ในปัจจุบันการออกกำลังกายด้วยการวิ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะการวิ่งมาราธอน ซึ่งมีทั้งมาราธอนเต็มระยะ มินิมาราธอน ฮาล์ฟมาราธอน สังเกตได้จากการจัดกิจกรรมการมากมายที่ขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้
ทำไมการวิ่งจึงเป็นที่นิยม การวิ่งเป็นกีฬาที่สามารถเริ่มต้นได้ในทุกเพศทุกวัย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย และยังสามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ โดยในขณะที่เราวิ่งจะมีการลงน้ำหนักไปที่ข้อเข่าและข้อเท้า ดังนั้นข้อเข่าและข้อเท้าจึงได้รับแรงกระแทก ในนักวิ่งที่วิ่งมาเป็นระยะเวลาหลายปีหรือระยะทางไกลโดยไม่ได้มีการออกกำลังอย่างถูกวิธี จะพบว่ามีอาการปวดที่ข้อเข่าเกิดขึ้น และโรคที่พบส่วนใหญ่ในนักกีฬาประเภทนี้คือ โรค Chondromalacia จะพบมากในวัยกลางคนช่วงอายุ 25-40 ปี เพศหญิงมากกว่าเพศชาย
สาเหตุของการเกิดโรค
1. เกิดจากการใช้งานมากๆ เดินมาก หรือใช้งานเข่าในลักษณะที่ต้องรับแรงกระแทกมากๆ เช่น นั่งงอเข่า กระโดด วิ่ง
2. เกิดจากกล้ามเนื้อรอบๆเข่าไม่แข็งแรง ไม่กระชับ
3. เกิดจากอุบัติทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผิวสะบ้า
อาการของโรค
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเข่าโดยเฉพาะด้านหน้าเข่า มีเสียงดังในเข่า อาการจะเจ็บมากเวลาขึ้นลงบันได ลุกเปลี่ยนท่า หรือนั่งคุกเข่า พับเพียบ ขัดสมาธิ ลักษณะเข่าที่ต้องงอมากๆ เนื่องจากจะมีแรงกระทบไปที่กระดูกสะบ้ามากขึ้น การเดินทางราบอาการเจ็บไม่มากนัก และโดยภาพรวมแล้วอาการปวดมักไม่รุนแรง จะปวดลักษณะรำคาญ เรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ตามกิจกรรมที่ทำ แต่หากมีอาการกำเริบก็จะปวดมากขึ้นเป็นบางครั้งได้ อาจจะมีอาการบวม ร้อนที่เข่าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
การรักษาทางกายภาพบำบัด
ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะที่ยังมีอาการปวดมากๆ นักกายภาพบำบัดจะทำการลดอาการปวดด้วยการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น Ultrasound short wave เป็นต้น และแนะนำให้ใส่อุปกรณ์พยุงข้อเข่าเพื่อลดอาการปวดในเบื้องต้น ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่จะทำให้เกิดแรงกดในสะบ้าสูงขึ้น เช่น การนั่งคุกเข่า การนั่งพับเพียบ นั่งยองๆ หรือว่านั่งขัดสมาธิ หลังจากที่อาการปวดลดลงควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่าเพื่อให้เข่ากระชับ ลดการเสียดสี และแรงกดที่เข่า เช่นการปั่นจักรยาน หากอาการไม่ดีขึ้นนักกายภาพบำบัดอาจส่งปรึกษาแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด
การป้องกันการเกิดโรค
การป้องกันสามารถทำได้ตั้งแต่ที่ยังไม่มีอาการ โดยการฝึกกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรง และเพิ่มความความยืดหยุ่นและปรับการเคลื่อนไหวรวมถึงปรับท่าทางในการวิ่ง ให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง ในผู้ที่มีน้ำหนักมากควรลดน้ำหนักให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับร่างกาย ก่อนเริ่มวิ่งควรมีการ warm up การ cool down และการยืดกล้ามเนื้อ ก่อนและหลังการออกกำลังกาย
บทความโดย ทีมกายภาพบำบัดฟิสิคอลคลินิก
วิ่งมากๆนานๆ แล้วมีอาการปวดเข่า อาจจะเกิดจากสาเหตุหรือไม่ ???
ทำไมการวิ่งจึงเป็นที่นิยม การวิ่งเป็นกีฬาที่สามารถเริ่มต้นได้ในทุกเพศทุกวัย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย และยังสามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ โดยในขณะที่เราวิ่งจะมีการลงน้ำหนักไปที่ข้อเข่าและข้อเท้า ดังนั้นข้อเข่าและข้อเท้าจึงได้รับแรงกระแทก ในนักวิ่งที่วิ่งมาเป็นระยะเวลาหลายปีหรือระยะทางไกลโดยไม่ได้มีการออกกำลังอย่างถูกวิธี จะพบว่ามีอาการปวดที่ข้อเข่าเกิดขึ้น และโรคที่พบส่วนใหญ่ในนักกีฬาประเภทนี้คือ โรค Chondromalacia จะพบมากในวัยกลางคนช่วงอายุ 25-40 ปี เพศหญิงมากกว่าเพศชาย
สาเหตุของการเกิดโรค
1. เกิดจากการใช้งานมากๆ เดินมาก หรือใช้งานเข่าในลักษณะที่ต้องรับแรงกระแทกมากๆ เช่น นั่งงอเข่า กระโดด วิ่ง
2. เกิดจากกล้ามเนื้อรอบๆเข่าไม่แข็งแรง ไม่กระชับ
3. เกิดจากอุบัติทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผิวสะบ้า
อาการของโรค
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเข่าโดยเฉพาะด้านหน้าเข่า มีเสียงดังในเข่า อาการจะเจ็บมากเวลาขึ้นลงบันได ลุกเปลี่ยนท่า หรือนั่งคุกเข่า พับเพียบ ขัดสมาธิ ลักษณะเข่าที่ต้องงอมากๆ เนื่องจากจะมีแรงกระทบไปที่กระดูกสะบ้ามากขึ้น การเดินทางราบอาการเจ็บไม่มากนัก และโดยภาพรวมแล้วอาการปวดมักไม่รุนแรง จะปวดลักษณะรำคาญ เรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ตามกิจกรรมที่ทำ แต่หากมีอาการกำเริบก็จะปวดมากขึ้นเป็นบางครั้งได้ อาจจะมีอาการบวม ร้อนที่เข่าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
การรักษาทางกายภาพบำบัด
ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะที่ยังมีอาการปวดมากๆ นักกายภาพบำบัดจะทำการลดอาการปวดด้วยการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น Ultrasound short wave เป็นต้น และแนะนำให้ใส่อุปกรณ์พยุงข้อเข่าเพื่อลดอาการปวดในเบื้องต้น ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่จะทำให้เกิดแรงกดในสะบ้าสูงขึ้น เช่น การนั่งคุกเข่า การนั่งพับเพียบ นั่งยองๆ หรือว่านั่งขัดสมาธิ หลังจากที่อาการปวดลดลงควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่าเพื่อให้เข่ากระชับ ลดการเสียดสี และแรงกดที่เข่า เช่นการปั่นจักรยาน หากอาการไม่ดีขึ้นนักกายภาพบำบัดอาจส่งปรึกษาแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด
การป้องกันการเกิดโรค
การป้องกันสามารถทำได้ตั้งแต่ที่ยังไม่มีอาการ โดยการฝึกกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรง และเพิ่มความความยืดหยุ่นและปรับการเคลื่อนไหวรวมถึงปรับท่าทางในการวิ่ง ให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง ในผู้ที่มีน้ำหนักมากควรลดน้ำหนักให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับร่างกาย ก่อนเริ่มวิ่งควรมีการ warm up การ cool down และการยืดกล้ามเนื้อ ก่อนและหลังการออกกำลังกาย
บทความโดย ทีมกายภาพบำบัดฟิสิคอลคลินิก