ข้อมูลด้านล่างนี้เราเพิ่งจะตอบกระทู้เพื่อนในพันทิพ เราเห็นว่ามีคนตั้งกระทู้เกี่ยวกับอาการท้องผูกจนเกิดกังวลว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรกันแน่ทั้งที่พยายามดูแลเรื่องการอยู่ การกิน จะเป็นมะเร็งลำไส้หรือเปล่า เราจึงถือโอกาสขอแบ่งปันประสบการณ์จากอาการป่วยเป็นโรคลำไส้แปรปรวนของตัวเองนะคะ
*****************************************
ขอบอกว่าเราเป็นผู้ป่วยลำไส้แปรปรวนนะคะ ตอนนี้อายุ 45 ป่วยโรคนี้มาแล้ว 5 ปี อาการคือท้องผูกเด่น บางคนอาจจะท้องเสีย หรือท้องเสียสลับท้องผูก เราถ่ายได้ทุกวันแต่ถ่ายลำบากมากเพราะอุจจาระจะแข็ง พอถ่ายยากก็ต้องเบ่งแต่เหมือนลำไส้ไม่ค่อยยอมขยับ ปวดถ่าย แต่ไม่ค่อยยอมขยับ ทำให้ถ่ายได้ไม่หมด เกิดการสะสมจนเป็นแก๊ส มีอาการผายลม ท้องอืด กินได้น้อยลง และถ้าถ่ายได้ไม่หมดก็จะปวดท้องถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก อาการแบบนี้จะเป็นเกือบตลอดทั้งวันและหลายวันด้วยจนกว่าจะถ่ายได้จนหมด กลางค่ำกลางคืนก็จะปวดอยากถ่าย แต่ก็ถ่ายไม่ได้ คล้ายกับมะเร็งลำไส้นะคะ แต่ไม่ใช่เพราะเวลาเราถ่ายได้ก็จะถ่ายง่ายมากและเยอะด้วย แต่ต้องไม่เป็นมูกเลือดนะคะ ลักษณะของเราคือจะเป็นเม็ดๆ กลมๆ เวลาที่ถ่ายยากๆ น่ะค่ะ
เล่าอาการมาเพื่อให้ จขกท ลองเทียบเคียงดูนะคะ คุณหมอที่ ร.พ.ธนบุรีเป็นคนวินิจฉัย และเราก็ไปหาหมอจีนที่คลินิคหัวเฉียวเป็นเวลาอีกปีครึ่ง แต่อาการมันก็ไม่ได้ดีขึ้น เราต้องหาข้อมูลทุกอย่างเพื่อมาปรับพฤติกรรมการอยู่และการกิน ซึ่งอาจสวนทางกับข้อมูลที่แนะนำกันนะคะ จึงอยากมาแบ่งปันให้กับคนที่ป่วยด้วยโรคนี้เหมือนเราหรือคนที่ท้องผูกประจำ ซึ่งท้องผูกไม่ได้หมายถึงว่าไม่ได้ถ่ายทุกวัน แต่การถ่ายทุกวันและถ่ายยากแบบเราก็ถือว่าเป็นอาการท้องผูกชนิดนึงอย่างที่บอกค่ะ
1. ตื่นนอน ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว และตามด้วยนมบีทาเก้นน้ำตาลต่ำ (9 กรัม) ผสมกับน้ำผลไม้ดอยคำครึ่งกล่อง (แบ่งเป็น 2 วัน) เลือกพวกน้ำตาลน้อย เช่น ฝรั่ง เบอกรี่รวม มะขามป้อม พวกนี้น้ำตาลไม่เกิน 10 กรัม หรือน้ำเสารสแบบน้ำตาลต่ำก็ประมาณ 13 กรัม ผสมรวมกันก็จะได้เท่ากับปริมาณ 1 แก้ว ดื่มแก้วนี้เพื่อสร้างจุลินทรีย์ในลำไส้ค่ะ เลือกน้ำผลไม้ดอยคำเพราะน้ำตาลน้อยกว่ายี่ห้ออื่นและไม่เจือสี แต่งกลิ่น หรือกันเสีย แต่พวกน้ำมะตูม กระเจี๊ยบหรือ มัลเบอรี่ น้ำตาลจะสูงมาก 20 กว่ากรัม เพราะฉะนั้นดูให้ดีๆ นะคะ เราเป็นคนไม่ดื่มชา กาแฟหรือน้ำอัดลมอยู่แล้ว จึงไม่ใช่สาเหตุของการถ่ายยาก
2. เราไม่กินข้าวกล้องค่ะ เลิกกินมาแล้ว 2 เดือน ข้าวกล้องมีประโยชน์มากค่ะ เราก็กินมาหลายปี เป็นข้าวสวยบ้าง หรือบางทีก็ข้าวต้ม เพราะหมอจีนเคยบอกว่าข้าวต้มย่อยง่ายกว่า แต่เราก็สังเกตุว่าข้าวกล้องย่อยยากสำหรับผู้ป่วยโรคลำไส้อย่างเรา เราเลยเปลี่ยนมากินเป็นข้าวหอมมะลิค่ะเพราะมันนุ่มกว่าเยอะ
3. เรายังกินเนื้อสัตว์นะคะ แต่ก็กินปลามากกว่าหมู ไก่ ส่วนเนื้อวัวไม่ทานเพราะเราเลิกทานมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ทุกวันนะคะ กินสัก 2 วัน ก็สลับไปกินไข่กับเต้าหู้ก้อนสีขาว เวลาทานเนื้อสัตว์ในหนึ่งวันก็จะไม่มาก เนื้อปลาประมาณฝ่ามือ และเนื้อหมูหรือไก่ไม่เกินกำมือ รวมเป็นสามมื้อค่ะ
ถ้าเวลาช่วงมีประจำเดือนเราจะงดเนื้อสัตว์ไปเลย 3 วัน เพราะที่ผ่านมาเราปวดบีบปีกมดลูกด้านซ้ายมากจนร้าวไปทั้งขา ปวดจนต้องกินพารา แต่พองดเนื้อสัตว์ สัปปะรด น้ำมะพร้าว ขนมนมเนย อาการเหล่านี้หายไปเพราะอาหารเหล่านี้ไปกระตุ้นฮอร์โมนค่ะ เลือดเดินสะดวกดีมาก ไม่ปวดหน่วงแบบทรมานอีกเลย ข้อนี้ฝากสำหรับน้องๆ ผู้หญิงค่ะ
4. ผักมีประโยชน์มากค่ะ เราทานทุกชนิด เป็นคนทานผักได้หลายอย่างและปริมาณเยอะด้วย แต่วิธีการปรุงสำคัญที่สุด เพราะที่ผ่านมาเรามีโอกาสทำอาหารเองทุกมื้อเนื่องจากไม่ได้ทำงานข้างนอกบ้านแล้ว ส่วนมากก็จะเป็นผัดผัก แต่ผักก็เป็นไฟเบอร์ที่ย่อยยากเช่นกัน ผู้ป่วยอย่างเรากินผักดิบมากไม่ได้ เราก็ผัดผักเป็นหลัก แต่ยิ่งกินผักมากก็ยิ่งถ่ายยาก เราจึงมานั่งคิดได้ว่า เวลากินสุกี้ วันรุ่งขึ้นเราจะถ่ายง่ายมาก
4-5 วันที่ผ่านมานี้ เราจึงเอาผักมาลวกก่อนนำไปผัดค่ะ เราไม่ได้กลัวเรื่องสูญเสียวิตามินเพราะไม่ได้ลวกในน้ำเดือดนาน กลัวเรื่องการขับถ่ายมากกว่า เวลานำไปผัดก็ใส่น้ำมันแค่ช้อนชาเดียวไม่ได้รอให้กระทะร้อนฉ่าด้วย นี่เป็นวิธีการปรุงผักที่เปลี่ยนไป ซึ่งมันได้ผลดีมากสำหรับระบบย่อย รสชาติอาจด้อยลงไป แต่วันรุ่งขึ้นขับถ่ายสบายมาก ข้อนี้จึงอยากฝากสำหรับคนที่กินผักเยอะๆ แต่ทำไมก็ยังท้องผูก
5. เราต้องเลิกดื่มนมทั้งที่รู้ว่ามีประโยชน์ แต่ยิ่งดื่มยิ่งท้องผูก แต่นมเปรี้ยวไม่เป็นไรค่ะ โยเกิร์ตก็ไม่เหมาะสำหรับเราเหมือนกันเพราะจะท้องผูกเหมือนกัน เคยดื่มนมครั้งนึงแล้วลำไส้บิด ปวดมวนท้อง จนท้องเสีย เราเปลี่ยนมาดื่มน้ำนมถั่วเหลืองดีน่าผสมงาดำแทน เป็นสูตรน้ำตาลน้อย 4 กรัม ดื่มมื้อเย็นแค่ครึ่งกล่องหลังจากทานข้าว มื้อเย็นก็จะทานไม่เยอะแค่พออิ่ม เพราะโรคแบบเราทานเยอะอาการก็จะกำเริบอีก
6. ผลไม้ทานทุกชนิดค่ะ สามมื้อหลังอาหาร แต่ละมื้อประมาณ 1 กำปั้นของตัวเอง เพราะหมอบอกว่าทานปริมาณเท่านี้จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำตาล ปริมาณนี้เหมาะสำหรับทุกคนนะคะ เราไม่ได้กินผลไม้ก่อนอาหารเหมือนอย่างที่แชร์กันนะคะ เพราะหมอเคยบอกว่ากินหลังอาหารจะช่วยไปดูดซับไขมันจากอาหารที่เราทานเข้าไป
7. เราออกกำลังกายแบบไม่หักโหม อาทิตย์ละ 3 หรือ 4 วัน เดินมากกว่าวิ่ง ครั้งละ 30 นาที รวมวอร์มอัพคูลดาวน์ก็ 50 นาที รวมโยคะด้วยอาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง เพราะเราน้ำหนักน้อยอยู่แล้วประมาณ 39-40 โล เนื่องมาจากโรคลำไส้ที่เราป่วยทำให้การดูดซึมอาหารได้น้อย ร่างกายจึงผอมลง เราจึงไม่ออกกำลังกายแบบรีดน้ำหนัก
8. เรื่องน้ำดื่ม ก็ดื่มได้ตลอดเวลาที่กระหาย ไม่ต้องไปกะเกณฑ์ตัวเองว่าต้องดื่มวันละกี่ลิตร แต่พยายามดื่มตามที่ร่างกายต้องการ อย่าให้ขาดน้ำ แต่เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศที่ต้องนั่งรถทั้งวันไม่มีโอกาสเข้าห้องน้ำ ก็จะใช้วิธีจิบแทนค่ะ
9. อื่นๆ ก็เหมือนที่มีคนแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพให้ตัวเองแข็งแรง เรื่องอารมณ์ การนอน ข้อนี้คงหาข้อมูลได้ไม่ยากค่ะ
10. อาหารทอดทานได้ แต่ให้น้อยที่สุดค่ะ ขนมนมเนยก็ทานได้ แต่ควบคุมปริมาณเหมือนกันค่ะ เพราะมีผลต่อระบบย่อยและขับถ่าย
สรุปว่า เราสังเกตุจากการดูแลรักษาตัวเองคือ ไฟเบอร์มีประโยชน์ค่ะ แต่คนธาตุหนักหรือผู้ป่วยโรคลำไส้ที่ท้องผูกอาจจะต้องช่วยระบบย่อยอาหารของตัวเองด้วยวิธีการกินอย่างที่เราบอกค่ะ
เราไม่เคยกินยาระบายเลยนะคะ ใช้วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการอยู่อย่างที่บอก ไม่ได้ไปหาหมอแล้วด้วยเพราะไม่อยากพึ่งยาจีน ยาฝรั่งไปทั้งชีวิต
หวังว่าคำตอบของเราจะเป็นประโยชน์กับ จขกท และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เอาใจช่วยค่ะเพราะเราเป็นผู้ป่วยเองรู้ดีว่าท้องผูกนี้มันทรมานมากแค่ไหน
ท้องผูก มะเร็งลำไส้ หรือโรคลำไส้....
*****************************************
ขอบอกว่าเราเป็นผู้ป่วยลำไส้แปรปรวนนะคะ ตอนนี้อายุ 45 ป่วยโรคนี้มาแล้ว 5 ปี อาการคือท้องผูกเด่น บางคนอาจจะท้องเสีย หรือท้องเสียสลับท้องผูก เราถ่ายได้ทุกวันแต่ถ่ายลำบากมากเพราะอุจจาระจะแข็ง พอถ่ายยากก็ต้องเบ่งแต่เหมือนลำไส้ไม่ค่อยยอมขยับ ปวดถ่าย แต่ไม่ค่อยยอมขยับ ทำให้ถ่ายได้ไม่หมด เกิดการสะสมจนเป็นแก๊ส มีอาการผายลม ท้องอืด กินได้น้อยลง และถ้าถ่ายได้ไม่หมดก็จะปวดท้องถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก อาการแบบนี้จะเป็นเกือบตลอดทั้งวันและหลายวันด้วยจนกว่าจะถ่ายได้จนหมด กลางค่ำกลางคืนก็จะปวดอยากถ่าย แต่ก็ถ่ายไม่ได้ คล้ายกับมะเร็งลำไส้นะคะ แต่ไม่ใช่เพราะเวลาเราถ่ายได้ก็จะถ่ายง่ายมากและเยอะด้วย แต่ต้องไม่เป็นมูกเลือดนะคะ ลักษณะของเราคือจะเป็นเม็ดๆ กลมๆ เวลาที่ถ่ายยากๆ น่ะค่ะ
เล่าอาการมาเพื่อให้ จขกท ลองเทียบเคียงดูนะคะ คุณหมอที่ ร.พ.ธนบุรีเป็นคนวินิจฉัย และเราก็ไปหาหมอจีนที่คลินิคหัวเฉียวเป็นเวลาอีกปีครึ่ง แต่อาการมันก็ไม่ได้ดีขึ้น เราต้องหาข้อมูลทุกอย่างเพื่อมาปรับพฤติกรรมการอยู่และการกิน ซึ่งอาจสวนทางกับข้อมูลที่แนะนำกันนะคะ จึงอยากมาแบ่งปันให้กับคนที่ป่วยด้วยโรคนี้เหมือนเราหรือคนที่ท้องผูกประจำ ซึ่งท้องผูกไม่ได้หมายถึงว่าไม่ได้ถ่ายทุกวัน แต่การถ่ายทุกวันและถ่ายยากแบบเราก็ถือว่าเป็นอาการท้องผูกชนิดนึงอย่างที่บอกค่ะ
1. ตื่นนอน ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว และตามด้วยนมบีทาเก้นน้ำตาลต่ำ (9 กรัม) ผสมกับน้ำผลไม้ดอยคำครึ่งกล่อง (แบ่งเป็น 2 วัน) เลือกพวกน้ำตาลน้อย เช่น ฝรั่ง เบอกรี่รวม มะขามป้อม พวกนี้น้ำตาลไม่เกิน 10 กรัม หรือน้ำเสารสแบบน้ำตาลต่ำก็ประมาณ 13 กรัม ผสมรวมกันก็จะได้เท่ากับปริมาณ 1 แก้ว ดื่มแก้วนี้เพื่อสร้างจุลินทรีย์ในลำไส้ค่ะ เลือกน้ำผลไม้ดอยคำเพราะน้ำตาลน้อยกว่ายี่ห้ออื่นและไม่เจือสี แต่งกลิ่น หรือกันเสีย แต่พวกน้ำมะตูม กระเจี๊ยบหรือ มัลเบอรี่ น้ำตาลจะสูงมาก 20 กว่ากรัม เพราะฉะนั้นดูให้ดีๆ นะคะ เราเป็นคนไม่ดื่มชา กาแฟหรือน้ำอัดลมอยู่แล้ว จึงไม่ใช่สาเหตุของการถ่ายยาก
2. เราไม่กินข้าวกล้องค่ะ เลิกกินมาแล้ว 2 เดือน ข้าวกล้องมีประโยชน์มากค่ะ เราก็กินมาหลายปี เป็นข้าวสวยบ้าง หรือบางทีก็ข้าวต้ม เพราะหมอจีนเคยบอกว่าข้าวต้มย่อยง่ายกว่า แต่เราก็สังเกตุว่าข้าวกล้องย่อยยากสำหรับผู้ป่วยโรคลำไส้อย่างเรา เราเลยเปลี่ยนมากินเป็นข้าวหอมมะลิค่ะเพราะมันนุ่มกว่าเยอะ
3. เรายังกินเนื้อสัตว์นะคะ แต่ก็กินปลามากกว่าหมู ไก่ ส่วนเนื้อวัวไม่ทานเพราะเราเลิกทานมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ทุกวันนะคะ กินสัก 2 วัน ก็สลับไปกินไข่กับเต้าหู้ก้อนสีขาว เวลาทานเนื้อสัตว์ในหนึ่งวันก็จะไม่มาก เนื้อปลาประมาณฝ่ามือ และเนื้อหมูหรือไก่ไม่เกินกำมือ รวมเป็นสามมื้อค่ะ
ถ้าเวลาช่วงมีประจำเดือนเราจะงดเนื้อสัตว์ไปเลย 3 วัน เพราะที่ผ่านมาเราปวดบีบปีกมดลูกด้านซ้ายมากจนร้าวไปทั้งขา ปวดจนต้องกินพารา แต่พองดเนื้อสัตว์ สัปปะรด น้ำมะพร้าว ขนมนมเนย อาการเหล่านี้หายไปเพราะอาหารเหล่านี้ไปกระตุ้นฮอร์โมนค่ะ เลือดเดินสะดวกดีมาก ไม่ปวดหน่วงแบบทรมานอีกเลย ข้อนี้ฝากสำหรับน้องๆ ผู้หญิงค่ะ
4. ผักมีประโยชน์มากค่ะ เราทานทุกชนิด เป็นคนทานผักได้หลายอย่างและปริมาณเยอะด้วย แต่วิธีการปรุงสำคัญที่สุด เพราะที่ผ่านมาเรามีโอกาสทำอาหารเองทุกมื้อเนื่องจากไม่ได้ทำงานข้างนอกบ้านแล้ว ส่วนมากก็จะเป็นผัดผัก แต่ผักก็เป็นไฟเบอร์ที่ย่อยยากเช่นกัน ผู้ป่วยอย่างเรากินผักดิบมากไม่ได้ เราก็ผัดผักเป็นหลัก แต่ยิ่งกินผักมากก็ยิ่งถ่ายยาก เราจึงมานั่งคิดได้ว่า เวลากินสุกี้ วันรุ่งขึ้นเราจะถ่ายง่ายมาก
4-5 วันที่ผ่านมานี้ เราจึงเอาผักมาลวกก่อนนำไปผัดค่ะ เราไม่ได้กลัวเรื่องสูญเสียวิตามินเพราะไม่ได้ลวกในน้ำเดือดนาน กลัวเรื่องการขับถ่ายมากกว่า เวลานำไปผัดก็ใส่น้ำมันแค่ช้อนชาเดียวไม่ได้รอให้กระทะร้อนฉ่าด้วย นี่เป็นวิธีการปรุงผักที่เปลี่ยนไป ซึ่งมันได้ผลดีมากสำหรับระบบย่อย รสชาติอาจด้อยลงไป แต่วันรุ่งขึ้นขับถ่ายสบายมาก ข้อนี้จึงอยากฝากสำหรับคนที่กินผักเยอะๆ แต่ทำไมก็ยังท้องผูก
5. เราต้องเลิกดื่มนมทั้งที่รู้ว่ามีประโยชน์ แต่ยิ่งดื่มยิ่งท้องผูก แต่นมเปรี้ยวไม่เป็นไรค่ะ โยเกิร์ตก็ไม่เหมาะสำหรับเราเหมือนกันเพราะจะท้องผูกเหมือนกัน เคยดื่มนมครั้งนึงแล้วลำไส้บิด ปวดมวนท้อง จนท้องเสีย เราเปลี่ยนมาดื่มน้ำนมถั่วเหลืองดีน่าผสมงาดำแทน เป็นสูตรน้ำตาลน้อย 4 กรัม ดื่มมื้อเย็นแค่ครึ่งกล่องหลังจากทานข้าว มื้อเย็นก็จะทานไม่เยอะแค่พออิ่ม เพราะโรคแบบเราทานเยอะอาการก็จะกำเริบอีก
6. ผลไม้ทานทุกชนิดค่ะ สามมื้อหลังอาหาร แต่ละมื้อประมาณ 1 กำปั้นของตัวเอง เพราะหมอบอกว่าทานปริมาณเท่านี้จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำตาล ปริมาณนี้เหมาะสำหรับทุกคนนะคะ เราไม่ได้กินผลไม้ก่อนอาหารเหมือนอย่างที่แชร์กันนะคะ เพราะหมอเคยบอกว่ากินหลังอาหารจะช่วยไปดูดซับไขมันจากอาหารที่เราทานเข้าไป
7. เราออกกำลังกายแบบไม่หักโหม อาทิตย์ละ 3 หรือ 4 วัน เดินมากกว่าวิ่ง ครั้งละ 30 นาที รวมวอร์มอัพคูลดาวน์ก็ 50 นาที รวมโยคะด้วยอาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง เพราะเราน้ำหนักน้อยอยู่แล้วประมาณ 39-40 โล เนื่องมาจากโรคลำไส้ที่เราป่วยทำให้การดูดซึมอาหารได้น้อย ร่างกายจึงผอมลง เราจึงไม่ออกกำลังกายแบบรีดน้ำหนัก
8. เรื่องน้ำดื่ม ก็ดื่มได้ตลอดเวลาที่กระหาย ไม่ต้องไปกะเกณฑ์ตัวเองว่าต้องดื่มวันละกี่ลิตร แต่พยายามดื่มตามที่ร่างกายต้องการ อย่าให้ขาดน้ำ แต่เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศที่ต้องนั่งรถทั้งวันไม่มีโอกาสเข้าห้องน้ำ ก็จะใช้วิธีจิบแทนค่ะ
9. อื่นๆ ก็เหมือนที่มีคนแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพให้ตัวเองแข็งแรง เรื่องอารมณ์ การนอน ข้อนี้คงหาข้อมูลได้ไม่ยากค่ะ
10. อาหารทอดทานได้ แต่ให้น้อยที่สุดค่ะ ขนมนมเนยก็ทานได้ แต่ควบคุมปริมาณเหมือนกันค่ะ เพราะมีผลต่อระบบย่อยและขับถ่าย
สรุปว่า เราสังเกตุจากการดูแลรักษาตัวเองคือ ไฟเบอร์มีประโยชน์ค่ะ แต่คนธาตุหนักหรือผู้ป่วยโรคลำไส้ที่ท้องผูกอาจจะต้องช่วยระบบย่อยอาหารของตัวเองด้วยวิธีการกินอย่างที่เราบอกค่ะ
เราไม่เคยกินยาระบายเลยนะคะ ใช้วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการอยู่อย่างที่บอก ไม่ได้ไปหาหมอแล้วด้วยเพราะไม่อยากพึ่งยาจีน ยาฝรั่งไปทั้งชีวิต
หวังว่าคำตอบของเราจะเป็นประโยชน์กับ จขกท และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เอาใจช่วยค่ะเพราะเราเป็นผู้ป่วยเองรู้ดีว่าท้องผูกนี้มันทรมานมากแค่ไหน