาสตร์ต่างก็สงสัยว่า เรื่องไข่มุกของคลีโอพัตรานี้มันจะเคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นางจะเคยกินไข่มุกราคาหกสิบล้านเซสเทิร์สจริงๆหรือ เราลองมาไขความลับของไข่มุกแห่งคลีโอพัตรากันดีกว่าครับ
ถึงแม้ว่าพลินีผู้ชราจะบันทึกเรื่องนี้ในปี ค.ศ.77 หรือร้อยกว่าปีหลังจากที่คลีโอพัตราสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่า ตำนานเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขาเมื่อราวหลายร้อยปีก่อน มีการนำไปวาดเป็นภาพที่มีชื่อว่า “งานเลี้ยงของคลีโอพัตรา” (The Banquet of Cleopatra) โดยศิลปินชาวอิตาเลียนนามว่า โจวันนี บัตติสตา ตีเอโปโล (Giovanni Battista Tiepolo) เมื่อปี ค.ศ.1744 นอกจากนั้น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ยังมีการนำเอาตำนานเรื่องนี้ไปวาดเป็นการ์ตูนในหนังสือพิมพ์อีกหลายต่อหลายครั้ง

ภาพ “งานเลี้ยงของคลีโอพัตรา” อีกภาพหนึ่งที่วาดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1650s.
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นักวิชาการก็เริ่มที่จะตั้งคำถามกับตำนานเรื่องนี้ว่ามันจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ และคำถามที่นักวิชาการในสมัยนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์หาความจริงก็คือ “ไข่มุกละลายในน้ำส้มสายชูได้จริงหรือ” เพราะถ้ามันละลายไม่ได้ก็หมายความว่าเรื่องเล่าของพลินีจะเป็นตำนานเก๊ไปในทันทีบรรดานักวิชาการชั้นแนวหน้าในสมัยนั้นต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไข่มุกมันละลายในน้ำส้มสายชูไม่ได้ร้อก (เสียงสูง) มันไม่มีน้ำส้มสายชูไหนที่จะมาละลายไข่มุกได้ นอกจากนั้นเอกสารที่เพิ่งเขียนขึ้นในช่วงปี ค.ศ.2000 ก็กล่าวไว้ว่า “ไม่มีกรดน้ำส้มใดที่สามารถละลายไข่มุกได้” เช่นกัน
นั่นหมายความว่า พลินีโกหกเราเช่นนั้นหรือ เปล่าเลยครับ ถ้าสรุปแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะง่ายไปหน่อย เพราะในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่นักวิชาการชั้นแนวหน้าในอดีตกล่าวไปข้างต้นนั้น “ผิดมหันต์” เลยครับ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เก่งวิชาเคมีสักเท่าใดนักเพราะทุกวันนี้เราทราบดีแล้วครับว่าน้ำส้มสายชูนั้นสามารถละลายไข่มุกได้อย่างแน่นอน ความจริงก็คือ ถ้าเราหย่อนไข่มุกลงไป ในน้ำส้มสายชู ไข่มุกจะละลาย เพียงแค่ว่ามันจะละลาย “ช้ามาก” อาจจะใช้เวลาเป็นวันหรือสองวันเพื่อให้มันละลายอย่างสมบูรณ์ นั่นหมายความว่า ถ้าเราย้อนกลับไปดูที่บันทึกของพลินีอีกครั้ง มันจึงค่อนข้างจะเป็นไปได้ยากสักหน่อยที่คลีโอพัตราจะปลดไข่มุกเม็ดเป้งจากหูมาหย่อนลงไปในแก้วน้ำส้มสายชู คนๆๆสักพักให้ไข่มุกละลายแล้วก็ดื่มเข้าไป แน่นอนว่าด้วยเวลาเพียงแค่นั้นไข่มุกไม่มีทางละลายหรอกครับ แต่นักวิชาการก็เสนอว่าเราสามารถ “เร่ง” ให้ไข่มุกละลายในน้ำส้มสายชูเร็วขึ้นได้ด้วยการให้ความร้อนกับน้ำส้มสายชู ซึ่งเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ไข่มุกก็จะละลายอย่างน่าอัศจรรย์ ทว่าความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือพลินีไม่ได้พูดถึงการให้ความร้อนกับน้ำส้มสายชูในแก้วใบนั้นเลยแม้แต่น้อย
ถ้าไม่มีการให้ความร้อน ก็มีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ครับ นั่นก็คือการ “บดไข่มุก” ให้แตกเสียก่อนแล้วค่อยหย่อนลงไปในแก้วด้วยวิธีนี้เผลอๆแค่ไม่กี่นาทีไข่มุกก็ละลายอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เอกสารประวัติศาสตร์ธรรมชาติของพลินี ก็ไม่ได้กล่าวว่าคลีโอพัตรานำเอาไข่มุกมาบดก่อนแต่อย่างใด ซึ่งหากมองอีกมุม บางทีอาจจะมีการให้ความร้อนหรือการบดไข่มุกเกิดขึ้นจริงๆก็ได้ เพียงแค่พลินีอาจจะไม่ได้เขียนมันเอาไว้อย่างละเอียดทุกขั้นตอนก็เท่านั้นเอง
อีกประเด็นที่นักวิชาการนำมาวิเคราะห์ก็คือ ความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะเป็นเพียงแค่ “เรื่องเล่า” ต่อๆกันมาเท่านั้น มันอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยก็เป็นได้ เพราะว่างานเขียนชิ้นนี้เขียนขึ้นหลังจากนางสิ้นพระชนม์ไปเป็นร้อยปีแล้ว พลินีย่อมไม่ได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตาตัวเองแน่ๆ เขาอาจจะฟังมา หรือไม่ก็อาจจะดัดแปลงมาจากตำนานประจำท้องถิ่นก็เป็นไปได้ คำถามคือแล้วถ้าพลินีเลียนแบบเรื่องนี้มาจากเอกสารชิ้นอื่น มันจะมีชิ้นไหนที่เป็นไปได้บ้างล่ะ?
คลีโอพัตราไม่ใช่บุคคลแรกที่เอาไข่มุกมาละลายในน้ำส้ม สายชูแล้วดื่ม ตำนานแรกสุดของเมนูสุดประหลาดนี้ปรากฏในเอกสารโบราณชื่อ “เรื่องเสียดสี” (Satires) ที่เขียนขึ้นโดยกวีชาวโรมันนามว่า โฮเรซ (Horace) เมื่อประมาณ 33 ปีก่อนคริสตกาลซึ่งถือว่าร่วมสมัยกับยุคของคลีโอพัตราด้วยเช่นกัน โฮเรซเล่าถึงเรื่องราวของบุตรชาย แห่งอีสป (Aesop) ซึ่งไปนำไข่มุกที่ประดับอยู่ที่หูของสตรีสาวนามว่า เมเทลลา (Metella) มาละลายในน้ำส้มสายชูก่อนที่จะลิ้มรสไข่มุกแสนแพงนี้เข้าไป โฮเรซบันทึกเอาไว้ว่ามูลค่าของไข่มุกนั้นสูงถึงหนึ่งล้านเซสเทิร์สเลยทีเดียวครับ
นั่นหมายความว่า ตำนานของคลีโอพัตราเป็นเพียงแค่เวอร์ชั่นที่สองของการลิ้มรสเมนูไข่มุกในน้ำส้มสายชูเท่านั้น แต่ราคามันเพิ่มจากหนึ่งล้านเซสเทิร์สมาถึงสิบเท่าตัวเลยทีเดียว และในสมัยของจักรพรรดิวิปริตคาลิกูลา (Caligula) ที่ปกครองโรมันอยู่ในช่วงปี ค.ศ.37 ถึง ค.ศ.41 ก็มีตำนานเล่าว่าพระองค์เคยลิ้มรสเมนูนี้เช่นกันครับ

จักรพรรดิคาลิกูลา.
เมนูนี้ปรากฏในตำนานเรื่อง “สิบสองซีซาร์” (Twelve Caesars) ที่เขียนขึ้นโดยซูเอโตนิอุส (Suetonius) ประมาณปี ค.ศ.121 ที่เล่าถึงความฟุ่มเฟือยของคาลิกูลาโดยกล่าวว่าพระองค์ “อาบน้ำในอ่างน้ำร้อนและน้ำเย็นที่ผสมน้ำมันหอมอย่างดีและดื่มไข่มุกราคาแพงที่ละลายในน้ำส้มสายชู” นั่นหมายความว่า เมนูนี้ถือเป็นเมนูยอดฮิตประจำตำนานท้องถิ่นแถบนี้เลยก็ว่าได้
จะเห็นได้ว่าตำนานแรกสุดที่โฮเรซได้บันทึกเอาไว้เมื่อ 33 ปีก่อนคริสตกาลนั้นได้เปิดประเด็นในการประกาศความฟุ่มเฟือยด้วยการกินไข่มุกราคาหนึ่งล้านเซสเทิร์สที่ละลายในน้ำส้มสายชู และหลังจากนั้นตำนานอีกสองสายที่ตามมาทีหลังล้วนเขียนขึ้นโดยนักเขียนที่ไม่ได้ร่วมสมัยกับบุคคลในเรื่องของตนทั้งสิ้น พลินีเขียนถึงคลีโอพัตราที่สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้าถึงร้อยกว่าปี ซูเอโตนิอุสเขียนถึงคาลิกูลาที่สิ้นพระชนม์ก่อนหน้านั้น 80 ปี นั่นจึงทำให้นักวิชาการส่วนหนึ่งเสนอว่า บางทีเมนูแสนแพงนี้อาจจะเป็นเพียงแค่การนำเอาตำนานประจำท้องถิ่นมาเสริมแต่งดัดแปลงเพื่อแสดงให้เห็นถึง “ความฟุ่มเฟือย” ของคนดังในอดีตทั้งๆที่บุคคลทั้งสองอาจจะไม่เคยลิ้มรสไข่มุกในน้ำส้มสายชูมาก่อนเลยก็เป็นได้
แต่ถ้ามองในมุมที่มันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ คำถามที่สำคัญก็คือคนโบราณเหล่านี้จะกินไข่มุกไปเพื่ออะไรกัน? คำตอบที่ดูกำปั้นทุบดินที่สุดก็คือ “เพื่อแสดงถึงความฟุ่มเฟือย” ยังไงล่ะ ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่มันควรจะมีเหตุผลที่จับต้องได้มากกว่านี้
ถ้าลองจินตนาการว่า เรากินอาหารบุฟเฟ่ต์เติมได้ไม่อั้นจนอิ่มตื้อ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาก็คือกรดในกระเพาะอาหาร ในทุกวันนี้เรามียาลดกรดขายกันหลายยี่ห้อ แต่ในอดีตย่อมไม่มียาเหล่านี้ให้ซื้อเป็นแน่ พวกเขาจึงต้องมีสิ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการกรดเกินหลังจากรับประทานมื้อหนัก ซึ่งหนึ่งในสารจากธรรมชาติที่ช่วยในเรื่องนี้ได้ก็คือปูนที่ได้จากการเผาเปลือกหอย (Shell lime) นั่นเองครับ
คนโบราณในยุคนั้นทราบดีว่าปูนเหล่านี้จะสามารถช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นจึงกินมันตบท้ายอาหารมื้อใหญ่ นั่นจึงทำให้ตำนานประจำท้องถิ่นเรื่องนี้สมเหตุสมผลขึ้นมาทันที หมายความว่า บุตรชายแห่งอีสปก็ดี คลีโอพัตราก็ดี หรือแม้แต่คาลิกูลาเองก็ดี ล้วนทราบว่าปูนจากเปลือกหอยเป็นยาลดกรดในกระเพาะอย่างดีเพียงแค่ว่ามันคงจะดู “ธรรมดา” เกินไปสักหน่อย ดังนั้นก็เลยเปลี่ยนจากเปลือกหอยพื้นๆมาเป็น “ไข่มุก” เม็ดเป้ง เพื่อให้มันดูหรูหราราคาแพงและสมฐานะมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้เราทราบดีแล้วว่า เมนูไข่มุกในน้ำส้ม สายชูไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานเก๊ที่โฮเรซ พลินีผู้ชราและซูเอโตนิอุสปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาหลอกเราแน่ๆ แต่สำหรับคำถามที่ว่าคนดังในอดีต รวมทั้งพระนางคลีโอพัตราที่ 7 ผู้เลอโฉมจะเคยลิ้มรสไข่มุกราคาหกสิบล้านเซสเทิร์สจริงหรือไม่นั้น เราคงทำได้เพียงแค่ทิ้งปริศนานี้ไว้ให้นักประวัติศาสตร์เป็นผู้ขบคิดหาคำตอบกันต่อไปครับ.
ขอบคุณ สืบ สิบสาม ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน / ไทยรัฐ 12 มี.ค. 2560
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 24/7/2560- เรื่องเทพเทวีไอยคุปต์-2
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับ
วันนี้ก็ขอเล่าเรื่อง เทพและเทวีอียิปต์ ต่อจากเมื่อวานนะครับ
(4) โอสิริส (OSIRIS)
Osiris (โอซิริส, โอไซริส) นั้น เป็นเทพเจ้าในยุคแรกๆของอียิปต์ เขามักถูกระบุว่า เป็นเทพแห่งชีวิตหลังความตาย และเทพแห่งวิญญาณ (คล้ายอนูบิส แต่มีตำแหน่งที่สูงกว่า) โอซิริสเป็นพี่ชาย และ สามี เทวีไอซิส มีศักดิ์เป็นพี่ชายของ เทวีเนฟธีส และเทพ เซท นอกจากนี้เขายังเป็นพ่อของ เทพฮอรัส และอนูบิส อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการบูชาให้ โอซิริสเป็นเทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนชีพ และความอุดมสมบูรณ์
มีช่วงเวลาหนึ่งที่นับถือกันว่า โอซิริส เป็นโอรส ของเทพเจ้าแห่งโลก เก็บ กับ เทพีนัต เทพีแห่งท้องฟ้า (แต่มีบางตำรากล่าวว่าเขาเป็นโอรสของเทพ รา)
เทพโอซิริสนั้น เชื่อว่าเป็นเทพที่รังเกียจความรุนแรงเป็นที่สุด จากบันทึกกล่าวว่าเขาแปลงกายอยู่ในร่างมนุษย์และอาศัยบนโลกเพื่อครอบบัลลังค์อียิปต์ พระองค์พบว่าประชาชนของพระองค์นั้นมีจำนวนมากที่มีความโหดร้ายป่าเถื่อน และยังไร้ศีลธรรม โอซิริสได้โน้มน้าวและสั่งสอนประชาชนเหล่านั้นจนในที่สุด พวกเขาก็เชื่อฟังและอยู่ในกฎระเบียบของพระองค์ได้
ในขณะที่โอซิริสยังมีชีวิตอยู่นั้น พระองค์ และเทพธอท ได้สอนศิลปวิทยาการทั้งหลายแก่มวลมนุษย์ ทั้งเรื่องการเพาะปลูก ทำขนมปัง และหมักไวน์ หรือสร้างแบบแปลงเมือง รวมถึงการสร้างสรรค์เสียงดนตรีอีกด้วย บางครั้งเขาก็จะปล่อยอียิปต์ไว้ให้มเหสีอย่าง เทวีไอซิส ครองบัลลังก์ชั่วคราว ระหว่างที่ตัวเขาเองออกท่องไปยังแดนอื่นเพื่อสอนมนุษย์ในที่อื่นๆเช่นเดียวกับที่เขาสอนชาวอียิปต์
ซึ่งช่องว่างนี้เอง ทำให้เทพ เซธ ผู้เป็นน้องคิดไม่ซื่อ อยากครองทั้งบัลลังค์และตัวเทวีไอซิส เขาได้รวบรวบกำลังพลจำนวลหนึ่ง และร่วมมือกันคิดหาอุบายขึ้นมาเพื่อฆ่าโอซิริส ไม่นานหลังจากที่เทพโอซิริสกลับอียิปต์ เป็นปีที่ 28 แห่งการครองราชย์ของเขา เซธและอาโส (Aso) ราชินีแห่งเอธิโอเปีย และกบฏอีก 72 คน ได้ร่วมกันล้มล้างเทพโอซีริสจนสำเร็จ พวกเขาได้รเอาพระศพของโอซิริสใส่โลงแต่กระนั้นโลงพระศพก็ได้ไปเกยขึ้นที่ฝั่งฟีเนียเซีย
เทวีไอซิสพยายามค้นหาจนพบ ด้วยความช่วยเหลือของเทวีเนฟธีส อนูบิส และเทพธอท เพื่อค้นหาพระร่างของโอซิริสจนเจอ แต่เมื่อเทพเซธได้ทราบเช่นนั้น เขาจึงตอบแทนด้วยการฉีกร่างของเทพโอซิริสเป็น 14 ชิ้น และนำเอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปโปรยจนทั่วอียิปต์ เพื่อหวังว่าพระศพจะไม่ถูกหาเจออีกต่อไป แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะพระนางยังสามารถหาชิ้นส่วนร่างของเทพโอซิริสได้อีกครั้ง ในตอนแรกเจอเพียง 13 เท่านั้น ส่วนที่ขาดไปคือลึงค์ของเทพโอซิริส แต่ภายหลังก็หาจนพบ จากปลาที่กินเข้าไป (ซึ่งนี่เองเป็นต้นกำเนิดว่าทำไมชาวอียิปต์ถึงมีข้อห้ามว่าห้ามกินปลา) เธอได้ชุบชีวิตเขาอีกครั้ง เพื่อให้นานพอที่จะทำให้พระนางตั้งครรภ์ ซึ่งภายหลังจะเกิดมาเป็นเทพฮอรัส นั่นเอง
เมื่อโอไซริสเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ยังถูกเขารพบูชาในฐานะเทพแห่งชีวิตหลังความตาย กล่าวว่าเขาคือมัจจุราชก็ไม่ผิด อีกทั้งยังได้รับสมญาที่ว่า “เค็นที-อาเมนทีอู” (Khenti-Amentiu) หมายถึง ที่สุดแห่งชาวตะวันตก ซึ่งหมายถึง การได้ปกครองนรกภูมิ
ส่วนไอซิสก็กลายเป็นราชินีหม้าย ก็ยังไม่คลายความเศร้าโศก และเมื่อพระนางให้กำเนิด เทพฮอรัส เขาก็จะได้ขึ้นครองบัลลังค์อียิปต์ต่อไป โดยมีเทพเซธผู้ริษยา คอยขัดขวางอยู่นั่นเอง
ชื่อ “โอซิริส” ในภาษากรีกโบราณนั้นถูกเรียกว่า “Asar” หรือ “Usar” ซึ่งหมายถึง “ความแข็งแกร่งของดวงตา” หรือ “เขาเฝ้ามองบัลลังก์” ลักษณะของพระองค์มักถูกบรรยายว่าเป็นชาย มีกายสีเขียว มีหนวดเคราดังฟาโรห์ กายเบื้องล่างพันผ้าห่อศพ ประทับยืนอยู่หรือประทับนั่งบนบังลังค์ หัตถ์ทั้งสองถือตะขอกับไม้หวดข้าว
(5) ไอสิส (ISIS)
Isis หรือ เทวีไอซิส นั้น เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่เก่าแก่ที่สุด ของอียิปต์โบราณ พื้นเพการเคารพบูชาของนางไม่ชัดเจนมากนัก บางตำนานเล่าว่าการบูชาพระนางมีต้นกำเนิดในไซไน แต่ก็ยังเป็นไปได้ว่าพระนางเป็นที่เคารพบูชาครั้งแรกในเขตสันดอนของอียิปต์ล่างรอบๆ บูซิริส แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนไม่ได้บูชาพระนางเพียงแค่เมืองใดเมืองหนึ่งเท่านั้น หากแต่มีการบูชาพระนางในแทบทุกพื้นที่ และทุกวัดในแผ่นดิน
แม้ผู้คนในอียิปต์นั้นเคารพบูชา เทวีไอซิส เป็นจำนวนมาก แต่ความจริงแล้วชื่อ Isis นั้นเป็นภาษากรีก เธอเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวอียิปต์ในชื่อ Aset (หรือ Ast, Iset, Uset) ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งว่า “ราชินีแห่งบัลลังก์” ในอียิปต์โบราณนั้นนับถือเทวีไอซสิสเปรียบเสมือนแม่แบบของ “หญิงที่สมบูรณ์” และพระนางถูกเรียกว่า “หนึ่งเดียวผู้คือทุกสิ่ง” และพระนางยังเป็นต้นแบบของเทพสตรีทั้งหลายในตำนานเทพวัฒนธรรมอื่นๆ อีกด้วย
ต้นกำเนิดเทวีไอซิส
ตามตำนานเล่าว่า พระนางเป็นบุตรีของเทวีนัต และ เทพเก็บ ซึ่งพระนางเป็นพี่/น้อง ของ เทวีเนฟธีส, เทพ เซธ และ เทพโอซิริส บางตำนานเล่าว่า และเพราะเทพราเกรงกลัวว่าจะมีคนมาชิงบัลลังค์ของเขา เมื่อทราบว่า เทวีนัต ตั้งครรภ์เขาจึงได้โกรธมาก และสาปนางว่า “นัตจะไม่สามารถคลอดลูกได้ไม่ว่าวันไหนเลยในหนึ่งปี” ซึ่งในขณะนั้น 1 ปี มี 360 วัน เทวีนัตไปขอความช่วยเหลือจากเทพทอธ เทพแห่งความเฉลียวฉลาด เทพทอธได้เล่นพนันกับเทพแห่งดวงจัน คอนซู และทุกครั้งที่คอนซูแพ้ เขาจะต้องแบ่งแสงจันทร์เล็กน้อยของเขาให้กับเทพทอธ และเมื่อคอนซูแพ้หลายครั้งเข้า เทพทอธเก็บสะสมแสงนั้นได้มากพอที่จะสร้างวันเพิ่มขึ้นอีกถึง 5 วัน และเพราะ 5 วันนั้นไม่ใช่วันไหนเลยในหนึ่งปี เทวีนัตจึงสามารถคลอดลูกของนางได้ ดังนี้
วันที่หนึ่ง ให้กำเนิด เทพโอซีริส ผู้เป็นเทพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
วันที่สอง ให้กำเนิด เทพฮามาร์คิส หรือ สฟิงซ์ ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งรุ่งอรุณ
วันที่สาม ให้กำเนิด เทพเซธ ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความชั่วร้าย เขาฉีกครรภ์ของพระมารดาออกมา
วันที่สี่ ให้กำเนิด เทพีไอซิส ผู้เป็นเทพีแห่งความรักและภูมิปัญญา
วันที่ห้า ให้กำเนิด เทพีเนฟธิส ผู้เป็นเทพีผู้คุ้มครองวิญญาณคนตาย
เมื่อเทพราทราบข่าว ก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก เขาแยกเทวีนัต จากสามีของนาง เทพเก็บ ชั่วนิรันดร์ โดยการให้พ่อของเทวีนัตแบกนางไว้ นั่นทำให้ท้องฟ้าและผืนดินแยกจากกันไปตลอดกาล เทพเก็บโศกเศร้าโศกาที่ถูกแยกจากภรรยาผู้เป็นที่รัก เขามักร่ำไห้และนั่นทำให้โลกเกิดมหาสมุทร
รูปภาพของพระนางมักถูกวาดให้มี “บัลลังก์” เป็นเครื่องประดับบนศีรษะ และเหยี่ยวที่กางปีกกว้าง มักจะปรากฎรูปภาพพระนางมีผิวกายสีออกเหลืองเพื่อสื่อถึงการใช้ชีวิตในราชวังและไม่ค่อยโดนแสงแดด ในบางครั้งจะพบภาพพระนางถือเครื่องหมายอังก์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งชีวิตอันเป็นนิรันดร์
ในฐานะ น้อง และ ภรรยา ของเทพโอซิริส
ตำนานเล่าว่า ไอซิส และ โอซิริส นั้น ต่างรักกันตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในครรภ์มารดา ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน และเมื่อเติบใหญ่และ เทพโอซิริส ได้ขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยฝีมือของพระนางนั่นเอง
เล่าว่าวันหนึ่งพระนางนำน้ำลายของเทพรา (ซึ่งครองบัลลังก์ขณะนั้น) มาผสมกับโคลนแล้วปั้นงูพิษขึ้นมาเพื่อกัดเทพรา นางสร้างอุบายว่าต้องการชื่อที่แท้จริงของเทพราเพื่อใช้ในการรักษา ซึ่งเทพราก็เชื่อ ดังนั้น เทพราจึงได้รับการรักษาแต่พลังของเขาถูกส่งต่อมายังเทวีไอซิสแทน ซึ่งนั่นทำให้นางมีพลังสูงสุดในหมู่เทพ
เทพโอซิริส อภิเษกสมรสกับเทวีไอซิส ซึ่งทั้งสองต่างใช้เวลาส่วนมากไปกับการสั่งสอนและปกป้องผุ้คนของพระองค์ ยุคนั้นจึงเป็นยุคทองของอียิปต์ที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง และอุดมสมบูรณ์ ทั้งด้านอารยธรรม และการประดิษฐ์
แต่แล้ว เวลาแห่งความสุขก็คงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเทพเซธ ผู้อิจฉาริษยา อยากแย่งชิงบัลลังก์ วางแผนเพื่อฆ่าเทพโอซิริส และเขาก็ทำสำเร็จ เทพเซธได้ร่วมมีกับอาโส (Aso) ราชินีแห่งเอธิโอเปีย และกบฏอีก 72 คน ได้ร่วมกันล้มล้างเทพโอซีริส และจับร่างของพระองค์ใส่โลงแล้วลอยไปตามแม่น้ำไนล์ แต่ก็เป็นเทวีไอซิสเองที่ตามหาพระร่างจนพบเพื่อปลุกให้เขาฟื้นคืนชีพ แต่แล้วเทพเซธ กลับรู้ว่าร่างของเทพโอซิริสถูกหาเจอก็โมโหมาก จึงฉีกร่างของเทพโอซิริสเป็น 14 ชิ้น และนำเอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปโปรยจนทั่วอียิปต์
เทวีไอซิสผู้น่าสงสาร ได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาวของนาง เทพีเนฟธิส ในการตามหาร่างทั้ง 14 ส่วนของสวามี และนางได้ใช้เวทมนตร์เพื่อปลุกให้เขาฟื้นคืนชีพ นานพอที่ทั้งสองพระองค์มีทายาทร่วมกัน ภายหลังคือ เทพฮอรัส และเมื่อภายหลังจากได้ทำพิธีกรรม โดยมีเทพอานูบิส เทพแห่งความตายเป็นผู้ประกอบพิธี เทพโอซิริส ก็สามารถไปยังโลกแห่งความตายได้ และพระองค์ได้กลายเป็นผู้ปกครองโลกแห่งวิญญาณต่อไป ทั้งสองจึงต้องแยกจากกัน
ความชั่วร้ายของเทพเซธไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะเขาพยายามจะฆ่าหลานตัวเองคือเกิดจาก โอซิริส และ ไอซิส หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งพระนางต้องปกต้องบุตรชายจากอันตรายต่างๆที่เทพเซธส่งมา เช่นครั้งหนึ่ง ที่พระนางต้องชุบชีวิตเทพฮอรัส จากการถูกแมงป่องต่อยจนตาย
หลังจากพระนางเลี้ยงดูบุตรชายจนโตบโต ฮอรัสวัยหนุ่มได้คิดที่จะแก้แค้นแทนพระบิดา และขึ้นครองราชย์อียิปต์แทนเซธผู้ชั่วร้าย จึงได้มีการท้าทายต่อเทพเซธ และผู้ชนะจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่แน่นอนเทพเซธก็ไม่ได้เล่นแฟร์ๆ ในการแข่งขันหลายๆครั้งที่เซธโกงจนเอาชนะฮอรัสไปได้ เทวีไอซิสอยากช่วยลูกชายของนาง พระนางจึงวางกับดักจนเซธติดกับ เทพเซธร้องขอชีวิตและไอซิสก็ยังปล่อยเขาไป ทันทีที่ฮอรัสทราบว่าแม่ได้ปล่อยศัตรูเป็นอิสระ เขาก็โกรธนางมาก จึงตัดเศียรของพระนางทันที ทันใดนั้นเทพ ทอธ เทพแห่งสติปัญญหาและเวทมนต์ ได้เปลี่ยนเศียรนั้นให้กลายเป็นหัวของวัว แล้วนำมันกลับคืนยังร่างของไอซิส (ดังนั้นในรูปปั้นโบราณบางชิ้นจะปรากฎร่างเทวีไอซิสกับเศียรของวัว) ตั้งแต่วันนั้นพระนางก็ได้ไปมีชีวิตหลังความตายกับสามีผู้เป็นที่รัก กล่าวว่าพระนางยังให้อภัยปฏิกิริยาก้าวร้าวไม่มีเหตุผลของลูกชาย และยังคงสนับสนุนเขาต่อไป
ในตำนานเทพอียิปต์นั้น เทวีไอซิสถูกยกย่องอย่างมากว่าเป็นมารดาผู้ประเสริฐ และถูกเคารพบูชาเป็นเทพธิดาผู้พิทักษ์เนื่องจากวิธีการที่เธอปกป้องเทพฮอรัส ในบทบาทของนักเวทย์และการนำชีวิตกลับคืนจากโลกแห่งความตาย พระนางยังมีบทบาทสำคัญในการอยู่เบื้องหลังราชาแห่งอียิปต์อีกด้วย
เครดิตข้อมูล=http://www.2by4travel.com/home/Data-travel/egypt/thephcea-haeng-xiyipt
พบกันใหม่ เสาร์อาทิตย์หน้าครับ