ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย


**ภาพจากอินเตอร์เน็ต**
**เล่าด้วยภาษาบ้านนอก ไม่เหมาะสำหรับผู้เคร่งครัดในภาษาหรือผู้ดีมาอ่าน**
**เล่าให้อ่านไม่ได้เล่าให้เชื่อ**
**คำใต้เยอะ ไม่แนะนำให้คนภาคอื่นอ่านแล้วมาด่าผมว่าไม่รู้เรื่อง**

มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกประหลาด  ที่ผมว่ามันก็ประหลาด  เรื่องเคยเกิดตอนผมเป็นวัยรุ่น ช่วงนั้นผมอายุ18-19ปี ผมไม่ได้เรียนต่อไม่ใช่เพราะ
ไม่มีปัญญาเรียนแต่เพราะผมไม่ได้มีความพากเพียรจะเรียน  ผมก็เป็นเด็กบ้านๆฉบับชาวใต้ทั่วไปที่พ่อแม่มีสวนยางให้ทำกิน ในยุคนั้นใครมีสวนยาง
จะอยู่ดีกินดีเพราะราคายางไม่เหมือนยุคนี้  ผมก็เลยสบาย ลอยตัวเกาะพ่อแม่กินไปวันๆช่วยงานบ้างแค่เวลาต้องการอะไรสักอย่าง

ตอนนั้นผมไม่เรียนก็ได้ไปจับกลุ่มกับพวกวัยรุ่น คราวๆกัน  วันทั้งวันไม่ทำไหร้ นอกจากสุมหัวหาสิ่งไม่ดีไม่งามทำก็คงไม่ต้องอธิบายว่ามีอะไรมั่งในวงการวัยรุ่นที่จะหามาเสพได้  แต่เหล้าคือปฐมพื้นฐานในการตั้งวงอย่างอื่นถือเป็นของแถมเป็นทีๆ  นารีคือสิ่งที่พึงมีไว้ประดับเบาะรถ  ยกเว้นผม
ไม่ใช่ผมไม่มีโบ๋เด็กกับเค้า  แต่เพราะช่วงนั้นโบ๋เด็กผมเรียนเก่งอย่างแรง  ผมกะไม่ได้แทงให้ท้อง ต้องมานั่งเฝ้าบ้านเหมือนคู่อื่นๆ

โบ๋เด็กผมอยู่งามแต่ไม่อ้อล้ออ้อฉิ่ง  ไปเข้าเรียนที่ราชภัฏสุราษฏ์เลยต้องไกลกับผมแต่ก็ยังคบกันรักกันดีเพราะเรามี Story ร่วมกันมาเยอะความผูกพันธ์เลยมากเป็นพิเศษ  มีแต่ผมเที่ยวเปรตอยู่แต่สวน  เปรตคนเดียวม้ายพอ ชวนเพื่อนพากันเปรตเอิดขึ้นหวันไปวันๆ  หลักๆชอบไปหรอยจีบสาวหวันเย็นๆหน้าโรงเรียนมัธยมของอำเภอ  เที่ยวทำเบล่อหยอกลูกสาว  ได้มั่งไม่ได้มั่งกะไซมัน ให้ได้หนุกได้หรอยไปนิ  กะเบอะหวางนั้นเด็กสาว ม.ปลาย ปากแด๊ง เพราะอุทัยทิพย์  แบ่งแป้งเด็กใส่กระดาษ  ทาหน้ากันหน้าขาววอก  ผมสั้นเท่าติ่งหู  อยู่งามอิตายคนๆ

คืนนึง พวกผมพากันต้มท่อมกินอยู่ขนำสวนยางที่ทำการของเรา กินกันจนดึกดื่นกะไม่มีใครว่า  เพราะไม่ได้อยู่แค่บ้านคน  อยู่กัน5คนกะพอได้เชือนเฟือนๆไป  มีโบ๋เด็กเพื่อนเป็นสาว กศน.มาแต่อิสาน  ไม่ได้ทำงานทำการ กะตามผัวที่เป็นเพื่อนผมต้อยๆ  เลยได้มานอนอยู่ที่นี่เพราะสามีมากินท่อม  นั่งๆแหลงกันยิ่งดึกยิ่งถูกใจ มันอินในอิน  อยู่ไอ้เอแหลงขึ้นว่า

*นี้นะ โบ๋สู้  มืงหว่า ผีมีจริงม้ายวะ*.........ทุกคนส่ายหน้าว่าไม่รู้กัน  อยู่มาจนป่านนี้  เห็นแต่แว้บๆไม่ใช่เห็นเป็นตัวๆที

*มื้งอยากเห็นผีกันม้ายวะ*.

*เออ  อยาก ถึงทำพรือ*

*ไปลองของกันหวานิ*

*ลองไอ่ไหร้*

*ในวัดมีบัวใส่กระดูกคนจังเสีย  เลือกสักอัน ทุบลักโกฏิทองเหลืองซะนิ*

เพราะความคะนองและอยู่กันเยอะ  พวกเราตกลงจะไปลองของกันที่วัดแห่งหนึ่ง  มันเป็นวัดที่มีเจดีย์บรรจุกระดูกคนตายเยอะแยะ  ทั้งเก่าและใหม่  ปกติทั่วไปแล้วที่วัดนั้น  วัยรุ่นชาววังวิเศษชอบใช้เป็นสถานที่แอบนั่งหยบมั่วสุมหวันเย็นๆ แต่คนภายนอกจะขลาดกลัว  เพราะบัวใส่กระดูกมันมากจนไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปใกล้  มีข่าวลือกันว่า  พระบวชใหม่ๆหลายรูป  ต้องวิ่งลงจากกุฏิกลางดึกไปพึ่งกุฏิเจ้าอาวาสนอนแทนมาหลายราย  เพราะกุฏิพระใหม่ถูกสร้างขึ้นแค่ๆบัวใส่กระดูกเหล่านี้  พวกวัยรุ่นก็มักได้ยินคำลือพวกนี้ต่อๆกัน  ว่าผีวัดนี้ดุนะ  ชอบออกมาหลอกคนบ่อยๆ  ที่ลือกันมากๆคือผีพระ
ประมาณว่าที่วัดนั้น  มีหลวงตารูปนึง  แกมาจำพรรษา  แต่ยังไม่ละกิเลส  ปลูกผลไม้รอบกุฏิ  พอมีคนไปเอามากิน  แกก็หวงมากและจะดุด่าคนที่มาเอาเหมือนแกไม่ใช่พระ  พวกชาวบ้านร้านถิ่นเลยไม่มีใครกล้าไปลักของแก  

ปกติแล้วแกจะไม่เดินบิณฑบาตรบ่อยนัก  เพราะแกหุงข้าวฉันเอง  นานๆครั้งแกจะโผล่ออกไปเดินบิณฑบาตรที่บ้านซึ่ง
เป็นญาติๆแก ไม่ยอมร่วมเดินกับขบวนพระรูปอื่นในวัด  มีชาวบ้านไม่ค่อยชอบพระรูปนี้เยอะ  แต่ทำอะไรแกไม่ได้  เพราะแกไม่ได้ทำอาบัติ  หรือเสื่อมเสีย
เช่นการพาสีกาไปเสพสังวาส  แกก็อยู่ของแกเรื่อยมา  สุงสิงบ้างแค่ตอนมีงานสวดที่พระไม่พอจริงๆ  และต้องให้เจ้าอาวาสมาเชิญเท่านั้นแกถึงจะไปร่วมสวดให้  แกก็อยู่ของแกมาได้นาน  คนเรียกชื่อแกว่า  ตาหลวงดำ (นามสมมุติ)

ต่อมาแกมรณะภาพลง ทางวัดก็เป็นเจ้าภาพร่วมกับญาติพี่น้องแกจัดงานศพ  แล้วญาติก็สร้างบัวใส่กระดูกแกใหญ่กว่าชาวบ้านเล็กน้อยไว้ในวัด  กุฏิของแกถูกรื้อทิ้งไป  เพราะมันเก่าและสกปรกมาก  ต้นไม้ที่แกปลูกไว้รกๆก็ถูกเอาออก  อันไหนยังใช้ได้  ก็ถูกเจ้าอาวาสให้เอาไปไว้ตรงนัน้ตรงนี้ตามจุดต่างๆที่เหมาะสมในวัด  ไอ่ที่บางอย่างไม่เหมาะจะเอาไว้  ใครอยากได้ก็ให้ชาวบ้านไป  แต่คนที่เอาของแกไป  ไม่นานก็ต้องพาหลบมาคืน  เพราะบอกว่า
ตาหลวงดำ ไปเยี่ยมกลางดึกกลางดื่นถึงบ้าน  มายืนเรียกให้คนในบ้านได้ยินเสียงว่า..
  
* โบ๋สู๊อยากตายเออเอาของกูมา*

ตอนแรกๆพวกเจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าอะไร  เพราะเสียงมาไวมาก แปบเดียวก็หายไป  ก็ยังไม่เอะใจหรอก  แต่ว่าจะมีเสียงนี้ดังขึ้นทุกคืน
แล้วก็ประโยคเดิมๆด้วยไม่เคยเปลี่ยน  พอพวกเด็กเอียดๆหยบแล ก็มาฟ้องพ่อแม่ว่า  

*แม่ๆ พระมาแต่ไหนม้ายโร้  ยืนแลอยู่ข้างเริน*

พอพ่อแม่เด็กเปิดออกไปก็เห็นว่า  ตาหลวงดำ ยืนมองอยู่นอกบ้านนอกรั้ว  พอคนเติบเห็นกะตกใจหงายหลัง  คนพ่อใจแข็งยืนแลสวนตะโกนออกไปว่า

*ตาหลวง อิมาหลอกผ๊มไซเล่า  หลบวัดตะเติ้น*

เงานั้นก็ชี้นิ้วไปที่กระถางต้นไม้  ที่ครอบครัวนั้นเอามาจากวัด  แล้วหายไป  คนเป็นพ่อกะรู้ พอตอเช้ากะเอาถางต้นไม้หลบไปคืน  ครอบครัวอื่นๆที่เอาไปก็เจอคล้ายๆกัน ต่างกรรมต่างวาระ  จนไม่มีใครกล้ายุ่งอะไรกับของที่เป็นของ ตาหลวงดำอีก  นี่คือตำนานที่เล่ากันต่อๆมาที่ว่าเกี่ยวกับผีพระรูปนี้  ที่ยังเล่าต่อๆกันมาในรุ่นพ่อแม่  แต่พอมาถึงรุ่นพวกผม  เพราะไม่เคยเห็นอะไรดังว่า  ก็คิดว่ามันคงเป็นตำนาน  หลอกไม่ให้พวกวัยรุ่นไปยุ่งกับอะไรที่เป็นของวัดเสียมากกว่า  เพราะในบัวใส่กระดูกพวกนั้น  บางบัว  เป็นของคนมีฐานะ  และตอนบรรจุ เขาก็ใส่ของมีค่าลงไปด้วย  ยิ่งบัวของตาหลวงดำที่กลางเก่ากลางใหม่นั้น  มันแลเติบกว่าของคนอื่น  ก็มีพวกคนใหญ่ลือให้ได้ยินว่า  พวกญาติๆตาหลวงดำ  เอาทรัพย์สินบางอย่างที่เป็นของส่วนตัวของตาหลวงดำใส่ลงไปด้วย

พอไอ่เอเล่าตำนานที่มันได้ยินมาเสร็จ  มันก็ชวนผม  ไอ่บี  ไอ่ซี ไอ่ดี รวมกัน5คน  ส่วนแฟนสาวไอ่ซี  ไอ่ซีก็ชวน  แต่เธอไม่เอาด้วย  แถมตำหนิว่าพวกผมทำอะไรกันบ้าๆ  มันไม่เอาด้วยหรอก  เลยปล่อยให้เฝ้าขนำไปคนเดียว  ความคะนองทำให้พวกผมลองของ  ไอ่เอบีซีดี  ก็ไปหาชะแลงกับค้อนปอนด์มาจากบ้านพวกมัน  แล้วขับรถเครื่องคันร้ายๆไปกัน3คัน5คน ไปจอดไม่ไกลจากวัด  ไม่อยากเข้าใกล้เกิน  กลัวจะผิดสังเกต  จอดได้เราก้พากันเดินไปตามทางมืดๆตรงไปที่บัวใส่กระดูกตาหลวงดำ

แต่ผมรู้สึกปอดขึ้นมาเฉยๆ  ถึงผมจะไม่เคยเห็น  แต่บรรยากาศมันก็ทำให้ผมเกิดกลัว  ผมเลยบอกพวกมันว่า

*เห้ย โบ๋สู้ กูไม่เอาแล้วว่ะ  กูขลาด*

*อ่ะละ มืงอิขลาดไอ่ไหร้  ใช่มีไหร้นิ *  ไอ่เอต่อว่าผม

*ขนลุกไม่หยุดทีนิ ตั้งแต่เดินเข้ามา  ไม่เอาแล้วว่ะกู*

*ปอดอิตายโห๊งนิมื้ง  เอาพันนี้  มืงไปหยบยืนข้างวิหารคอยแลกุฏิเจ้าอาวาสไว้เผื่อแกได้ยินเสียงลงมาได้มาบอกโบ๋กู*

ผมก็เลยไปคอยแลต้นทางแทน   สักพักผมได้ยินเสียงดัง ปุ๊บ ปุ๊บ  ปุ๊บ  ดังมาเบาๆ  พวกมันคงลงมือทุบและงัดเจาะบัวของตาหลวงดำแล้ว
และเสียงที่ค่อนข้างเบา  แปลว่าพวกมันคงพยายามทำให้เบาที่สุด  โชคดีว่ากุฏิพระใหม่ตอนนั้น  ไม่มีพระรูปไหนจำวัด ที่ต้องระวังคือกุฏิเจ้าอาวาสเท่านั้นเพราะท่านอยู่รูปเดียวใกล้ที่สุด  ส่วนกุฏิพระรูปอื่นๆท่านก็ไปอยู่อีกด้านไกลออกไป  พวกหมาวัดที่มีอยู่4-5ตัว  มันก็ไปสุมหัวกันอยู่อีกด้าน  มันเลยไม่มาเห่าอะไรทางด้านนี้  ผมยืนดูต้นทางใจเต้นรัวๆ เพราะกลัวถูกจับได้  มันคงจะน่าอายน่าดูถ้าถูกจับเพราะพากันมาแอบลองของแบบนี้
สักพักนึงเสียงทุบ ปุ๊บๆเงียบไป  ไม่นานก็มีเสียง  วี๊ดดดดดด  ดังเป็นสัญญาณ  ผมเลยผละออกจากจุดหลบไปที่จุดนัดพบ  แล้วพากันเดินไปที่รถเครื่อง

หลบมาถึงขนำ  พวกมันก็มานั่งหัวเราะกันว่า

* ไหนวะผีตาหลวงดำ  ทุบบัวจนเป็นรูโบ๋  ม้ายเห็นโชว์ตัวเลย * ...ไอ่เอพูด

*เอานิ กูเอามาฝากมืงกัน* ....ไอ่บี  วางของสิ่งหนึ่งลงตรงหน้าผม  ผมกระโดดโหยงหนี  มันพากันหัวเราะ  ฮ่าๆๆๆ

มันเป็นโกฏิทองเหลือง  สภาพเก่าๆจนมีสีดำๆเกาะ แลดูด่างๆหม่นๆ  แฟนสาวชาวอิสานพลัดถิ่น ของไอ่ซี
ตื่นมาเห็นเธอก็ถอยหนีเช่นกันแล้วหลุดคำต่อว่าเป็นภาษาบ้านเดิม  ด่าพวกผมโขมง ประมาณว่า

*ห้วย...เฮ็ดหยังกันจังซี่ล่ะสู  บักปอบเอ๊ยยยยย  เอาไปคืนแหมะ คือขี้เดียดเป็นตาย่านแท้น้อ*  ...พวกไอ่เอบีซีดี พากันหัวเราะหนักไปอีก

*เอาต่ะ  วันนี้เรามาท้าพิสูจน์กัน  เห็นลือกันหนัด  ว่าผีตาหลวงดำดุ  พรือล่ะ  นิ ยกมาทั้งโกฏิเลย  กูหรอย*  ..ไอ่เอทำท่าเหมือนผู้ชนะ

ผมกับแฟนสาวไอ่ซี  นั่งมองห่างๆ  รู้สึกมันมากไป  จนเช้ากก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น  แต่ที่วัดตอนบ่ายๆ  ข่าวเรื่องบัวตาหลวงดำ  โดนทุบ
และโกฏิใส่กระดูกหายไป  แต่ข้าวของมีค่าอื่นๆยังอยู่ครบ  ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งบ้าน  ตำรวจมาที่วัด  พวกผมทำใจดีสู้เสือออกไปดู
ทำตัวเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย  เขาก็วิเคราะห์ไปต่างๆนาๆว่า คนทำคงเป็นพวกหมอผี  หรือพวกเล่นคุณไสย  ถึงได้กล้าลองของ  เจาะจงมาเล่นงาน
แค่บัวของตาหลวงดำ  ที่มีข่าวลือว่าแกดุ  มีชาวบ้านบางคน บอกตำรวจว่า  เคยเห็นว่ามีหมอผีคนจรคนนึงมาป้วนเปิ้ยนอยู่ในหมู่บ้านไม่กี่วันก่อน
ทำให้พวกตำรวจและชาวบ้านล้วนแต่ลงความเห็นว่า  อาจจะเป็นพวกเล่นคุณไสยมาลองวิชา  แต่พวกญาติๆตาหลวงดำเหมือนจะโกรธแค้นเพราะไม่รู้ว่าใครทำ

พวกไอ่เอบีซีดี 4คนที่ลงมือ  มันก็ยืนตีหน้าเนียนใสไร้พิรุธ  แต่ผมนั้นแอบมุดๆอยู่หลังชาวบ้านคนอื่นๆกลัวไม่เนียน

ผ่านไป3คืน  ก็ไม่เห็นว่าจะมีผีตาหลวงดำ  มาตามหลอกตามหลอนดังคำลือ  ไอ่เอก็เอาโกฏิกระดูกมาตั้งแล้วด่ากลางวง

**อ่ะละ  ไหน๊ว่าหรอยนักหนา  นี้ทุบบัวมาตั้ง3คืนแล้ว  ไม่ออกมาหลอกมั่งเหอะเติ้น**

ไม่สาใจไอ่เอ  มันชวนพวกผม  เอาโกฏิกระดูกตาหลวงดำไปริมฝั่งแม่น้ำตรัง  ผมถามมัน

**มาทำไหร้วะไอ่เอ**

**พาตาหลวงดำมาลอยอังคาร**

**อ่ะ กูว่าพาแกหลบไปไว้บัวต่ะ**

**มืงอีบ้าเหอ  เอาหลบไป ชาวบ้าน  หรือนายตรวจพบ  ได้ติดหรางและครับเหอ ผีเผอใช่มี  กูกะคร้านเก็บไว้  หรือมื้งอีเอาไปเก็บ **

ไอ่เอ ยื่นโกฏิทองเหลืองให้ผม  ผมโบกมือ ไม่ใช่บ๊ายบาย  แต่ไม่เอา  ไม่มีใครห้ามไอ่เออีก  มันเปิดโกฏิทองเหลืองออก  คนอื่นๆพากันไปมุงดู
ผมมองอยู่ไกลกว่าคนอื่น  กระดูกชิ้นเล็กๆเทาๆขาวๆอยู่ในนั้น  ไอ่เอ  ค่อยๆเทกระดูกตาหลวงดำลงแม่น้ำตรัง
กระดูกหล่นลงไปในแม่น้ำ  พวกมันพากันเฮฮาว่า

**พาตาหลวงดำไปเที่ยวเลตรังสักทีเว้อ  แม่น้ำตรัง  ฝากกัน**

แล้วไอ่เอ  ก็ขว้างโกฏิทองเหลืองเปล่าๆนั้น  ทิ้งตามลงไปในแม่น้ำ  ไอ่เอขว้างตัวโกฏิ  ส่วนไอ่บีขว้างส่วนฝา  ไปตามทางยาวของแม่น้ำแข่งกันว่าใครขว้างไกลกว่า  ตาหลวงดำ  เลยลงไปอยู่ในแม่น้ำตรังทั้งโกฏิและกระดูกที่ถูกแยกส่วน  

จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น  ที่ไอ่เอบีซีดีและผม ไปลองของกับบัวและโกฏิกระดูกตาหลวงดำ  จนถึงเอาแกไปโยนลงแม่น้ำ  พวกเราก็ยังอยู่เย็นเป็นสุขดี
แต่ความลับไม่มีในโลก  เพราะแฟนสาวของไอ่ซีเลิกกับไอ่ซี  เพราะไอ่ซีเจ้าชู้  เธอโมโหเลยไปบอกญาติๆของตาหลวงดำ  ว่าไอ่ซีเป็นคนมาขโมยทุบบัวตาหลวงดำแล้วเอาโกฏิทองเหลืองไป  ไอ่ซีโดนจับ  ไอ่ซีก็ยอมรับ  แต่ไม่ยอมซัดทอดคนอื่น  มันบอกมันทำคนเดียว  เพราะอยากเห็นผีตาหลวงดำ
ตามคำร่ำลือ  พวกญาติๆตาหลวงดำโกรธมาก  แต่พ่อแม่ไอ่ซีไปกราบขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องเลย  แล้วจจะ่ายเงินค่าเสียหายให้  ญาติตาหลวงดำก็ยอมรับข้อเสนอ  เลยไม่ได้ไปแจ้งตำรวจ  แต่ไอ่ซีก็ไม่กล้าสู้หน้าอยู่ในหมู่บ้าน  มันเลยขอพ่อแม่ไปอยู่กับญาติที่นครแถวพรหมคีรี

จนกระทั่งวันนึง  พ่อแม่มัน พาไอ่ซีกลับมาที่หมู่บ้าน  แต่เป็นการพากลับมาจัดงานศพที่วัดบ้านเกิดครับ.........

(ตัวอักษรเต็ม เดี๋ยวต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่