*คำเตือน… เนื้อหาในบทความนี้ อาจมีการเผยแพร่เนื้อหาบางส่วนของรายการ



สัปดาห์นี้ มาถึงบทการแข่งขันที่เข้มข้นและถือว่าเป็นช่วงที่ค่อนข้างจะสนุกที่สุดของรายการมาสเตอร์เชฟในเกือบทุกๆประเทศ… นั่นคือ การแข่งขันแบบแบ่งทีม เพราะถือว่าเป็นการทำงานแบบลงสนามจริงๆ ซึ่งเราจะได้เห็นบุคลิคลักษณะและนิสัยใจคอของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน

ในวันนี้โจทย์ของการแข่งขัน คือ “East Meets West” นั่นคือ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำเมนูอาหารที่เป็นทั้งสไตล์ตะวันตกและตะวันออกในจานเดียวกัน โดยกรรมการในวันนี้คือ ผู้ขับรถตุ๊กๆ จำนวน 101 คน ดังนั้นรสชาติของอาหารจะต้องทำออกมาให้ถูกปากพี่ๆคนขับตุ๊กๆด้วย ทีมนั้นจึงจะชนะไป

ข้อกำหนดของเมนูอาหาร นอกจากจะต้องเป็นสไตล์ตะวันตกผสมกับตะวันออกแล้ว ในจานจะต้องประกอบไปด้วย โปรตีน 1 ส่วน แป้ง 1 ส่วน และผัก 1 ส่วน และแต่ละทีมจะมีเวลาทำอาหารเพียงแค่ 60 นาทีเท่านั้นกับเมนูอาหาร 101 จาน

โดยหัวหน้าทีมนั้น คือผู้ที่ทำอาหารได้ดีที่สุด 2 คนจากการแข่งขันรอบที่แล้ว ซึ่งก็คือ นิค เป็นหัวหน้าทีมสีน้ำเงิน และพลอย เป็นหัวหน้าทีมสีแดง

---

บทเรียนวันนี้

1.ผู้นำที่ดี ควรทำตัวให้เป็น Leader ไม่ใช่ Boss
2.การทำงานเป็นทีม ต้องมีการสื่อสารกันตลอดเวลา ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
3.จงเลือกคนให้ถูกกับงาน และเลือกอาหารให้ถูกกับคนกิน
4.เมื่อถึงสถานการณ์ที่กดดัน สติ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องมี

---

1. ผู้นำที่ดี ควรทำตัวให้เป็น Leader ไม่ใช่ Boss

ในการแข่งขันวันนี้ เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างหัวหน้าทีมทั้งสองทีมอย่างเห็นได้ชัด



นิค จะเป็นหัวหน้าทีมแบบ Boss คือชี้นิ้วสั่ง และไม่ได้อธิบายงานให้ลูกทีมเข้าใจว่า ทิศทางของสิ่งที่ทำนั้นคืออะไร จะรู้กันเองแค่ตัวเองกับโอ๊ค ซึ่งเป็นมือขวาเท่านั้น ทำให้ลูกทีมมีคำถามสงสัยตลอดเวลา หากโชคดี เจอลูกน้องที่ก้มหน้ารับคำสั่งและทำตามอย่างเดียว ก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร แต่เมื่อมีคนที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง อย่าง แบงค์ มาอยู่ในทีมเมื่อไหร่ ก็จะเกิดปัญหาได้ทันที เพราะคนแบบนี้จะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และจะไม่ยอมทำตามคำสั่งคนที่เขาคิดว่าไม่เก่งพอ และยิ่งหากหัวหน้าทีมไม่สามารถอธิบายให้คนแบบนี้เข้าใจได้ชัดเจน เขาก็จะยิ่งต่อต้านและไม่ยอมทำตามในสิ่งที่เขาถูกสั่งมาให้ทำ



ส่วน พลอย จะเป็นหัวหน้าแบบ Leader คือเมื่อเริ่มทำงาน ก็เรียกคนในทีมมาคุยกันก่อนว่า ทิศทางของการทำงานวันนี้คืออะไร จะทำเมนูอะไรบ้าง และใครต้องทำอะไร ซึ่งจะทำให้คนในทีมเข้าใจและพร้อมที่จะทำงานไปในทิศทางเดียวกัน แม้ว่าภายหลังจากการแบ่งงานกันแล้ว บทบาทของพลอยจะถูกลดลงไป เพราะมือขวาซึ่งคือ เปา นั้นมีความเป็นผู้นำชัดเจนมากกว่า แต่พอมองผลลัพธ์ภาพรวม พลอยจะได้ใจสมาชิกในทีมทุกคนเพราะพลอยรู้จักยอมรับและให้เกียรติคนอื่น


2. การทำงานเป็นทีม ต้องมีการสื่อสารกันตลอดเวลา ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ



การทำงานเป็นทีมของทีมสีน้ำเงินในวันนี้ ถือว่าสอบผ่าน เพราะทำงานเป็นระบบ และมีการสื่อสารกันตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาสงสัยก็พูดคุยหารือกัน ทำให้ผลที่ออกมา อาหารครบ และพอดีไม่มีขาด ซึ่งต่างจากของทีมสีแดง ที่ต่างคนต่างทำ และสุดท้ายก็ต้องมาพบว่าข้าวของทีมตัวเองนั้นเตรียมมาไม่พอ แม้ว่าทีมสีแดงจะแก้ปัญหาโดยการเอาเส้นเล็กมาแทนข้าว แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เข้ากันเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเลือกตัวเลือกที่มีอยู่ออกมาได้ดี เพราะเส้นก๋วยเตี๋ยวนั้นสุกง่าย ไม่เสียเวลาในการทำ และทำให้อาหารภายในจาน มีครบทั้งโปรตีน แป้ง และผัก ตามโจทย์ที่ได้กำหนดไว้


3. จงเลือกคนให้ถูกกับงาน และเลือกอาหารให้ถูกกับคนกิน

เมนูอาหารที่แต่ละทีมได้เลือกมาในวันนี้ ตามโจทย์หลักคือ East Meets West อาหารจึงออกมาเป็นเสต๊กทั้งสองจาน แต่ว่าแต่ละจานก็มีความโดดเด่นที่ต่างกัน



เมนูของทีมสีน้ำเงิน คือ สเต๊กแจ่วอินเตอร์ เสิร์ฟคู่กับ ผัดมันฝรั่ง มะเขือเทศ ถั่ว และกระหล่ำดาว



ส่วนเมนูของทีมสีแดง คือ สเต๊กแจ๊วแจ่ว เสิร์ฟคู่กับ ผัดผักกะปิ และข้าวผัดเนยสมุนไพร

ซึ่งทีมที่ชนะในวันนี้ก็คือ…

.
.
.


ทีมสีแดงนั่นเองค่ะ ซึ่งเหตุผลที่ชนะในวันนี้ น่าจะเป็นเพราะทีมสีแดงเลือกเมนูอาหารที่ถูกปากพี่ตุ๊กๆมากกว่า เพราะเป็นรสชาติอาหารที่พี่ๆเค้าคุ้นเคย และมีข้าวซึ่งถือว่าเป็นอาหารหลักของคนไทย เรียกว่า “ตีโจทย์แตก ” ซึ่งในการนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหัวหน้าทีมได้เลือกคนที่ลงมาทำงานได้ถูกต้อง จานหลัก ให้เปา ซึ่งมีความรู้และชำนาญเรื่องอาหารมากที่สุดเป็นคนทำ และเลือกหญิงอ๊อด ซึ่งพูดจาน่าฟัง ฉะฉาน ให้เป็นคนคอยเสิร์ฟอาหาร ซึ่งตอนที่ข้าวหมด ทีมสีแดงก็ได้หญิงอ๊อดนี่แหละที่ช่วยรับหน้า ชวนพี่ๆคนขับตุ๊กๆคุยไปเรื่อยๆ ทำให้พี่ๆเหล่านั้นสามารถยืนรออาหารได้อย่างไม่หงุดหงิดใจ

ผิดกับทีมสีน้ำเงิน ซึ่งทำอาหารออกแนวฝรั่งมากเกินไป เลือกใช้มันฝรั่ง ซึ่งไม่ใช่ของคุ้นเคยของพี่ๆคนขับรถตุ๊กๆ ซึ่งหากโชคดี รสชาติออกมาถูกปากก็ดีไป แต่ในครั้งนี้ผลลัพท์กลับไม่ใช่ ก็เลยต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมสีแดง การมอบหมายงานให้ลูกทีม ก็ถือว่าทำได้ไม่ดี เพราะทีมนี้ มีคนที่ทำอาหารไทยเก่งๆอย่างน้องมิ้งอยู่ในทีม แต่น้องกลับได้แค่ปอกเปลือกมันฝรั่ง บางที หากให้น้องมีส่วนร่วมในการคิดเมนูอาหาร อาจจะออกมาถูกปากพี่ๆคนขับรถตุ๊กๆมากกว่าก็เป็นได้



เมื่อมีทีมที่ชนะ ก็ย่อมมีทีมที่แพ้ นั่นก็คือ ทีมสีน้ำเงิน ซึ่งจะต้องเข้าไปพบกับบททดสอบรอบกดดัน และผู้ที่ทำพลาดมากที่สุดในรอบนี้ ก็จะต้องกลับบ้านไป



บททดสอบรอบกดดันในวันนี้ โจทย์คือ “ความละเอียดและแม่นยำ” โดยทุกคนจะต้องทำเมนูไข่ทั้งหมด 4 จาน คือ ไข่ตุ๋น ไข่ดาว ไข่ต้ม และไข่คน หรือ scramble eggs



ซึ่งเมนูเหล่านี้ ถือเป็นเมนูพื้นฐาน ที่คนเป็นเชฟควรจะทำออกมาได้ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำเมนูทั้งสี่นี้ให้ออกมาตรงโจทย์ในเวลาที่กำหนดเพียง 25 นาทีนั้น ก็ถือว่าเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างหินเลยทีเดียว


4. เมื่อถึงสถานการณ์ที่กดดัน สติ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องมี

ตามโจทย์ที่กำหนด การที่จะต้องทำไข่ตุ๋นออกมาให้เนียน ไม่แข็งเกินไป และไม่เหลวจนเป็นน้ำ, ทำไข่ดาวให้ไข่ขาวสุก ขอบนอกกรอบ และไข่แดงเยิ้ม, ส่วนไข่ต้มก็ต้องสวยไม่เละ และไข่แดงเป็นยางมะตูม แถมไข่คนก็ต้องออกมาสีเหลืองทอง และเกาะกันไม่เละจนเกินไป โดยทั้งหมดนี้จะต้องทำให้เสร็จในเวลาเพียง 25 นาที โดยที่ไม่มีไข่สำรองให้เปลี่ยนด้วยนั้น ทั้ง 7 คนจะต้องมีสติ กะเวลาให้ถูก ถึงจะสามารถอยู่ในมาสเตอร์เชฟได้ต่อไป แต่ 1 คนที่ทำผิดพลาดมากที่สุด ก็ต้องคืนผ้ากันเปื้อนและกลับบ้านไป

โดยในวันนี้ คนที่ต้องคืนผ้ากันเปื้อนก็คือ…

.
.
.
.



แบงค์นั่นเอง

ในวันนี้ แบงค์ขาดสติอย่างมากในการทำไข่ต้ม คือแทนที่จะเอาไข่ต้มใส่ลงไปในหม้อทั้งลูก เขากลับตอกไข่ใส่ลงไปแทน ทำให้ไข่ออกมาผิดโจทย์ กลายเป็นไข่ดาวน้ำไป



แถมไข่ตุ๋น ยังเหลวเป็นน้ำ เหมือนยังไม่ได้โดนไฟแม้แต่น้อย



มีหลายคนที่สงสัย ว่าทำไมแบงค์ถึงผิดพลาดได้ขนาดนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ออกมาบอกว่า คำนวณเวลาผิดพลาดไป ซึ่งจากเหตุการณ์นี้จะเห็นได้เลยว่า สติ นั้นสำคัญที่สุด หากไม่มีสติแล้ว ผลลัพท์ที่ออกมา มันก็จะดูแย่จนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว



สัปดาห์หน้าจะเป็นการแข่งขันแบบไหน

และจะมีข้อคิดอะไรให้กับเราอีกบ้าง…

แล้วเราจะมาพบกันใหม่ที่นี่…

MasterChef Thailand …เวลาของคุณเริ่มแล้ว!

(Credit: ภาพจากรายการ MasterChef Thailand)

ย้อนดูตอนก่อนหน้านี้ได้ที่ https://tangthaneesa.wordpress.com/category/series-movie-review/