
**ภาพจากอินเตอร์เน็ต**
**เล่าด้วยภาษาบ้านนอก ไม่เหมาะสำหรับผู้เคร่งครัดในภาษาหรือผู้ดีมาอ่าน**
**เล่าให้อ่านไม่ได้เล่าให้เชื่อ**
**คำใต้เยอะ ไม่แนะนำให้คนภาคอื่นอ่านแล้วมาด่าผมว่าไม่รู้เรื่อง**
มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่ผมว่ามันก็ประหลาด เรื่องเคยเกิดตอนผมเป็นวัยรุ่น ช่วงนั้นผมอายุ18-19ปี ผมไม่ได้เรียนต่อไม่ใช่เพราะ
ไม่มีปัญญาเรียนแต่เพราะผมไม่ได้มีความพากเพียรจะเรียน ผมก็เป็นเด็กบ้านๆฉบับชาวใต้ทั่วไปที่พ่อแม่มีสวนยางให้ทำกิน ในยุคนั้นใครมีสวนยาง
จะอยู่ดีกินดีเพราะราคายางไม่เหมือนยุคนี้ ผมก็เลยสบาย ลอยตัวเกาะพ่อแม่กินไปวันๆช่วยงานบ้างแค่เวลาต้องการอะไรสักอย่าง
ตอนนั้นผมไม่เรียนก็ได้ไปจับกลุ่มกับพวกวัยรุ่น คราวๆกัน วันทั้งวันไม่ทำไหร้ นอกจากสุมหัวหาสิ่งไม่ดีไม่งามทำก็คงไม่ต้องอธิบายว่ามีอะไรมั่งในวงการวัยรุ่นที่จะหามาเสพได้ แต่เหล้าคือปฐมพื้นฐานในการตั้งวงอย่างอื่นถือเป็นของแถมเป็นทีๆ นารีคือสิ่งที่พึงมีไว้ประดับเบาะรถ ยกเว้นผม
ไม่ใช่ผมไม่มีโบ๋เด็กกับเค้า แต่เพราะช่วงนั้นโบ๋เด็กผมเรียนเก่งอย่างแรง ผมกะไม่ได้แทงให้ท้อง ต้องมานั่งเฝ้าบ้านเหมือนคู่อื่นๆ
โบ๋เด็กผมอยู่งามแต่ไม่อ้อล้ออ้อฉิ่ง ไปเข้าเรียนที่ราชภัฏสุราษฏ์เลยต้องไกลกับผมแต่ก็ยังคบกันรักกันดีเพราะเรามี Story ร่วมกันมาเยอะความผูกพันธ์เลยมากเป็นพิเศษ มีแต่ผมเที่ยวเปรตอยู่แต่สวน เปรตคนเดียวม้ายพอ ชวนเพื่อนพากันเปรตเอิดขึ้นหวันไปวันๆ หลักๆชอบไปหรอยจีบสาวหวันเย็นๆหน้าโรงเรียนมัธยมของอำเภอ เที่ยวทำเบล่อหยอกลูกสาว ได้มั่งไม่ได้มั่งกะไซมัน ให้ได้หนุกได้หรอยไปนิ กะเบอะหวางนั้นเด็กสาว ม.ปลาย ปากแด๊ง เพราะอุทัยทิพย์ แบ่งแป้งเด็กใส่กระดาษ ทาหน้ากันหน้าขาววอก ผมสั้นเท่าติ่งหู อยู่งามอิตายคนๆ
คืนนึง พวกผมพากันต้มท่อมกินอยู่ขนำสวนยางที่ทำการของเรา กินกันจนดึกดื่นกะไม่มีใครว่า เพราะไม่ได้อยู่แค่บ้านคน อยู่กัน5คนกะพอได้เชือนเฟือนๆไป มีโบ๋เด็กเพื่อนเป็นสาว กศน.มาแต่อิสาน ไม่ได้ทำงานทำการ กะตามผัวที่เป็นเพื่อนผมต้อยๆ เลยได้มานอนอยู่ที่นี่เพราะสามีมากินท่อม นั่งๆแหลงกันยิ่งดึกยิ่งถูกใจ มันอินในอิน อยู่ไอ้เอแหลงขึ้นว่า
*นี้นะ โบ๋สู้ มืงหว่า ผีมีจริงม้ายวะ*.........ทุกคนส่ายหน้าว่าไม่รู้กัน อยู่มาจนป่านนี้ เห็นแต่แว้บๆไม่ใช่เห็นเป็นตัวๆที
*มื้งอยากเห็นผีกันม้ายวะ*.
*เออ อยาก ถึงทำพรือ*
*ไปลองของกันหวานิ*
*ลองไอ่ไหร้*
*ในวัดมีบัวใส่กระดูกคนจังเสีย เลือกสักอัน ทุบลักโกฏิทองเหลืองซะนิ*
เพราะความคะนองและอยู่กันเยอะ พวกเราตกลงจะไปลองของกันที่วัดแห่งหนึ่ง มันเป็นวัดที่มีเจดีย์บรรจุกระดูกคนตายเยอะแยะ ทั้งเก่าและใหม่ ปกติทั่วไปแล้วที่วัดนั้น วัยรุ่นชาววังวิเศษชอบใช้เป็นสถานที่แอบนั่งหยบมั่วสุมหวันเย็นๆ แต่คนภายนอกจะขลาดกลัว เพราะบัวใส่กระดูกมันมากจนไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปใกล้ มีข่าวลือกันว่า พระบวชใหม่ๆหลายรูป ต้องวิ่งลงจากกุฏิกลางดึกไปพึ่งกุฏิเจ้าอาวาสนอนแทนมาหลายราย เพราะกุฏิพระใหม่ถูกสร้างขึ้นแค่ๆบัวใส่กระดูกเหล่านี้ พวกวัยรุ่นก็มักได้ยินคำลือพวกนี้ต่อๆกัน ว่าผีวัดนี้ดุนะ ชอบออกมาหลอกคนบ่อยๆ ที่ลือกันมากๆคือผีพระ
ประมาณว่าที่วัดนั้น มีหลวงตารูปนึง แกมาจำพรรษา แต่ยังไม่ละกิเลส ปลูกผลไม้รอบกุฏิ พอมีคนไปเอามากิน แกก็หวงมากและจะดุด่าคนที่มาเอาเหมือนแกไม่ใช่พระ พวกชาวบ้านร้านถิ่นเลยไม่มีใครกล้าไปลักของแก
ปกติแล้วแกจะไม่เดินบิณฑบาตรบ่อยนัก เพราะแกหุงข้าวฉันเอง นานๆครั้งแกจะโผล่ออกไปเดินบิณฑบาตรที่บ้านซึ่ง
เป็นญาติๆแก ไม่ยอมร่วมเดินกับขบวนพระรูปอื่นในวัด มีชาวบ้านไม่ค่อยชอบพระรูปนี้เยอะ แต่ทำอะไรแกไม่ได้ เพราะแกไม่ได้ทำอาบัติ หรือเสื่อมเสีย
เช่นการพาสีกาไปเสพสังวาส แกก็อยู่ของแกเรื่อยมา สุงสิงบ้างแค่ตอนมีงานสวดที่พระไม่พอจริงๆ และต้องให้เจ้าอาวาสมาเชิญเท่านั้นแกถึงจะไปร่วมสวดให้ แกก็อยู่ของแกมาได้นาน คนเรียกชื่อแกว่า ตาหลวงดำ (นามสมมุติ)
ต่อมาแกมรณะภาพลง ทางวัดก็เป็นเจ้าภาพร่วมกับญาติพี่น้องแกจัดงานศพ แล้วญาติก็สร้างบัวใส่กระดูกแกใหญ่กว่าชาวบ้านเล็กน้อยไว้ในวัด กุฏิของแกถูกรื้อทิ้งไป เพราะมันเก่าและสกปรกมาก ต้นไม้ที่แกปลูกไว้รกๆก็ถูกเอาออก อันไหนยังใช้ได้ ก็ถูกเจ้าอาวาสให้เอาไปไว้ตรงนัน้ตรงนี้ตามจุดต่างๆที่เหมาะสมในวัด ไอ่ที่บางอย่างไม่เหมาะจะเอาไว้ ใครอยากได้ก็ให้ชาวบ้านไป แต่คนที่เอาของแกไป ไม่นานก็ต้องพาหลบมาคืน เพราะบอกว่า
ตาหลวงดำ ไปเยี่ยมกลางดึกกลางดื่นถึงบ้าน มายืนเรียกให้คนในบ้านได้ยินเสียงว่า..
* โบ๋สู๊อยากตายเออเอาของกูมา*
ตอนแรกๆพวกเจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะเสียงมาไวมาก แปบเดียวก็หายไป ก็ยังไม่เอะใจหรอก แต่ว่าจะมีเสียงนี้ดังขึ้นทุกคืน
แล้วก็ประโยคเดิมๆด้วยไม่เคยเปลี่ยน พอพวกเด็กเอียดๆหยบแล ก็มาฟ้องพ่อแม่ว่า
*แม่ๆ พระมาแต่ไหนม้ายโร้ ยืนแลอยู่ข้างเริน*
พอพ่อแม่เด็กเปิดออกไปก็เห็นว่า ตาหลวงดำ ยืนมองอยู่นอกบ้านนอกรั้ว พอคนเติบเห็นกะตกใจหงายหลัง คนพ่อใจแข็งยืนแลสวนตะโกนออกไปว่า
*ตาหลวง อิมาหลอกผ๊มไซเล่า หลบวัดตะเติ้น*
เงานั้นก็ชี้นิ้วไปที่กระถางต้นไม้ ที่ครอบครัวนั้นเอามาจากวัด แล้วหายไป คนเป็นพ่อกะรู้ พอตอเช้ากะเอาถางต้นไม้หลบไปคืน ครอบครัวอื่นๆที่เอาไปก็เจอคล้ายๆกัน ต่างกรรมต่างวาระ จนไม่มีใครกล้ายุ่งอะไรกับของที่เป็นของ ตาหลวงดำอีก นี่คือตำนานที่เล่ากันต่อๆมาที่ว่าเกี่ยวกับผีพระรูปนี้ ที่ยังเล่าต่อๆกันมาในรุ่นพ่อแม่ แต่พอมาถึงรุ่นพวกผม เพราะไม่เคยเห็นอะไรดังว่า ก็คิดว่ามันคงเป็นตำนาน หลอกไม่ให้พวกวัยรุ่นไปยุ่งกับอะไรที่เป็นของวัดเสียมากกว่า เพราะในบัวใส่กระดูกพวกนั้น บางบัว เป็นของคนมีฐานะ และตอนบรรจุ เขาก็ใส่ของมีค่าลงไปด้วย ยิ่งบัวของตาหลวงดำที่กลางเก่ากลางใหม่นั้น มันแลเติบกว่าของคนอื่น ก็มีพวกคนใหญ่ลือให้ได้ยินว่า พวกญาติๆตาหลวงดำ เอาทรัพย์สินบางอย่างที่เป็นของส่วนตัวของตาหลวงดำใส่ลงไปด้วย
พอไอ่เอเล่าตำนานที่มันได้ยินมาเสร็จ มันก็ชวนผม ไอ่บี ไอ่ซี ไอ่ดี รวมกัน5คน ส่วนแฟนสาวไอ่ซี ไอ่ซีก็ชวน แต่เธอไม่เอาด้วย แถมตำหนิว่าพวกผมทำอะไรกันบ้าๆ มันไม่เอาด้วยหรอก เลยปล่อยให้เฝ้าขนำไปคนเดียว ความคะนองทำให้พวกผมลองของ ไอ่เอบีซีดี ก็ไปหาชะแลงกับค้อนปอนด์มาจากบ้านพวกมัน แล้วขับรถเครื่องคันร้ายๆไปกัน3คัน5คน ไปจอดไม่ไกลจากวัด ไม่อยากเข้าใกล้เกิน กลัวจะผิดสังเกต จอดได้เราก้พากันเดินไปตามทางมืดๆตรงไปที่บัวใส่กระดูกตาหลวงดำ
แต่ผมรู้สึกปอดขึ้นมาเฉยๆ ถึงผมจะไม่เคยเห็น แต่บรรยากาศมันก็ทำให้ผมเกิดกลัว ผมเลยบอกพวกมันว่า
*เห้ย โบ๋สู้ กูไม่เอาแล้วว่ะ กูขลาด*
*อ่ะละ มืงอิขลาดไอ่ไหร้ ใช่มีไหร้นิ * ไอ่เอต่อว่าผม
*ขนลุกไม่หยุดทีนิ ตั้งแต่เดินเข้ามา ไม่เอาแล้วว่ะกู*
*ปอดอิตายโห๊งนิมื้ง เอาพันนี้ มืงไปหยบยืนข้างวิหารคอยแลกุฏิเจ้าอาวาสไว้เผื่อแกได้ยินเสียงลงมาได้มาบอกโบ๋กู*
ผมก็เลยไปคอยแลต้นทางแทน สักพักผมได้ยินเสียงดัง ปุ๊บ ปุ๊บ ปุ๊บ ดังมาเบาๆ พวกมันคงลงมือทุบและงัดเจาะบัวของตาหลวงดำแล้ว
และเสียงที่ค่อนข้างเบา แปลว่าพวกมันคงพยายามทำให้เบาที่สุด โชคดีว่ากุฏิพระใหม่ตอนนั้น ไม่มีพระรูปไหนจำวัด ที่ต้องระวังคือกุฏิเจ้าอาวาสเท่านั้นเพราะท่านอยู่รูปเดียวใกล้ที่สุด ส่วนกุฏิพระรูปอื่นๆท่านก็ไปอยู่อีกด้านไกลออกไป พวกหมาวัดที่มีอยู่4-5ตัว มันก็ไปสุมหัวกันอยู่อีกด้าน มันเลยไม่มาเห่าอะไรทางด้านนี้ ผมยืนดูต้นทางใจเต้นรัวๆ เพราะกลัวถูกจับได้ มันคงจะน่าอายน่าดูถ้าถูกจับเพราะพากันมาแอบลองของแบบนี้
สักพักนึงเสียงทุบ ปุ๊บๆเงียบไป ไม่นานก็มีเสียง วี๊ดดดดดด ดังเป็นสัญญาณ ผมเลยผละออกจากจุดหลบไปที่จุดนัดพบ แล้วพากันเดินไปที่รถเครื่อง
หลบมาถึงขนำ พวกมันก็มานั่งหัวเราะกันว่า
* ไหนวะผีตาหลวงดำ ทุบบัวจนเป็นรูโบ๋ ม้ายเห็นโชว์ตัวเลย * ...ไอ่เอพูด
*เอานิ กูเอามาฝากมืงกัน* ....ไอ่บี วางของสิ่งหนึ่งลงตรงหน้าผม ผมกระโดดโหยงหนี มันพากันหัวเราะ ฮ่าๆๆๆ
มันเป็นโกฏิทองเหลือง สภาพเก่าๆจนมีสีดำๆเกาะ แลดูด่างๆหม่นๆ แฟนสาวชาวอิสานพลัดถิ่น ของไอ่ซี
ตื่นมาเห็นเธอก็ถอยหนีเช่นกันแล้วหลุดคำต่อว่าเป็นภาษาบ้านเดิม ด่าพวกผมโขมง ประมาณว่า
*ห้วย...เฮ็ดหยังกันจังซี่ล่ะสู บักปอบเอ๊ยยยยย เอาไปคืนแหมะ คือขี้เดียดเป็นตาย่านแท้น้อ* ...พวกไอ่เอบีซีดี พากันหัวเราะหนักไปอีก
*เอาต่ะ วันนี้เรามาท้าพิสูจน์กัน เห็นลือกันหนัด ว่าผีตาหลวงดำดุ พรือล่ะ นิ ยกมาทั้งโกฏิเลย กูหรอย* ..ไอ่เอทำท่าเหมือนผู้ชนะ
ผมกับแฟนสาวไอ่ซี นั่งมองห่างๆ รู้สึกมันมากไป จนเช้ากก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่วัดตอนบ่ายๆ ข่าวเรื่องบัวตาหลวงดำ โดนทุบ
และโกฏิใส่กระดูกหายไป แต่ข้าวของมีค่าอื่นๆยังอยู่ครบ ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งบ้าน ตำรวจมาที่วัด พวกผมทำใจดีสู้เสือออกไปดู
ทำตัวเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย เขาก็วิเคราะห์ไปต่างๆนาๆว่า คนทำคงเป็นพวกหมอผี หรือพวกเล่นคุณไสย ถึงได้กล้าลองของ เจาะจงมาเล่นงาน
แค่บัวของตาหลวงดำ ที่มีข่าวลือว่าแกดุ มีชาวบ้านบางคน บอกตำรวจว่า เคยเห็นว่ามีหมอผีคนจรคนนึงมาป้วนเปิ้ยนอยู่ในหมู่บ้านไม่กี่วันก่อน
ทำให้พวกตำรวจและชาวบ้านล้วนแต่ลงความเห็นว่า อาจจะเป็นพวกเล่นคุณไสยมาลองวิชา แต่พวกญาติๆตาหลวงดำเหมือนจะโกรธแค้นเพราะไม่รู้ว่าใครทำ
พวกไอ่เอบีซีดี 4คนที่ลงมือ มันก็ยืนตีหน้าเนียนใสไร้พิรุธ แต่ผมนั้นแอบมุดๆอยู่หลังชาวบ้านคนอื่นๆกลัวไม่เนียน
ผ่านไป3คืน ก็ไม่เห็นว่าจะมีผีตาหลวงดำ มาตามหลอกตามหลอนดังคำลือ ไอ่เอก็เอาโกฏิกระดูกมาตั้งแล้วด่ากลางวง
**อ่ะละ ไหน๊ว่าหรอยนักหนา นี้ทุบบัวมาตั้ง3คืนแล้ว ไม่ออกมาหลอกมั่งเหอะเติ้น**
ไม่สาใจไอ่เอ มันชวนพวกผม เอาโกฏิกระดูกตาหลวงดำไปริมฝั่งแม่น้ำตรัง ผมถามมัน
**มาทำไหร้วะไอ่เอ**
**พาตาหลวงดำมาลอยอังคาร**
**อ่ะ กูว่าพาแกหลบไปไว้บัวต่ะ**
**มืงอีบ้าเหอ เอาหลบไป ชาวบ้าน หรือนายตรวจพบ ได้ติดหรางและครับเหอ ผีเผอใช่มี กูกะคร้านเก็บไว้ หรือมื้งอีเอาไปเก็บ **
ไอ่เอ ยื่นโกฏิทองเหลืองให้ผม ผมโบกมือ ไม่ใช่บ๊ายบาย แต่ไม่เอา ไม่มีใครห้ามไอ่เออีก มันเปิดโกฏิทองเหลืองออก คนอื่นๆพากันไปมุงดู
ผมมองอยู่ไกลกว่าคนอื่น กระดูกชิ้นเล็กๆเทาๆขาวๆอยู่ในนั้น ไอ่เอ ค่อยๆเทกระดูกตาหลวงดำลงแม่น้ำตรัง
กระดูกหล่นลงไปในแม่น้ำ พวกมันพากันเฮฮาว่า
**พาตาหลวงดำไปเที่ยวเลตรังสักทีเว้อ แม่น้ำตรัง ฝากกัน**
แล้วไอ่เอ ก็ขว้างโกฏิทองเหลืองเปล่าๆนั้น ทิ้งตามลงไปในแม่น้ำ ไอ่เอขว้างตัวโกฏิ ส่วนไอ่บีขว้างส่วนฝา ไปตามทางยาวของแม่น้ำแข่งกันว่าใครขว้างไกลกว่า ตาหลวงดำ เลยลงไปอยู่ในแม่น้ำตรังทั้งโกฏิและกระดูกที่ถูกแยกส่วน
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ที่ไอ่เอบีซีดีและผม ไปลองของกับบัวและโกฏิกระดูกตาหลวงดำ จนถึงเอาแกไปโยนลงแม่น้ำ พวกเราก็ยังอยู่เย็นเป็นสุขดี
แต่ความลับไม่มีในโลก เพราะแฟนสาวของไอ่ซีเลิกกับไอ่ซี เพราะไอ่ซีเจ้าชู้ เธอโมโหเลยไปบอกญาติๆของตาหลวงดำ ว่าไอ่ซีเป็นคนมาขโมยทุบบัวตาหลวงดำแล้วเอาโกฏิทองเหลืองไป ไอ่ซีโดนจับ ไอ่ซีก็ยอมรับ แต่ไม่ยอมซัดทอดคนอื่น มันบอกมันทำคนเดียว เพราะอยากเห็นผีตาหลวงดำ
ตามคำร่ำลือ พวกญาติๆตาหลวงดำโกรธมาก แต่พ่อแม่ไอ่ซีไปกราบขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องเลย แล้วจจะ่ายเงินค่าเสียหายให้ ญาติตาหลวงดำก็ยอมรับข้อเสนอ เลยไม่ได้ไปแจ้งตำรวจ แต่ไอ่ซีก็ไม่กล้าสู้หน้าอยู่ในหมู่บ้าน มันเลยขอพ่อแม่ไปอยู่กับญาติที่นครแถวพรหมคีรี
จนกระทั่งวันนึง พ่อแม่มัน พาไอ่ซีกลับมาที่หมู่บ้าน แต่เป็นการพากลับมาจัดงานศพที่วัดบ้านเกิดครับ.........
(ตัวอักษรเต็ม เดี๋ยวต่อครับ)
ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย
**ภาพจากอินเตอร์เน็ต**
**เล่าด้วยภาษาบ้านนอก ไม่เหมาะสำหรับผู้เคร่งครัดในภาษาหรือผู้ดีมาอ่าน**
**เล่าให้อ่านไม่ได้เล่าให้เชื่อ**
**คำใต้เยอะ ไม่แนะนำให้คนภาคอื่นอ่านแล้วมาด่าผมว่าไม่รู้เรื่อง**
มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่ผมว่ามันก็ประหลาด เรื่องเคยเกิดตอนผมเป็นวัยรุ่น ช่วงนั้นผมอายุ18-19ปี ผมไม่ได้เรียนต่อไม่ใช่เพราะ
ไม่มีปัญญาเรียนแต่เพราะผมไม่ได้มีความพากเพียรจะเรียน ผมก็เป็นเด็กบ้านๆฉบับชาวใต้ทั่วไปที่พ่อแม่มีสวนยางให้ทำกิน ในยุคนั้นใครมีสวนยาง
จะอยู่ดีกินดีเพราะราคายางไม่เหมือนยุคนี้ ผมก็เลยสบาย ลอยตัวเกาะพ่อแม่กินไปวันๆช่วยงานบ้างแค่เวลาต้องการอะไรสักอย่าง
ตอนนั้นผมไม่เรียนก็ได้ไปจับกลุ่มกับพวกวัยรุ่น คราวๆกัน วันทั้งวันไม่ทำไหร้ นอกจากสุมหัวหาสิ่งไม่ดีไม่งามทำก็คงไม่ต้องอธิบายว่ามีอะไรมั่งในวงการวัยรุ่นที่จะหามาเสพได้ แต่เหล้าคือปฐมพื้นฐานในการตั้งวงอย่างอื่นถือเป็นของแถมเป็นทีๆ นารีคือสิ่งที่พึงมีไว้ประดับเบาะรถ ยกเว้นผม
ไม่ใช่ผมไม่มีโบ๋เด็กกับเค้า แต่เพราะช่วงนั้นโบ๋เด็กผมเรียนเก่งอย่างแรง ผมกะไม่ได้แทงให้ท้อง ต้องมานั่งเฝ้าบ้านเหมือนคู่อื่นๆ
โบ๋เด็กผมอยู่งามแต่ไม่อ้อล้ออ้อฉิ่ง ไปเข้าเรียนที่ราชภัฏสุราษฏ์เลยต้องไกลกับผมแต่ก็ยังคบกันรักกันดีเพราะเรามี Story ร่วมกันมาเยอะความผูกพันธ์เลยมากเป็นพิเศษ มีแต่ผมเที่ยวเปรตอยู่แต่สวน เปรตคนเดียวม้ายพอ ชวนเพื่อนพากันเปรตเอิดขึ้นหวันไปวันๆ หลักๆชอบไปหรอยจีบสาวหวันเย็นๆหน้าโรงเรียนมัธยมของอำเภอ เที่ยวทำเบล่อหยอกลูกสาว ได้มั่งไม่ได้มั่งกะไซมัน ให้ได้หนุกได้หรอยไปนิ กะเบอะหวางนั้นเด็กสาว ม.ปลาย ปากแด๊ง เพราะอุทัยทิพย์ แบ่งแป้งเด็กใส่กระดาษ ทาหน้ากันหน้าขาววอก ผมสั้นเท่าติ่งหู อยู่งามอิตายคนๆ
คืนนึง พวกผมพากันต้มท่อมกินอยู่ขนำสวนยางที่ทำการของเรา กินกันจนดึกดื่นกะไม่มีใครว่า เพราะไม่ได้อยู่แค่บ้านคน อยู่กัน5คนกะพอได้เชือนเฟือนๆไป มีโบ๋เด็กเพื่อนเป็นสาว กศน.มาแต่อิสาน ไม่ได้ทำงานทำการ กะตามผัวที่เป็นเพื่อนผมต้อยๆ เลยได้มานอนอยู่ที่นี่เพราะสามีมากินท่อม นั่งๆแหลงกันยิ่งดึกยิ่งถูกใจ มันอินในอิน อยู่ไอ้เอแหลงขึ้นว่า
*นี้นะ โบ๋สู้ มืงหว่า ผีมีจริงม้ายวะ*.........ทุกคนส่ายหน้าว่าไม่รู้กัน อยู่มาจนป่านนี้ เห็นแต่แว้บๆไม่ใช่เห็นเป็นตัวๆที
*มื้งอยากเห็นผีกันม้ายวะ*.
*เออ อยาก ถึงทำพรือ*
*ไปลองของกันหวานิ*
*ลองไอ่ไหร้*
*ในวัดมีบัวใส่กระดูกคนจังเสีย เลือกสักอัน ทุบลักโกฏิทองเหลืองซะนิ*
เพราะความคะนองและอยู่กันเยอะ พวกเราตกลงจะไปลองของกันที่วัดแห่งหนึ่ง มันเป็นวัดที่มีเจดีย์บรรจุกระดูกคนตายเยอะแยะ ทั้งเก่าและใหม่ ปกติทั่วไปแล้วที่วัดนั้น วัยรุ่นชาววังวิเศษชอบใช้เป็นสถานที่แอบนั่งหยบมั่วสุมหวันเย็นๆ แต่คนภายนอกจะขลาดกลัว เพราะบัวใส่กระดูกมันมากจนไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปใกล้ มีข่าวลือกันว่า พระบวชใหม่ๆหลายรูป ต้องวิ่งลงจากกุฏิกลางดึกไปพึ่งกุฏิเจ้าอาวาสนอนแทนมาหลายราย เพราะกุฏิพระใหม่ถูกสร้างขึ้นแค่ๆบัวใส่กระดูกเหล่านี้ พวกวัยรุ่นก็มักได้ยินคำลือพวกนี้ต่อๆกัน ว่าผีวัดนี้ดุนะ ชอบออกมาหลอกคนบ่อยๆ ที่ลือกันมากๆคือผีพระ
ประมาณว่าที่วัดนั้น มีหลวงตารูปนึง แกมาจำพรรษา แต่ยังไม่ละกิเลส ปลูกผลไม้รอบกุฏิ พอมีคนไปเอามากิน แกก็หวงมากและจะดุด่าคนที่มาเอาเหมือนแกไม่ใช่พระ พวกชาวบ้านร้านถิ่นเลยไม่มีใครกล้าไปลักของแก
ปกติแล้วแกจะไม่เดินบิณฑบาตรบ่อยนัก เพราะแกหุงข้าวฉันเอง นานๆครั้งแกจะโผล่ออกไปเดินบิณฑบาตรที่บ้านซึ่ง
เป็นญาติๆแก ไม่ยอมร่วมเดินกับขบวนพระรูปอื่นในวัด มีชาวบ้านไม่ค่อยชอบพระรูปนี้เยอะ แต่ทำอะไรแกไม่ได้ เพราะแกไม่ได้ทำอาบัติ หรือเสื่อมเสีย
เช่นการพาสีกาไปเสพสังวาส แกก็อยู่ของแกเรื่อยมา สุงสิงบ้างแค่ตอนมีงานสวดที่พระไม่พอจริงๆ และต้องให้เจ้าอาวาสมาเชิญเท่านั้นแกถึงจะไปร่วมสวดให้ แกก็อยู่ของแกมาได้นาน คนเรียกชื่อแกว่า ตาหลวงดำ (นามสมมุติ)
ต่อมาแกมรณะภาพลง ทางวัดก็เป็นเจ้าภาพร่วมกับญาติพี่น้องแกจัดงานศพ แล้วญาติก็สร้างบัวใส่กระดูกแกใหญ่กว่าชาวบ้านเล็กน้อยไว้ในวัด กุฏิของแกถูกรื้อทิ้งไป เพราะมันเก่าและสกปรกมาก ต้นไม้ที่แกปลูกไว้รกๆก็ถูกเอาออก อันไหนยังใช้ได้ ก็ถูกเจ้าอาวาสให้เอาไปไว้ตรงนัน้ตรงนี้ตามจุดต่างๆที่เหมาะสมในวัด ไอ่ที่บางอย่างไม่เหมาะจะเอาไว้ ใครอยากได้ก็ให้ชาวบ้านไป แต่คนที่เอาของแกไป ไม่นานก็ต้องพาหลบมาคืน เพราะบอกว่า
ตาหลวงดำ ไปเยี่ยมกลางดึกกลางดื่นถึงบ้าน มายืนเรียกให้คนในบ้านได้ยินเสียงว่า..
* โบ๋สู๊อยากตายเออเอาของกูมา*
ตอนแรกๆพวกเจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะเสียงมาไวมาก แปบเดียวก็หายไป ก็ยังไม่เอะใจหรอก แต่ว่าจะมีเสียงนี้ดังขึ้นทุกคืน
แล้วก็ประโยคเดิมๆด้วยไม่เคยเปลี่ยน พอพวกเด็กเอียดๆหยบแล ก็มาฟ้องพ่อแม่ว่า
*แม่ๆ พระมาแต่ไหนม้ายโร้ ยืนแลอยู่ข้างเริน*
พอพ่อแม่เด็กเปิดออกไปก็เห็นว่า ตาหลวงดำ ยืนมองอยู่นอกบ้านนอกรั้ว พอคนเติบเห็นกะตกใจหงายหลัง คนพ่อใจแข็งยืนแลสวนตะโกนออกไปว่า
*ตาหลวง อิมาหลอกผ๊มไซเล่า หลบวัดตะเติ้น*
เงานั้นก็ชี้นิ้วไปที่กระถางต้นไม้ ที่ครอบครัวนั้นเอามาจากวัด แล้วหายไป คนเป็นพ่อกะรู้ พอตอเช้ากะเอาถางต้นไม้หลบไปคืน ครอบครัวอื่นๆที่เอาไปก็เจอคล้ายๆกัน ต่างกรรมต่างวาระ จนไม่มีใครกล้ายุ่งอะไรกับของที่เป็นของ ตาหลวงดำอีก นี่คือตำนานที่เล่ากันต่อๆมาที่ว่าเกี่ยวกับผีพระรูปนี้ ที่ยังเล่าต่อๆกันมาในรุ่นพ่อแม่ แต่พอมาถึงรุ่นพวกผม เพราะไม่เคยเห็นอะไรดังว่า ก็คิดว่ามันคงเป็นตำนาน หลอกไม่ให้พวกวัยรุ่นไปยุ่งกับอะไรที่เป็นของวัดเสียมากกว่า เพราะในบัวใส่กระดูกพวกนั้น บางบัว เป็นของคนมีฐานะ และตอนบรรจุ เขาก็ใส่ของมีค่าลงไปด้วย ยิ่งบัวของตาหลวงดำที่กลางเก่ากลางใหม่นั้น มันแลเติบกว่าของคนอื่น ก็มีพวกคนใหญ่ลือให้ได้ยินว่า พวกญาติๆตาหลวงดำ เอาทรัพย์สินบางอย่างที่เป็นของส่วนตัวของตาหลวงดำใส่ลงไปด้วย
พอไอ่เอเล่าตำนานที่มันได้ยินมาเสร็จ มันก็ชวนผม ไอ่บี ไอ่ซี ไอ่ดี รวมกัน5คน ส่วนแฟนสาวไอ่ซี ไอ่ซีก็ชวน แต่เธอไม่เอาด้วย แถมตำหนิว่าพวกผมทำอะไรกันบ้าๆ มันไม่เอาด้วยหรอก เลยปล่อยให้เฝ้าขนำไปคนเดียว ความคะนองทำให้พวกผมลองของ ไอ่เอบีซีดี ก็ไปหาชะแลงกับค้อนปอนด์มาจากบ้านพวกมัน แล้วขับรถเครื่องคันร้ายๆไปกัน3คัน5คน ไปจอดไม่ไกลจากวัด ไม่อยากเข้าใกล้เกิน กลัวจะผิดสังเกต จอดได้เราก้พากันเดินไปตามทางมืดๆตรงไปที่บัวใส่กระดูกตาหลวงดำ
แต่ผมรู้สึกปอดขึ้นมาเฉยๆ ถึงผมจะไม่เคยเห็น แต่บรรยากาศมันก็ทำให้ผมเกิดกลัว ผมเลยบอกพวกมันว่า
*เห้ย โบ๋สู้ กูไม่เอาแล้วว่ะ กูขลาด*
*อ่ะละ มืงอิขลาดไอ่ไหร้ ใช่มีไหร้นิ * ไอ่เอต่อว่าผม
*ขนลุกไม่หยุดทีนิ ตั้งแต่เดินเข้ามา ไม่เอาแล้วว่ะกู*
*ปอดอิตายโห๊งนิมื้ง เอาพันนี้ มืงไปหยบยืนข้างวิหารคอยแลกุฏิเจ้าอาวาสไว้เผื่อแกได้ยินเสียงลงมาได้มาบอกโบ๋กู*
ผมก็เลยไปคอยแลต้นทางแทน สักพักผมได้ยินเสียงดัง ปุ๊บ ปุ๊บ ปุ๊บ ดังมาเบาๆ พวกมันคงลงมือทุบและงัดเจาะบัวของตาหลวงดำแล้ว
และเสียงที่ค่อนข้างเบา แปลว่าพวกมันคงพยายามทำให้เบาที่สุด โชคดีว่ากุฏิพระใหม่ตอนนั้น ไม่มีพระรูปไหนจำวัด ที่ต้องระวังคือกุฏิเจ้าอาวาสเท่านั้นเพราะท่านอยู่รูปเดียวใกล้ที่สุด ส่วนกุฏิพระรูปอื่นๆท่านก็ไปอยู่อีกด้านไกลออกไป พวกหมาวัดที่มีอยู่4-5ตัว มันก็ไปสุมหัวกันอยู่อีกด้าน มันเลยไม่มาเห่าอะไรทางด้านนี้ ผมยืนดูต้นทางใจเต้นรัวๆ เพราะกลัวถูกจับได้ มันคงจะน่าอายน่าดูถ้าถูกจับเพราะพากันมาแอบลองของแบบนี้
สักพักนึงเสียงทุบ ปุ๊บๆเงียบไป ไม่นานก็มีเสียง วี๊ดดดดดด ดังเป็นสัญญาณ ผมเลยผละออกจากจุดหลบไปที่จุดนัดพบ แล้วพากันเดินไปที่รถเครื่อง
หลบมาถึงขนำ พวกมันก็มานั่งหัวเราะกันว่า
* ไหนวะผีตาหลวงดำ ทุบบัวจนเป็นรูโบ๋ ม้ายเห็นโชว์ตัวเลย * ...ไอ่เอพูด
*เอานิ กูเอามาฝากมืงกัน* ....ไอ่บี วางของสิ่งหนึ่งลงตรงหน้าผม ผมกระโดดโหยงหนี มันพากันหัวเราะ ฮ่าๆๆๆ
มันเป็นโกฏิทองเหลือง สภาพเก่าๆจนมีสีดำๆเกาะ แลดูด่างๆหม่นๆ แฟนสาวชาวอิสานพลัดถิ่น ของไอ่ซี
ตื่นมาเห็นเธอก็ถอยหนีเช่นกันแล้วหลุดคำต่อว่าเป็นภาษาบ้านเดิม ด่าพวกผมโขมง ประมาณว่า
*ห้วย...เฮ็ดหยังกันจังซี่ล่ะสู บักปอบเอ๊ยยยยย เอาไปคืนแหมะ คือขี้เดียดเป็นตาย่านแท้น้อ* ...พวกไอ่เอบีซีดี พากันหัวเราะหนักไปอีก
*เอาต่ะ วันนี้เรามาท้าพิสูจน์กัน เห็นลือกันหนัด ว่าผีตาหลวงดำดุ พรือล่ะ นิ ยกมาทั้งโกฏิเลย กูหรอย* ..ไอ่เอทำท่าเหมือนผู้ชนะ
ผมกับแฟนสาวไอ่ซี นั่งมองห่างๆ รู้สึกมันมากไป จนเช้ากก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่วัดตอนบ่ายๆ ข่าวเรื่องบัวตาหลวงดำ โดนทุบ
และโกฏิใส่กระดูกหายไป แต่ข้าวของมีค่าอื่นๆยังอยู่ครบ ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งบ้าน ตำรวจมาที่วัด พวกผมทำใจดีสู้เสือออกไปดู
ทำตัวเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย เขาก็วิเคราะห์ไปต่างๆนาๆว่า คนทำคงเป็นพวกหมอผี หรือพวกเล่นคุณไสย ถึงได้กล้าลองของ เจาะจงมาเล่นงาน
แค่บัวของตาหลวงดำ ที่มีข่าวลือว่าแกดุ มีชาวบ้านบางคน บอกตำรวจว่า เคยเห็นว่ามีหมอผีคนจรคนนึงมาป้วนเปิ้ยนอยู่ในหมู่บ้านไม่กี่วันก่อน
ทำให้พวกตำรวจและชาวบ้านล้วนแต่ลงความเห็นว่า อาจจะเป็นพวกเล่นคุณไสยมาลองวิชา แต่พวกญาติๆตาหลวงดำเหมือนจะโกรธแค้นเพราะไม่รู้ว่าใครทำ
พวกไอ่เอบีซีดี 4คนที่ลงมือ มันก็ยืนตีหน้าเนียนใสไร้พิรุธ แต่ผมนั้นแอบมุดๆอยู่หลังชาวบ้านคนอื่นๆกลัวไม่เนียน
ผ่านไป3คืน ก็ไม่เห็นว่าจะมีผีตาหลวงดำ มาตามหลอกตามหลอนดังคำลือ ไอ่เอก็เอาโกฏิกระดูกมาตั้งแล้วด่ากลางวง
**อ่ะละ ไหน๊ว่าหรอยนักหนา นี้ทุบบัวมาตั้ง3คืนแล้ว ไม่ออกมาหลอกมั่งเหอะเติ้น**
ไม่สาใจไอ่เอ มันชวนพวกผม เอาโกฏิกระดูกตาหลวงดำไปริมฝั่งแม่น้ำตรัง ผมถามมัน
**มาทำไหร้วะไอ่เอ**
**พาตาหลวงดำมาลอยอังคาร**
**อ่ะ กูว่าพาแกหลบไปไว้บัวต่ะ**
**มืงอีบ้าเหอ เอาหลบไป ชาวบ้าน หรือนายตรวจพบ ได้ติดหรางและครับเหอ ผีเผอใช่มี กูกะคร้านเก็บไว้ หรือมื้งอีเอาไปเก็บ **
ไอ่เอ ยื่นโกฏิทองเหลืองให้ผม ผมโบกมือ ไม่ใช่บ๊ายบาย แต่ไม่เอา ไม่มีใครห้ามไอ่เออีก มันเปิดโกฏิทองเหลืองออก คนอื่นๆพากันไปมุงดู
ผมมองอยู่ไกลกว่าคนอื่น กระดูกชิ้นเล็กๆเทาๆขาวๆอยู่ในนั้น ไอ่เอ ค่อยๆเทกระดูกตาหลวงดำลงแม่น้ำตรัง
กระดูกหล่นลงไปในแม่น้ำ พวกมันพากันเฮฮาว่า
**พาตาหลวงดำไปเที่ยวเลตรังสักทีเว้อ แม่น้ำตรัง ฝากกัน**
แล้วไอ่เอ ก็ขว้างโกฏิทองเหลืองเปล่าๆนั้น ทิ้งตามลงไปในแม่น้ำ ไอ่เอขว้างตัวโกฏิ ส่วนไอ่บีขว้างส่วนฝา ไปตามทางยาวของแม่น้ำแข่งกันว่าใครขว้างไกลกว่า ตาหลวงดำ เลยลงไปอยู่ในแม่น้ำตรังทั้งโกฏิและกระดูกที่ถูกแยกส่วน
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ที่ไอ่เอบีซีดีและผม ไปลองของกับบัวและโกฏิกระดูกตาหลวงดำ จนถึงเอาแกไปโยนลงแม่น้ำ พวกเราก็ยังอยู่เย็นเป็นสุขดี
แต่ความลับไม่มีในโลก เพราะแฟนสาวของไอ่ซีเลิกกับไอ่ซี เพราะไอ่ซีเจ้าชู้ เธอโมโหเลยไปบอกญาติๆของตาหลวงดำ ว่าไอ่ซีเป็นคนมาขโมยทุบบัวตาหลวงดำแล้วเอาโกฏิทองเหลืองไป ไอ่ซีโดนจับ ไอ่ซีก็ยอมรับ แต่ไม่ยอมซัดทอดคนอื่น มันบอกมันทำคนเดียว เพราะอยากเห็นผีตาหลวงดำ
ตามคำร่ำลือ พวกญาติๆตาหลวงดำโกรธมาก แต่พ่อแม่ไอ่ซีไปกราบขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องเลย แล้วจจะ่ายเงินค่าเสียหายให้ ญาติตาหลวงดำก็ยอมรับข้อเสนอ เลยไม่ได้ไปแจ้งตำรวจ แต่ไอ่ซีก็ไม่กล้าสู้หน้าอยู่ในหมู่บ้าน มันเลยขอพ่อแม่ไปอยู่กับญาติที่นครแถวพรหมคีรี
จนกระทั่งวันนึง พ่อแม่มัน พาไอ่ซีกลับมาที่หมู่บ้าน แต่เป็นการพากลับมาจัดงานศพที่วัดบ้านเกิดครับ.........
(ตัวอักษรเต็ม เดี๋ยวต่อครับ)