"ไม่เจ๊อะกันนาน คิดถึงจังเล๊ยยยย
โธ่เอ๋ยน้องเอย จะรู้หรือเปล่า
ตั้งแต่วันนั้น จนถึงบัดนี้
หัวใจของพี่ เรียกหาเจ้า
ทั้งเย็นและเช้า ค่อนคืนนน...."
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพลง : คิดถึงจังเลย
ศิลปิน : ไมค์ ภิรมย์พร
สวัสดีฮะพี่น้องห้องก้นครัว ไม่เจอกันนานนนนนนนนมากกกกกก เปิดตัวใหญ่สไตล์ลูกทุ่งกันเลยทีเดียว ครั้งนี้มีเมนูหวานๆจากภูเก็ตมาฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจคนไทยทั่วทุกมุมโลก พร้อมกับสโลแกนติดหูของนมถั่วเหลืองบางยี่ห้อ ว่า...
“หากกายพร้อม ใจพร้อม เวลาพร้อม เมนูนี้คุณทำได้”
ตูโบ้ เป็นเมนูขนมหวานโบราณพื้นเมืองภูเก็ต เดี๋ยวนี้หาทานยาก ยิ่งถ้าอยากทานที่มันอร่อยๆยิ่งหายากขึ้นไปอีก เมื่อก่อนผมจะได้กินก็ปีละครั้งช่วงเทศกาลกินผักเสร็จ ในวันแรกของการออกเจอาม่าจะทำให้กินครับ ลูกๆหลานๆจะช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ เป็นเหมือนเมนูรวมญาติ (ลองไม่มีญาติมารวมดูสิครับ ถ้าทำคนเดียว ตอนเช้าทำ ค่ำๆก็คงจะได้กินเลยมั้ง 555 ) อาหารหลายเมนูที่อยู่ในลิงค์ท้ายกระทู้ก็มาจากอาม่าผมนี่แหละฮะ และผมก็ไม่ได้กินตูโบ้มาเป็น 10 ปี อาม่าก็แก่เกินจะทำไหว เลยต้องขอให้ม๊าแสดงฝีมือหน่อย
เพราะผมคิดว่า
อาหาร มักจะทำให้เราคิดถึงใครบางคนในเมนูนั้นๆเสมอ เลยมาเขียนกระทู้ เผื่อมีใครใจดีจะทำให้เมนูนี้ให้ผมกินมั่ง 555 จะได้คิดถึงคนนั้นในเมนูนี้เสมอไงครับ (เวิ่นเว้อจริง-*-)
จากการสืบค้นข้อมูลจาก google แล้วนั้น คาดว่ากระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้แรกด้วยนะที่รีวิวการทำตูโบ้ใน pantip
ป่ะครับ อย่ายืดเยื้อ เดี๋ยวยาววววว
วัตถุดิบที่ต้องเตรียม
1.หัวบอน (เผือก) 1หัว
หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
2.มันเทศ 1หัว
หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
3.มันม่วง (มันต่อ) 1หัว
หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
4.น้ำเต้า (ฟักทอง) 1ซีก
หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
5.ถั่วย้อแย้ (ถั่วแดงเม็ดเล็ก จะใช้ถั่วแดงแทนก็ได้ แต่ ถ้าใช้ถั่วย้อแย้ มันจะแลดูน่ารักกว่าครับ) 2-3กำมือ
6.แป้งมัน (แป้งตั่วจูหุ้น)
7.กะทิสด(หัว) 1ก.ก. (หยวนๆ กะทิกล่องก็ได้ สมัยก่อนนี่ กะทิก็ต้องขูดเองคั้นเองนะครับ ถึงจะอร่อย 555)
8.น้ำตาล
9.เกลือ เล็กน้อย
10.ใบเตย
แต่มีหมายเหตุเล็กน้อย ที่ไม่ได้แจ้งสัดส่วนที่ชัดเจน เพราะ ขนมไทยโบราณ จะไม่ค่อยสามารถบอกสัดส่วนที่ตายตัวได้เหมือนขนมฝรั่งเช่น คุ้กกี้ เค้ก ฯลฯ ต้องอาศัยการกะตวงอย่างชำนาญของคนทำโดยเฉพาะ (ข้อนี้ผมพยายามล้วงสัดส่วนสูตรจากหม่าม๊าแล้วซึ่งหม่าม๊าก็ได้สูตรนี้มาจากอาม่าอีกที เวลาอาม่าทำก็กะๆเอาเกือบทุกเมนู ครั้งนี้ก็ลองผิดลองถูกแบบรื้อสูตรจากความทรงจำ) อยากกินของอร่อยต้องอาศัยประสบการณ์ความชำนาญในการทำส่วนตัวครับ นี่แหละครับเสน่ห์ของขนมไทยและอาหารไทย อยากให้อร่อยต้องฝึกฝนบ่อยๆ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกของหม่าม๊าเช่นกันตั้งแต่ได้สูตรมาจากอาม่า ผมนี้...ยืนประกบเป็นลูกมือ + เก็บภาพอย่างใกล้ชิดเลย555
ยกตัวอย่างเช่น ปาท่องโก๋ ต่อให้ลอกสูตรมาเป๊ะๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะอร่อยเหมือนเจ้าของสูตร มันต้องอาศัยเวลาให้เข้ามือบางคนเป็นเดือน บางคนเป็นปี ต้องคลุกคลีกับมันทุกวัน เพราะ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ผมเคยเป็นพ่อค้าขายปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้มาก่อนกว่าจะเข้ามือก็เกือบปี แล้วก็เลิกขายไป ไม่ได้เจ๊งนะครับ แต่ขายไม่ทัน ขาดผู้ช่วยครับ
พร้อมไหม ถามใจเธอดู
ป่ะ!! เข้าครัวกัน
วิธีทำจะแบ่งเป็น 4 บท นะครับ ผมพิมพ์ไม่ผิดครับ 4 บท (ใครมีวิชาแยกร่าง ก็เริ่มท่องคาถาได้เลย)
บทที่1
แช่ถั่วย้อแย้เอาไว้ 1คืน หรืออย่างน้อย 2-4 ช.ม.ขึ้นไป แล้วนำมาต้มจนสุก(จนเปื่อย) ระยะเวลาการต้ม ต้องกะเองและชิมดูครับ
หน้าตาก่อนต้ม – หลังต้ม จะเป็นประมาณนี้
หน้าตาของถั่วย้อแย้

ตั้งไฟ

อันนี้กินได้แล้วครับ เปื่อยกำลังดี
บทที่2
บทนี้ถ้าต้องการประหยัดเวลา(หรือถ้าขี้เกียจ)ก็ไปตลาดหยิบแป้งสาคูเม็ดใหญ่มาถุงนึง แล้วกระโดดไป
บทที่3 เลยครับ
1.ต้มน้ำให้เดือด
2.เทแป้งใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วค่อยๆเทน้ำที่ต้มไว้ พร้อมกับนวดแป้งไปเรื่อยๆ ย้ำนะครับ ค่อยๆหยอดน้ำแล้วนวดไปพร้อมๆกันจนแป้งเป็นก้อน ถ้าเปียกไปเติมแป้ง ถ้าแห้งไปเติมน้ำร้อน นวดจนแป้งเป็นเนื้อเดียวกัน

3.ใช้ขวดกลมๆแผ่แป้งเป็นแผ่นกะเอาให้ไม่บางเกินไป หรือหนาไป โรยแป้งบางๆไม่ให้ติดมือติดมีด แล้วตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเท่าๆกัน โรยแป้งเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แป้งที่ตัดพักไว้ติดกันเป็นก้อน

ใครมีเทคนิคตัดแป้งยังไงให้ไวให้สวย ก็เอาที่สบายใจเลยฮะ ใช้ลูกกลิ้งพิซซ่าก็น่าจะไวดี แต่บ้านผมไม่มีเลยต้องค่อยเป็นค่อยไป

4.ตั้งน้ำให้เดือดอีกรอบ ร่อนแป้งส่วนเกินออก ใส่เม็ดแป้งลงไปในน้ำเดือด แป้งที่สุกแล้วจะลอยขึ้นมา ต้มซัก 1-2 นาที ตักเม็ดแป้งที่ลอยผิวน้ำใส่ในภาชนะที่มีน้ำอุณภูมิห้อง พักไว้

เรียบร้อยครับ เม็ดแป้งของเรา เอามาน็อกด้วยน้ำเย็นเอาไว้(อุณภูมิห้อง)
บทที่3
จัดการกับสี่สหายของเรา ดูเหมือนบทนี้จะเป็นบทที่กินเวลาอย่างยาวนาน
1.ปอกเปลือกสี่สหายของเราแล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดก้อนเล็กๆ ให้เท่ากัน
เคล็ดลับเล็กน้อย เผือก หรือ หัวบอน ควรทำเป็นอย่างสุดท้าย ถ้าปอกเปลือกทิ้งไว้นาน สีมันจะคล้ำ ไม่น่าทาน

2.ตั้งน้ำให้เดือดจัด ต้มสี่สหายที่เราหั่นเตรียมไว้
ทีละอย่างตามความเข้มของสีดังนี้ เผือก > ฟักทอง > มันเทศ > มันม่วง ให้สุกพอดีๆ ข้อนี้ต้องอาศัยความชำนาญในการชิมต้องต้มไม่ให้เปื่อยจนเกินไป
เคล็ดลับเล็กน้อย
ต้มทีละอย่าง เพราะ สี่สหายของเรา ใช้เวลาในการต้มจนสุกแต่ละอย่างไม่เท่ากัน
ตามความเข้มของสี เพราะ ไม่ต้องต้มน้ำหลายรอบ (ถ้าต้มมันเทศ มันม่วงก่อน ของที่สีอ่อนเช่น เผือก ฟักทอง จะมีสีหลังต้มไม่สวยงามน่าทาน) แต่ถ้ามีเวลาจะทำให้ถึง 4 น้ำ ก็จัดไปครับ บอกได้คำเดียว เหนื่อยแน่นอน 555
เห็นแล้วหายเหนื่อย เพราะจะได้กินแล้ว
หัวบอน

น้ำเต้า

มันเทศ

มันม่วง

พอทุกอย่างสุก หน้าตาก็จะประมาณนี้
บทที่4
เตรียมถ้วยรอเลยครับ อีกไม่กี่นาที จะได้กินของหวานละ
1.ใส่หัวกะทิ ใบเตย ลงหม้อตั้งไฟปานกลาง
คนเรื่อยๆพอร้อนไม่ถึงกับเดือดอย่าให้แตกมัน แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล เติมเกลือตัดนิดนึง

นั่นไง!! บอกแล้วไงว่าคนเบาๆ เป็นไงล่ะ แตกเลย (โดนม๊าดุ คนแรงไป ใบเตยสลายร่าง T-T)

2.ค่อยๆใส่ทุกอย่างที่เตรียมไว้ลงหม้อ ในข้อนี้ สี่สหายของเรา เผือก มัน ฟักทอง ถ้าต้มเปื่อยจนเกินไป ขั้นตอนนี้บอกได้คำเดียวครับ เละ!!

3.คนเบาๆ ให้พอร้อน อย่าให้แตกมัน ใจเย็นๆ จะได้กินแล้วครับ (ถ้าคนแรงไปมันจะไม่ใช่ต้มบวด อาจกลายเป็นโจ๊กนะครับ บอกก่อน)

4.ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟได้

หัวมัน หัวบอน น้ำเต้า หวานในตัวกำลังดีเข้ากับน้ำกะทิที่หอมมัน เม็ดแป้งก็หนึบๆ ผมชอบมากเม็ดแป้ง ตอนเด็กๆ จะตักกินแต่เม็ดแป้ง มันอร่อยแบบบอกไม่ถูก
แท่น แท๊น!!! ตูโบ้ของเรา หวาน มัน ไหม ถามใจเธอดู จะทานแบบอุ่นๆก็ยังไหว หรือจะทานแบบเย็นๆก็ยังได้ ถ้ากินไม่หมด แช่เย็นไว้ เอากลับมากิน ฟินมาก น้ำกะทิจะซึมเข้าไปในทุกสิ่ง ยิ่งฟินครับ นี่ล่ะ ความสุขของคนกินกะทิ
4บทผ่านไปไวเหมือนอ่านกระทู้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำอาหารนะฮะ
ท่านอิ่มแล้ว อย่าลืมออกกำลังกายนะครับ ผมเป็นห่วงสุขภาพของทุกท่าน
ขอตัวเก็บครัวก่อน พบกันใหม่เมนูหน้านะ บ๊ายยยยยยยยยยยยย
[CR] [ตูโบ้] ต้มบวดรวมมิตรสี่สหาย ขนมหวานท้องถิ่นเมืองภูเก็ต
โธ่เอ๋ยน้องเอย จะรู้หรือเปล่า
ตั้งแต่วันนั้น จนถึงบัดนี้
หัวใจของพี่ เรียกหาเจ้า
ทั้งเย็นและเช้า ค่อนคืนนน...."
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สวัสดีฮะพี่น้องห้องก้นครัว ไม่เจอกันนานนนนนนนนมากกกกกก เปิดตัวใหญ่สไตล์ลูกทุ่งกันเลยทีเดียว ครั้งนี้มีเมนูหวานๆจากภูเก็ตมาฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจคนไทยทั่วทุกมุมโลก พร้อมกับสโลแกนติดหูของนมถั่วเหลืองบางยี่ห้อ ว่า...
ตูโบ้ เป็นเมนูขนมหวานโบราณพื้นเมืองภูเก็ต เดี๋ยวนี้หาทานยาก ยิ่งถ้าอยากทานที่มันอร่อยๆยิ่งหายากขึ้นไปอีก เมื่อก่อนผมจะได้กินก็ปีละครั้งช่วงเทศกาลกินผักเสร็จ ในวันแรกของการออกเจอาม่าจะทำให้กินครับ ลูกๆหลานๆจะช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ เป็นเหมือนเมนูรวมญาติ (ลองไม่มีญาติมารวมดูสิครับ ถ้าทำคนเดียว ตอนเช้าทำ ค่ำๆก็คงจะได้กินเลยมั้ง 555 ) อาหารหลายเมนูที่อยู่ในลิงค์ท้ายกระทู้ก็มาจากอาม่าผมนี่แหละฮะ และผมก็ไม่ได้กินตูโบ้มาเป็น 10 ปี อาม่าก็แก่เกินจะทำไหว เลยต้องขอให้ม๊าแสดงฝีมือหน่อย
เพราะผมคิดว่า อาหาร มักจะทำให้เราคิดถึงใครบางคนในเมนูนั้นๆเสมอ เลยมาเขียนกระทู้ เผื่อมีใครใจดีจะทำให้เมนูนี้ให้ผมกินมั่ง 555 จะได้คิดถึงคนนั้นในเมนูนี้เสมอไงครับ (เวิ่นเว้อจริง-*-)
จากการสืบค้นข้อมูลจาก google แล้วนั้น คาดว่ากระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้แรกด้วยนะที่รีวิวการทำตูโบ้ใน pantip
ป่ะครับ อย่ายืดเยื้อ เดี๋ยวยาววววว
วัตถุดิบที่ต้องเตรียม
1.หัวบอน (เผือก) 1หัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
2.มันเทศ 1หัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
3.มันม่วง (มันต่อ) 1หัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
4.น้ำเต้า (ฟักทอง) 1ซีก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
5.ถั่วย้อแย้ (ถั่วแดงเม็ดเล็ก จะใช้ถั่วแดงแทนก็ได้ แต่ ถ้าใช้ถั่วย้อแย้ มันจะแลดูน่ารักกว่าครับ) 2-3กำมือ
6.แป้งมัน (แป้งตั่วจูหุ้น)
7.กะทิสด(หัว) 1ก.ก. (หยวนๆ กะทิกล่องก็ได้ สมัยก่อนนี่ กะทิก็ต้องขูดเองคั้นเองนะครับ ถึงจะอร่อย 555)
8.น้ำตาล
9.เกลือ เล็กน้อย
10.ใบเตย
แต่มีหมายเหตุเล็กน้อย ที่ไม่ได้แจ้งสัดส่วนที่ชัดเจน เพราะ ขนมไทยโบราณ จะไม่ค่อยสามารถบอกสัดส่วนที่ตายตัวได้เหมือนขนมฝรั่งเช่น คุ้กกี้ เค้ก ฯลฯ ต้องอาศัยการกะตวงอย่างชำนาญของคนทำโดยเฉพาะ (ข้อนี้ผมพยายามล้วงสัดส่วนสูตรจากหม่าม๊าแล้วซึ่งหม่าม๊าก็ได้สูตรนี้มาจากอาม่าอีกที เวลาอาม่าทำก็กะๆเอาเกือบทุกเมนู ครั้งนี้ก็ลองผิดลองถูกแบบรื้อสูตรจากความทรงจำ) อยากกินของอร่อยต้องอาศัยประสบการณ์ความชำนาญในการทำส่วนตัวครับ นี่แหละครับเสน่ห์ของขนมไทยและอาหารไทย อยากให้อร่อยต้องฝึกฝนบ่อยๆ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกของหม่าม๊าเช่นกันตั้งแต่ได้สูตรมาจากอาม่า ผมนี้...ยืนประกบเป็นลูกมือ + เก็บภาพอย่างใกล้ชิดเลย555
ยกตัวอย่างเช่น ปาท่องโก๋ ต่อให้ลอกสูตรมาเป๊ะๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะอร่อยเหมือนเจ้าของสูตร มันต้องอาศัยเวลาให้เข้ามือบางคนเป็นเดือน บางคนเป็นปี ต้องคลุกคลีกับมันทุกวัน เพราะ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ผมเคยเป็นพ่อค้าขายปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้มาก่อนกว่าจะเข้ามือก็เกือบปี แล้วก็เลิกขายไป ไม่ได้เจ๊งนะครับ แต่ขายไม่ทัน ขาดผู้ช่วยครับ
ป่ะ!! เข้าครัวกัน
แช่ถั่วย้อแย้เอาไว้ 1คืน หรืออย่างน้อย 2-4 ช.ม.ขึ้นไป แล้วนำมาต้มจนสุก(จนเปื่อย) ระยะเวลาการต้ม ต้องกะเองและชิมดูครับ
หน้าตาก่อนต้ม – หลังต้ม จะเป็นประมาณนี้
หน้าตาของถั่วย้อแย้
ตั้งไฟ
อันนี้กินได้แล้วครับ เปื่อยกำลังดี
บทนี้ถ้าต้องการประหยัดเวลา(หรือถ้าขี้เกียจ)ก็ไปตลาดหยิบแป้งสาคูเม็ดใหญ่มาถุงนึง แล้วกระโดดไป บทที่3 เลยครับ
1.ต้มน้ำให้เดือด
2.เทแป้งใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วค่อยๆเทน้ำที่ต้มไว้ พร้อมกับนวดแป้งไปเรื่อยๆ ย้ำนะครับ ค่อยๆหยอดน้ำแล้วนวดไปพร้อมๆกันจนแป้งเป็นก้อน ถ้าเปียกไปเติมแป้ง ถ้าแห้งไปเติมน้ำร้อน นวดจนแป้งเป็นเนื้อเดียวกัน
3.ใช้ขวดกลมๆแผ่แป้งเป็นแผ่นกะเอาให้ไม่บางเกินไป หรือหนาไป โรยแป้งบางๆไม่ให้ติดมือติดมีด แล้วตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเท่าๆกัน โรยแป้งเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แป้งที่ตัดพักไว้ติดกันเป็นก้อน
ใครมีเทคนิคตัดแป้งยังไงให้ไวให้สวย ก็เอาที่สบายใจเลยฮะ ใช้ลูกกลิ้งพิซซ่าก็น่าจะไวดี แต่บ้านผมไม่มีเลยต้องค่อยเป็นค่อยไป
4.ตั้งน้ำให้เดือดอีกรอบ ร่อนแป้งส่วนเกินออก ใส่เม็ดแป้งลงไปในน้ำเดือด แป้งที่สุกแล้วจะลอยขึ้นมา ต้มซัก 1-2 นาที ตักเม็ดแป้งที่ลอยผิวน้ำใส่ในภาชนะที่มีน้ำอุณภูมิห้อง พักไว้
เรียบร้อยครับ เม็ดแป้งของเรา เอามาน็อกด้วยน้ำเย็นเอาไว้(อุณภูมิห้อง)
จัดการกับสี่สหายของเรา ดูเหมือนบทนี้จะเป็นบทที่กินเวลาอย่างยาวนาน
1.ปอกเปลือกสี่สหายของเราแล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดก้อนเล็กๆ ให้เท่ากัน
เคล็ดลับเล็กน้อย เผือก หรือ หัวบอน ควรทำเป็นอย่างสุดท้าย ถ้าปอกเปลือกทิ้งไว้นาน สีมันจะคล้ำ ไม่น่าทาน
2.ตั้งน้ำให้เดือดจัด ต้มสี่สหายที่เราหั่นเตรียมไว้ ทีละอย่างตามความเข้มของสีดังนี้ เผือก > ฟักทอง > มันเทศ > มันม่วง ให้สุกพอดีๆ ข้อนี้ต้องอาศัยความชำนาญในการชิมต้องต้มไม่ให้เปื่อยจนเกินไป
เคล็ดลับเล็กน้อย
ต้มทีละอย่าง เพราะ สี่สหายของเรา ใช้เวลาในการต้มจนสุกแต่ละอย่างไม่เท่ากัน
ตามความเข้มของสี เพราะ ไม่ต้องต้มน้ำหลายรอบ (ถ้าต้มมันเทศ มันม่วงก่อน ของที่สีอ่อนเช่น เผือก ฟักทอง จะมีสีหลังต้มไม่สวยงามน่าทาน) แต่ถ้ามีเวลาจะทำให้ถึง 4 น้ำ ก็จัดไปครับ บอกได้คำเดียว เหนื่อยแน่นอน 555
เห็นแล้วหายเหนื่อย เพราะจะได้กินแล้ว
หัวบอน
น้ำเต้า
มันเทศ
มันม่วง
พอทุกอย่างสุก หน้าตาก็จะประมาณนี้
เตรียมถ้วยรอเลยครับ อีกไม่กี่นาที จะได้กินของหวานละ
1.ใส่หัวกะทิ ใบเตย ลงหม้อตั้งไฟปานกลาง คนเรื่อยๆพอร้อนไม่ถึงกับเดือดอย่าให้แตกมัน แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล เติมเกลือตัดนิดนึง
นั่นไง!! บอกแล้วไงว่าคนเบาๆ เป็นไงล่ะ แตกเลย (โดนม๊าดุ คนแรงไป ใบเตยสลายร่าง T-T)
2.ค่อยๆใส่ทุกอย่างที่เตรียมไว้ลงหม้อ ในข้อนี้ สี่สหายของเรา เผือก มัน ฟักทอง ถ้าต้มเปื่อยจนเกินไป ขั้นตอนนี้บอกได้คำเดียวครับ เละ!!
3.คนเบาๆ ให้พอร้อน อย่าให้แตกมัน ใจเย็นๆ จะได้กินแล้วครับ (ถ้าคนแรงไปมันจะไม่ใช่ต้มบวด อาจกลายเป็นโจ๊กนะครับ บอกก่อน)
4.ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟได้
หัวมัน หัวบอน น้ำเต้า หวานในตัวกำลังดีเข้ากับน้ำกะทิที่หอมมัน เม็ดแป้งก็หนึบๆ ผมชอบมากเม็ดแป้ง ตอนเด็กๆ จะตักกินแต่เม็ดแป้ง มันอร่อยแบบบอกไม่ถูก
แท่น แท๊น!!! ตูโบ้ของเรา หวาน มัน ไหม ถามใจเธอดู จะทานแบบอุ่นๆก็ยังไหว หรือจะทานแบบเย็นๆก็ยังได้ ถ้ากินไม่หมด แช่เย็นไว้ เอากลับมากิน ฟินมาก น้ำกะทิจะซึมเข้าไปในทุกสิ่ง ยิ่งฟินครับ นี่ล่ะ ความสุขของคนกินกะทิ
4บทผ่านไปไวเหมือนอ่านกระทู้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำอาหารนะฮะ
เมนูความอร่อยก่อนหน้านี้
[จับฉ่าย] เมนูสารพัดผักที่ใครๆก็ทำได้ มีผักอะไรก็ใส่ๆลงไป เดี๋ยวอร่อยเอง
[กุ้งผัดสะตอ] สูตรไร้น้ำมัน (ใช้กะทิแทน) กุ้งเยอะเวอร์
[แกงเลียงหน่อข่า] เมนูสุขภาพที่มากับหน้าฝน
[เตรียมปอดหมู ง๊ายยย...ง่ายยย...] ไม่คาวแน่นอน
[ปอดหมูผัดสับปะรด] อาหารประจำภาคใต้ อยากให้หลายๆคนได้ชิมบ้าง..
[เหลี่ยมต้อผัดเคยเค็ม] เมนูที่จะทำให้คุณลืมหมูสามชั้นไปเลย..q('@')p
[โกโก้กราโนล่า] อาหารกินเล่น ที่เน้นสุขภาพ ด้วย กระทะ1ใบกะไม้พาย1อัน!!
[ไอติมกะทิทุเรียน] ไอติมเรียกหวานเย็น แต่ที่เธอเป็นเรียกหวานใจ เราจะชวนเธอมาทำไอติมกินกัน
[สามชั้นผัดเต้ายู่] หรือ หมูสามชั้นผัดเต้าหู้ยี้ สูตรหมูนุ่มอมชมพู