ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราอายุ 26 ปี ตอนนี้ทำงานเป็นวิศวกร บริษัทแห่งหนึ่ง เราป่วยเป็นซึมเศร้ามาสักพักแล้ว ตอนนี้เข้าไปปรึกษาจิตแพทย์ และกินยา ได้ประมาณ 1 เดือนครึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้หมอจ่ายยา Sertraline50 และ Nortriptyline10 ให้กินก่อนนอนวันละครั้ง แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนหมอเพิ่งเพิ่มยา Sertraline50 ให้เป็นกินหลังอาหารเช้าเย็น และกิน Nortriptyline10 เหมือนเดิม
สาเหตุ ... เท่าที่คุยกับหมอนะคะ
1. เราเพิ่งเสียแม่ไปช่วงต้นปี 60 ด้วยโรคมะเร็งตรวจเจอระยะสุดท้าย อยู่ได้ 6 เดือนพอดีเป๊ะ ก่อนหน้านี้เราทำใจ และไม่เคยรู้สึกเศร้า จนเสร็จงานแม่ เราร้องไห้มากขึ้น อยากไปหาแม่ อยากเจอแม่ ก็ร้องทุกคืน ร้องจนหลับไป และมีคิดถึงแม่ระหว่างวัน ก็เหมือนทำใจไม่ได้
2. เราเป็นคนขี้กลัว วิตกกังวล มีความเครียด กดดันตัวเองตั้งแต่เด็ก คือเราถูกสร้างให้อยู่ในความคิดที่ว่า เรียนให้ดี มีงานดีๆ ทำงานที่ดี เพื่อแม่ เราก็เลือกเรียนตามที่แม่อยากให้เรียนตอนมัธยม พอมหาลัยก็เลือกคณะไปตามความเชื่อว่าอาชีพนี้คือดี พอมาทำงานก็ทำงานตามใจแม่ แม่อยากให้ทำที่นี่ อยู่แถวนี้ ก็ทำไป ไม่ได้ชอบ ด้วยในใจคิดว่าอยากออกไปจากตรงนี้ อยากไปทำอย่างที่ชอบ แต่ก็ทำไม่ได้ จนวันหนึ่งเสียแม่ไป เราก็เคว้งเลย จะหันกลับไปทำตามความฝัน .... รู้ตัวอีกทีเราก็กลายเป็นพวกบ้างาน ทำแต่งาน ไม่หยุด ไม่พัก ไปเสียแล้ว
3. ว่าด้วยเรื่องงาน ที่บริษัทมีปัญหาเรื่องการจัดการคนมาก ทำให้ตำแหน่งที่เราทำ มีแค่เรา ยังหาคนมาช่วยไม่ได้ มา 2 เดือนออกบ้าง ไม่มาเลยบ้าง ทำให้ load งานอยู่ที่เรา เราเคยทำงานได้ดี ได้เยอะมากที่สุด หัวหน้าจ่ายงานให้เรา เราทำโอทีทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่หยุด จนมาถึงช่วงที่เราเริ่มป่วย เราทำงานช้า เครียด ตัดสินใจไม่ได้ หัวหน้าก็ออกแนวเข้าใจ แต่สุดท้ายงานก็ต้องตกที่เราอยู่ดีเพราะไม่มีคน และงานเดิมเราก็ไม่ออกเร็วเท่าแต่ก่อน ยังต้องมาเจอปัญหากับคนที่มีอยู่ทุกที่ ทำให้เรามีปัญหาเครียดสะสม
4. ว่าด้วยเรื่องคนที่ทำงาน เราเป็นคนที่ไม่สู้คน ไม่เถียงคน เราพยายามดันงานทุกงานออกไป ใครมีปัญหาตรงไหน ไม่ใช่หน้าที่เรา เราก็ไปช่วย ใครไม่ยอมรับผิดชอบอะไร เราก็เข้าไปทำแทน ใครผิดเราไม่ว่าไม่ตำหนิ แต่หลายครั้งเราโดนตำหนิทั้งที่เราไม่ผิด เราก็ไม่เถียง ( เราไม่ได้มีลูกน้องนะคะ แต่เป็น leader ในการทำงานร่วมกับฝ่ายอื่นๆ ซึ่งก็ไม่ใช่ลูกน้องเรา ) หมอบอกว่าเราเก็บปัญหามาไว้ที่ตัวเองจนร่างกายเรารับไม่ไหว
5. เราเป็นคนขี้ตกใจ ขี้กลัวอยู่แล้ว และเป็น Hypervitillation เป็นไมเกรน เป็นเครียดลงกระเพาะ
อาการ ... ที่เป็น ณ ตอนนี้
เราดีขึ้นจากแต่ก่อนช่วงยังไม่หาหมอ อาการไม่เป็นบ่อย เป็นทีก็หายเร็วขึ้นจากปกติร้องไห้จนหลับ อันนี้ก็ค่อยๆมีสติ เริ่มทำใจเรื่องแม่ได้ดีขึ้น คือหยุดอารมณ์คิดถึงแม่ได้ดีขึ้น
แต่!!!!! เรากลับเจอสภาวะที่เวลาเป็นแล้วมันดิ่งลึกสุดๆ จากก่อนหน้านี้แค่คิดว่าเมื่อไหร่จะตาย เรากลับอยากตายมากขึ้น อยากหาวิธีฆ่าตัวตาย คุมสติไม่อยู่แม้อยู่ในที่ทำงานคนเยอะๆ เราก็ดิ่งมาร้องไห้ มือสั่น เครียด ทำงานไม่ได้ กังวลโดยไม่มีสาเหตุ บางทีก็เผลอทำร้ายตัวเองเบาๆ ตีตัวเอง รู้สึกแต่ว่าอยากตาย ไม่อยากอยู่ ไม่อยากทนทรมานกับอาการแบบนี้ ไม่พูด ไม่คุย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เรารู้สึกมันทรมานมาก
แนวทางการรักษา ... ตามที่หมอแนะนำ
1. กินยา ... หมอก็ให้ยาตามที่บอกด้านบน หมอบอกว่าเราเป็นวิตกกังวลมาก เอาทุกความผิดทุกปัญหามาลงที่ตัวเอง หมอให้ยาเพื่อที่ให้เรามีความกล้าพูด กล้าทำอะไรที่เราไม่ผิด ไม่แบกรับปัญหา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยาแค่ช่วย แต่ถ้าเราไม่ปรับพฤติกรรมก็ไม่ช่วย และยาต้านเศร้าก็ให้มากกว่านี้ไม่ได้ ถ้ามากกว่านี้คือเราจะไม่สามารถทำงานได้ ต้องทานยา แล้วนอนพัก
2. ปรับพฤติกรรม ... หมอบอกว่าเราต้องปรับพฤติกรรมตัวเอง ถ้าเรายังระบายความเครียดออกจากตัวเราไม่ได้ แล้วไปรับมาตลอด ก็ไม่มีทางหาย ถาปรับไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนสายอาชีพไปเลย แต่หมอไม่ได้แนะนำนะคะ เพราะเรายังมีปัญหาเรื่องฐานะ เรื่องความไม่พร้อมบลาๆ ตามประสามนุษย์เงินเดือน 55
ถึงข้อสงสัยของเราแล้ว
1. หมอบอกเราไม่รักตัวเอง ซึ่งเราก็คิดอย่างนั้น เราไม่มีเป้าหมายในชีวิต เราตอบไม่ได้ว่าจะอยู่เพื่อใคร แต่ก่อนทำทุกอย่างเพื่อแม่แต่ตอนนี้ เราไม่มีคนๆนั้น แม้ว่าทุกคนจะเข้าใจเราหมด แฟน ครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน ทุกคนเข้าใจ เป็นห่วงและช่วยเหลือเราตลอด แต่พวกเขาไม่ทำให้เราอยากอยู่มากขึ้นเลย
เราตอบไม่ได้ว่าเราอยากทำอะไร อะไรคืองานที่เรารัก เราไม่มีงานอดิเรก เราเคยทำแต่งานแล้วก็อยู่กับแม่ แค่นี้จริงๆ
คำถาม เราจะค้นเจอคำตอบเหล่านี้เพื่อรักตัวเองได้ยังไง เรามีความเครียดสะสมเรื่องงาน งาน งาน และงาน เราปล่อยงานไม่ได้ ทำก็ไม่ได้
2. เราควรลาออกจากงานไหม
ช่วงแรกที่กินยา หัวหน้าให้เราลางาน ให้งานเราน้อยลง เราก็ดีขึ้น พอต่อมาเริ่มจ่ายงาน เราเริ่มทำงานหนักขึ้น เราก็เป็นอีก และเราก็เป็นหนักทุกครั้งที่เราทำงานเลิกดึก เรายังมีอาการนอนละเมอเป็นงาน ฝันถึงงาน สะดุ้งตื่น .... เราพยายามปรับพฤติกรรม แต่เราทำไม่ได้จริงๆ เราว่าคนอื่นไม่ได้ เราไม่มีอารมฉุนเฉียว ใครทำให้เราเดือดร้อนเราก็ไม่โกรธ ไม่ชักสีหน้า เราเก็บมาเสียใจ น้อยใจเอง สุดท้ายเวลาเราเป็นคนที่ต้องรองรับอารมณ์เราก็คือแฟนเรา
3. ส่วนใหญ่ทานยากี่เดือนถึงจะดีขึ้นคะ
ตอนนี้เรากังวลด้วยว่า เราจะหายไหม กินยาไม่เห็นหายเลย เป็นอีกสาเหตุของความเครียดและอาการกำเริบเลยก็ว่าได้ เรากลัวหลายอย่าง อยากหาย แต่ไม่รู้ว่าทีเป็นอยู่คือปกติ หรือไม่ปกติ ตลอดเดือนกว่าๆ ที่กินยามา เวลาเป็นทีทรมานมาก แต่ไม่เป็นนานเหมือนแต่ก่อน เราอยากหายเร็วที่สุด พยายามลดปัจจัยอย่างอื่น แต่มันก็ยังเป็น คนรอบข้างดูแลเราอย่างดี แต่เราก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น นั่งนับวันรอวันลาโลกอย่างเดียว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบนะคะ
เราไม่คิดว่าเราจะเป็นโรคนี้ แต่ก็เป็นไปแล้ว แล้วยังต้องเผชิญกับคนที่ไม่เข้าใจอีกเยอะ
เรารู้สึกเป็นภาระของทุกคนรอบข้าง ทั้งแฟน ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อนที่ทำงาน เวลาเราเป็น ทุกคนต้องมาช่วยพยุงสติเรา เราก็พยายามหนีทุกคน
ขอคำแนะนำนะคะ ควรทำอย่างไรต่อไป ควรออกจากงานไหม
กำลังรักษาโรคซึมเศร้าค่ะ ขอคำปรึกษาจากคนที่เข้าใจหน่อยค่ะ ((เราไม่เข้าใจตัวเอง))
สาเหตุ ... เท่าที่คุยกับหมอนะคะ
1. เราเพิ่งเสียแม่ไปช่วงต้นปี 60 ด้วยโรคมะเร็งตรวจเจอระยะสุดท้าย อยู่ได้ 6 เดือนพอดีเป๊ะ ก่อนหน้านี้เราทำใจ และไม่เคยรู้สึกเศร้า จนเสร็จงานแม่ เราร้องไห้มากขึ้น อยากไปหาแม่ อยากเจอแม่ ก็ร้องทุกคืน ร้องจนหลับไป และมีคิดถึงแม่ระหว่างวัน ก็เหมือนทำใจไม่ได้
2. เราเป็นคนขี้กลัว วิตกกังวล มีความเครียด กดดันตัวเองตั้งแต่เด็ก คือเราถูกสร้างให้อยู่ในความคิดที่ว่า เรียนให้ดี มีงานดีๆ ทำงานที่ดี เพื่อแม่ เราก็เลือกเรียนตามที่แม่อยากให้เรียนตอนมัธยม พอมหาลัยก็เลือกคณะไปตามความเชื่อว่าอาชีพนี้คือดี พอมาทำงานก็ทำงานตามใจแม่ แม่อยากให้ทำที่นี่ อยู่แถวนี้ ก็ทำไป ไม่ได้ชอบ ด้วยในใจคิดว่าอยากออกไปจากตรงนี้ อยากไปทำอย่างที่ชอบ แต่ก็ทำไม่ได้ จนวันหนึ่งเสียแม่ไป เราก็เคว้งเลย จะหันกลับไปทำตามความฝัน .... รู้ตัวอีกทีเราก็กลายเป็นพวกบ้างาน ทำแต่งาน ไม่หยุด ไม่พัก ไปเสียแล้ว
3. ว่าด้วยเรื่องงาน ที่บริษัทมีปัญหาเรื่องการจัดการคนมาก ทำให้ตำแหน่งที่เราทำ มีแค่เรา ยังหาคนมาช่วยไม่ได้ มา 2 เดือนออกบ้าง ไม่มาเลยบ้าง ทำให้ load งานอยู่ที่เรา เราเคยทำงานได้ดี ได้เยอะมากที่สุด หัวหน้าจ่ายงานให้เรา เราทำโอทีทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่หยุด จนมาถึงช่วงที่เราเริ่มป่วย เราทำงานช้า เครียด ตัดสินใจไม่ได้ หัวหน้าก็ออกแนวเข้าใจ แต่สุดท้ายงานก็ต้องตกที่เราอยู่ดีเพราะไม่มีคน และงานเดิมเราก็ไม่ออกเร็วเท่าแต่ก่อน ยังต้องมาเจอปัญหากับคนที่มีอยู่ทุกที่ ทำให้เรามีปัญหาเครียดสะสม
4. ว่าด้วยเรื่องคนที่ทำงาน เราเป็นคนที่ไม่สู้คน ไม่เถียงคน เราพยายามดันงานทุกงานออกไป ใครมีปัญหาตรงไหน ไม่ใช่หน้าที่เรา เราก็ไปช่วย ใครไม่ยอมรับผิดชอบอะไร เราก็เข้าไปทำแทน ใครผิดเราไม่ว่าไม่ตำหนิ แต่หลายครั้งเราโดนตำหนิทั้งที่เราไม่ผิด เราก็ไม่เถียง ( เราไม่ได้มีลูกน้องนะคะ แต่เป็น leader ในการทำงานร่วมกับฝ่ายอื่นๆ ซึ่งก็ไม่ใช่ลูกน้องเรา ) หมอบอกว่าเราเก็บปัญหามาไว้ที่ตัวเองจนร่างกายเรารับไม่ไหว
5. เราเป็นคนขี้ตกใจ ขี้กลัวอยู่แล้ว และเป็น Hypervitillation เป็นไมเกรน เป็นเครียดลงกระเพาะ
อาการ ... ที่เป็น ณ ตอนนี้
เราดีขึ้นจากแต่ก่อนช่วงยังไม่หาหมอ อาการไม่เป็นบ่อย เป็นทีก็หายเร็วขึ้นจากปกติร้องไห้จนหลับ อันนี้ก็ค่อยๆมีสติ เริ่มทำใจเรื่องแม่ได้ดีขึ้น คือหยุดอารมณ์คิดถึงแม่ได้ดีขึ้น
แต่!!!!! เรากลับเจอสภาวะที่เวลาเป็นแล้วมันดิ่งลึกสุดๆ จากก่อนหน้านี้แค่คิดว่าเมื่อไหร่จะตาย เรากลับอยากตายมากขึ้น อยากหาวิธีฆ่าตัวตาย คุมสติไม่อยู่แม้อยู่ในที่ทำงานคนเยอะๆ เราก็ดิ่งมาร้องไห้ มือสั่น เครียด ทำงานไม่ได้ กังวลโดยไม่มีสาเหตุ บางทีก็เผลอทำร้ายตัวเองเบาๆ ตีตัวเอง รู้สึกแต่ว่าอยากตาย ไม่อยากอยู่ ไม่อยากทนทรมานกับอาการแบบนี้ ไม่พูด ไม่คุย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เรารู้สึกมันทรมานมาก
แนวทางการรักษา ... ตามที่หมอแนะนำ
1. กินยา ... หมอก็ให้ยาตามที่บอกด้านบน หมอบอกว่าเราเป็นวิตกกังวลมาก เอาทุกความผิดทุกปัญหามาลงที่ตัวเอง หมอให้ยาเพื่อที่ให้เรามีความกล้าพูด กล้าทำอะไรที่เราไม่ผิด ไม่แบกรับปัญหา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยาแค่ช่วย แต่ถ้าเราไม่ปรับพฤติกรรมก็ไม่ช่วย และยาต้านเศร้าก็ให้มากกว่านี้ไม่ได้ ถ้ามากกว่านี้คือเราจะไม่สามารถทำงานได้ ต้องทานยา แล้วนอนพัก
2. ปรับพฤติกรรม ... หมอบอกว่าเราต้องปรับพฤติกรรมตัวเอง ถ้าเรายังระบายความเครียดออกจากตัวเราไม่ได้ แล้วไปรับมาตลอด ก็ไม่มีทางหาย ถาปรับไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนสายอาชีพไปเลย แต่หมอไม่ได้แนะนำนะคะ เพราะเรายังมีปัญหาเรื่องฐานะ เรื่องความไม่พร้อมบลาๆ ตามประสามนุษย์เงินเดือน 55
ถึงข้อสงสัยของเราแล้ว
1. หมอบอกเราไม่รักตัวเอง ซึ่งเราก็คิดอย่างนั้น เราไม่มีเป้าหมายในชีวิต เราตอบไม่ได้ว่าจะอยู่เพื่อใคร แต่ก่อนทำทุกอย่างเพื่อแม่แต่ตอนนี้ เราไม่มีคนๆนั้น แม้ว่าทุกคนจะเข้าใจเราหมด แฟน ครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน ทุกคนเข้าใจ เป็นห่วงและช่วยเหลือเราตลอด แต่พวกเขาไม่ทำให้เราอยากอยู่มากขึ้นเลย
เราตอบไม่ได้ว่าเราอยากทำอะไร อะไรคืองานที่เรารัก เราไม่มีงานอดิเรก เราเคยทำแต่งานแล้วก็อยู่กับแม่ แค่นี้จริงๆ
คำถาม เราจะค้นเจอคำตอบเหล่านี้เพื่อรักตัวเองได้ยังไง เรามีความเครียดสะสมเรื่องงาน งาน งาน และงาน เราปล่อยงานไม่ได้ ทำก็ไม่ได้
2. เราควรลาออกจากงานไหม
ช่วงแรกที่กินยา หัวหน้าให้เราลางาน ให้งานเราน้อยลง เราก็ดีขึ้น พอต่อมาเริ่มจ่ายงาน เราเริ่มทำงานหนักขึ้น เราก็เป็นอีก และเราก็เป็นหนักทุกครั้งที่เราทำงานเลิกดึก เรายังมีอาการนอนละเมอเป็นงาน ฝันถึงงาน สะดุ้งตื่น .... เราพยายามปรับพฤติกรรม แต่เราทำไม่ได้จริงๆ เราว่าคนอื่นไม่ได้ เราไม่มีอารมฉุนเฉียว ใครทำให้เราเดือดร้อนเราก็ไม่โกรธ ไม่ชักสีหน้า เราเก็บมาเสียใจ น้อยใจเอง สุดท้ายเวลาเราเป็นคนที่ต้องรองรับอารมณ์เราก็คือแฟนเรา
3. ส่วนใหญ่ทานยากี่เดือนถึงจะดีขึ้นคะ
ตอนนี้เรากังวลด้วยว่า เราจะหายไหม กินยาไม่เห็นหายเลย เป็นอีกสาเหตุของความเครียดและอาการกำเริบเลยก็ว่าได้ เรากลัวหลายอย่าง อยากหาย แต่ไม่รู้ว่าทีเป็นอยู่คือปกติ หรือไม่ปกติ ตลอดเดือนกว่าๆ ที่กินยามา เวลาเป็นทีทรมานมาก แต่ไม่เป็นนานเหมือนแต่ก่อน เราอยากหายเร็วที่สุด พยายามลดปัจจัยอย่างอื่น แต่มันก็ยังเป็น คนรอบข้างดูแลเราอย่างดี แต่เราก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น นั่งนับวันรอวันลาโลกอย่างเดียว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบนะคะ
เราไม่คิดว่าเราจะเป็นโรคนี้ แต่ก็เป็นไปแล้ว แล้วยังต้องเผชิญกับคนที่ไม่เข้าใจอีกเยอะ
เรารู้สึกเป็นภาระของทุกคนรอบข้าง ทั้งแฟน ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อนที่ทำงาน เวลาเราเป็น ทุกคนต้องมาช่วยพยุงสติเรา เราก็พยายามหนีทุกคน
ขอคำแนะนำนะคะ ควรทำอย่างไรต่อไป ควรออกจากงานไหม