ผมไม่ใช่นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์นะ แต่ก็ชอบศึกษาศาสตร์นี้ ชอบอ่านเคส ชอบดูพวกสารคดีการทดลองทางความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ทำให้พอจะมีหลักอะไรมาตั้งสมมุติฐานนี้ได้บ้าง อย่างไรก็ตามหากผิดพลาดตรงไหนก็ท้วงติงแล้วชี้แนะกันมาได้ครับ
ขอเริ่มด้วยทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow's hierarchy of needs) ที่เสนอไว้ว่าความต้องการคนเรามีอยู่ 5 ระดับได้แก่
1.ความต้องการพื้นฐานทางร่างกาย (Physiological needs)
2.ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs)
3.ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Social belonging)
4.ความต้องการความเคารพนับถือ (Esteem)
5.ความต้องการเติมเต็มศักยภาพของตนเอง (Self-actualization)
โดยความต้องการนี้จะไล่จากระดับต่ำสุดคือระดับ 1 ไปถึง 5 โดยจะข้ามขั้นไปไม่ได้หากระดับที่ต่ำกว่าไม่ถูกเติมเต็มยกตัวอย่างเช่น คนที่หลงป่าแล้วหิวเจียนขาดใจเจอตัวอะไรคว้าได้ก็จับกินหมดไม่ว่าจะดูน่ากลัวแค่ไหนอย่างเช่นแมงมุมโดยไม่แยแส Safety needs เลย หรือคนในพื้นที่สู้รบก็จะมีอัตราการสร้างครอบครัวที่ต่ำนอกจากจะหาทางออกไปอยู่ที่อื่นที่ปลอดภัยได้ เป็นต้น
ทีนี้มาพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้บางคน
ในสังคมไทยต้องแสวงหาความเคารพจากคนอื่นอยู่เสมอเป็นต้นว่า เรียกร้องให้คนอายุน้อยกว่าต้องแสดงความเคารพให้ตนเองอยู่ตลอดเวลา หรือเรียกร้องการแสดงความขอบคุณหรือการชื่นชมจากผู้ที่อาวุโสกว่าอยู่เรื่อย ในขณะที่บางคนก็พยายามให้ทุกคนปฏิบัติต่อตัวเองให้มันธรรมดาลงหน่อย หรือบางคนก็ไม่แคร์เลย ซึ่งมันต้องมีสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้มีพฤติกรรมต่างกัน และผมเคยทำการทดลองส่วนตัวในงานหลายงานโดยการทำตัวให้มันดูไร้สัมมาคารวะละกัน กับบุคคลหลากหลาย ซึ่งก็ต้องอาศัยจังหวะเหมาะๆแล้ววานให้เพื่อนไปถามฟีดแบ็คจากบุคคลเหล่านั้น จากนั้นก็นำผลที่ได้มารวบรวมซึ่งตอนนี้มีอยู่ประมาณ 30 กว่าคน ก็สามารถแบ่งผลลัพธ์ออกมาได้ 3 รูปแบบ คือ 1.มีความคิดเห็นเชิงลบรุนแรงและมีอารมณ์ร่วมด้วย 2.มีความเห็นเชิงลบแต่ไม่รุนแรง บางคนก็ให้คำแนะนำ และ 3.ไม่สนใจเลย
และจากการจัดกลุ่มโดยอาชีพพบว่ากลุ่มที่มีรูปแบบที่ 1 ประกอบอาชีพรับราชการแทบทั้งหมด มีคนนึงผมจำแม่นเลยว่าระดับ C10 เป็นผู้อำนวยการที่ไหนสักที่คือด่าได้แบบอู้หูววว มาก ส่วนในกลุ่มรูปแบบที่ 2 อันนี้ไม่มีอะไรเด่นขึ้นมามีทั้งพนักงานเอกชน เจ้าของ SME ข้าราชการระดับต่างๆ กลุ่มนี้คนเยอะสุด และในกลุ่มรูปแบบที่ 3 คือเป็นเจ้าของธุรกิจแทบทั้งหมดเลยตั้งแต่ระดับ SME จนถึงจดทะเบียนใน SET
จากข้อมูลนี้ผมก็วิเคราะห์ว่าพฤติกรรมของพวกเค้าอาจได้รับอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมการทำงานได้โดยในกลุ่มที่ 1 ได้แก่ข้าราชการซึ่งต้องปฏิบัติงานตามระบบที่วางไว้อยู่แล้ว และถ้าประสบความสำเร็จผลงานนั้นก็ตกเป็นของหน่วยงานไป ไม่มีการตั้งระบบใหม่เป็นชื่อเค้าหรือกระทรวงของเค้า แม้ว่าในตอนแรกอาจจะดีใจที่ได้ถ้วยหรือได้สลักชื่อบนป้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไปลึกๆในใจเค้ายังขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง(self-esteem)อยู่ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นของเค้าหรือโดยตัวตนของเค้าเองจริงๆเลย เค้าจึงต้องแสวงหามันจากคนอื่นโดยระหว่างที่แสดงออกก็จะยกข้ออ้างมากมายขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ตัวเองขาดและกำลังโหยหามัน
สำหรับคนในกลุ่มที่ 2 นั้นมีความหลากหลายมากจนไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าอะไรเป็นอะไรจนกว่าจะมีข้อมูลที่มากกว่านี้
และคนในกลุ่มที่ 3 นี้เกือบทั้งหมดมีธุรกิจเป็นของตนเองซึ่งชัดเจนว่าแทบทุกคนมีภาคภูมิใจในตัวเอง(self-esteem)ในระดับสูง แม้บางคนจะทำเป็นถ่อมตัวนิดๆ แต่ก็รู้ได้ล่ะเพราะพวกเค้ามักจะพูดถึงความต้องการระดับที่ 5(Self-actualization) เป็นต้นว่าเป้าหมายในอนาคตของกิจการเค้าจะต้องเป็นเท่านั้นเท่านี้ เค้ามีภาพในอนาคตของตัวเองว่าจะต้องเป็นยังไง ต้องก้าวผ่านอะไรไปอีกบ้าง นั่นก็แสดงว่าความต้องการระดับที่ 4 ของพวกเค้ามันเติมเต็มแล้วนั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดส่วนตัวที่แม้จะไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ แต่ก็ไม่มีคนมาตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของมันนะ
คนที่เที่ยวถามหาความเคารพจากคนอื่นคือ คนที่ขาดความเคารพในชีวิตตัวเองหรือไม่ ?
ขอเริ่มด้วยทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow's hierarchy of needs) ที่เสนอไว้ว่าความต้องการคนเรามีอยู่ 5 ระดับได้แก่
1.ความต้องการพื้นฐานทางร่างกาย (Physiological needs)
2.ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs)
3.ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Social belonging)
4.ความต้องการความเคารพนับถือ (Esteem)
5.ความต้องการเติมเต็มศักยภาพของตนเอง (Self-actualization)
โดยความต้องการนี้จะไล่จากระดับต่ำสุดคือระดับ 1 ไปถึง 5 โดยจะข้ามขั้นไปไม่ได้หากระดับที่ต่ำกว่าไม่ถูกเติมเต็มยกตัวอย่างเช่น คนที่หลงป่าแล้วหิวเจียนขาดใจเจอตัวอะไรคว้าได้ก็จับกินหมดไม่ว่าจะดูน่ากลัวแค่ไหนอย่างเช่นแมงมุมโดยไม่แยแส Safety needs เลย หรือคนในพื้นที่สู้รบก็จะมีอัตราการสร้างครอบครัวที่ต่ำนอกจากจะหาทางออกไปอยู่ที่อื่นที่ปลอดภัยได้ เป็นต้น
ทีนี้มาพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้บางคนในสังคมไทยต้องแสวงหาความเคารพจากคนอื่นอยู่เสมอเป็นต้นว่า เรียกร้องให้คนอายุน้อยกว่าต้องแสดงความเคารพให้ตนเองอยู่ตลอดเวลา หรือเรียกร้องการแสดงความขอบคุณหรือการชื่นชมจากผู้ที่อาวุโสกว่าอยู่เรื่อย ในขณะที่บางคนก็พยายามให้ทุกคนปฏิบัติต่อตัวเองให้มันธรรมดาลงหน่อย หรือบางคนก็ไม่แคร์เลย ซึ่งมันต้องมีสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้มีพฤติกรรมต่างกัน และผมเคยทำการทดลองส่วนตัวในงานหลายงานโดยการทำตัวให้มันดูไร้สัมมาคารวะละกัน กับบุคคลหลากหลาย ซึ่งก็ต้องอาศัยจังหวะเหมาะๆแล้ววานให้เพื่อนไปถามฟีดแบ็คจากบุคคลเหล่านั้น จากนั้นก็นำผลที่ได้มารวบรวมซึ่งตอนนี้มีอยู่ประมาณ 30 กว่าคน ก็สามารถแบ่งผลลัพธ์ออกมาได้ 3 รูปแบบ คือ 1.มีความคิดเห็นเชิงลบรุนแรงและมีอารมณ์ร่วมด้วย 2.มีความเห็นเชิงลบแต่ไม่รุนแรง บางคนก็ให้คำแนะนำ และ 3.ไม่สนใจเลย
และจากการจัดกลุ่มโดยอาชีพพบว่ากลุ่มที่มีรูปแบบที่ 1 ประกอบอาชีพรับราชการแทบทั้งหมด มีคนนึงผมจำแม่นเลยว่าระดับ C10 เป็นผู้อำนวยการที่ไหนสักที่คือด่าได้แบบอู้หูววว มาก ส่วนในกลุ่มรูปแบบที่ 2 อันนี้ไม่มีอะไรเด่นขึ้นมามีทั้งพนักงานเอกชน เจ้าของ SME ข้าราชการระดับต่างๆ กลุ่มนี้คนเยอะสุด และในกลุ่มรูปแบบที่ 3 คือเป็นเจ้าของธุรกิจแทบทั้งหมดเลยตั้งแต่ระดับ SME จนถึงจดทะเบียนใน SET
จากข้อมูลนี้ผมก็วิเคราะห์ว่าพฤติกรรมของพวกเค้าอาจได้รับอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมการทำงานได้โดยในกลุ่มที่ 1 ได้แก่ข้าราชการซึ่งต้องปฏิบัติงานตามระบบที่วางไว้อยู่แล้ว และถ้าประสบความสำเร็จผลงานนั้นก็ตกเป็นของหน่วยงานไป ไม่มีการตั้งระบบใหม่เป็นชื่อเค้าหรือกระทรวงของเค้า แม้ว่าในตอนแรกอาจจะดีใจที่ได้ถ้วยหรือได้สลักชื่อบนป้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไปลึกๆในใจเค้ายังขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง(self-esteem)อยู่ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นของเค้าหรือโดยตัวตนของเค้าเองจริงๆเลย เค้าจึงต้องแสวงหามันจากคนอื่นโดยระหว่างที่แสดงออกก็จะยกข้ออ้างมากมายขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ตัวเองขาดและกำลังโหยหามัน
สำหรับคนในกลุ่มที่ 2 นั้นมีความหลากหลายมากจนไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าอะไรเป็นอะไรจนกว่าจะมีข้อมูลที่มากกว่านี้
และคนในกลุ่มที่ 3 นี้เกือบทั้งหมดมีธุรกิจเป็นของตนเองซึ่งชัดเจนว่าแทบทุกคนมีภาคภูมิใจในตัวเอง(self-esteem)ในระดับสูง แม้บางคนจะทำเป็นถ่อมตัวนิดๆ แต่ก็รู้ได้ล่ะเพราะพวกเค้ามักจะพูดถึงความต้องการระดับที่ 5(Self-actualization) เป็นต้นว่าเป้าหมายในอนาคตของกิจการเค้าจะต้องเป็นเท่านั้นเท่านี้ เค้ามีภาพในอนาคตของตัวเองว่าจะต้องเป็นยังไง ต้องก้าวผ่านอะไรไปอีกบ้าง นั่นก็แสดงว่าความต้องการระดับที่ 4 ของพวกเค้ามันเติมเต็มแล้วนั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดส่วนตัวที่แม้จะไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ แต่ก็ไม่มีคนมาตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของมันนะ