ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 1/7/2017 - อินคา+นครลับแล มาชูปิกชู

กระทู้คำถาม

ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์ MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการครับอมยิ้ม36

วันนี้ นำเรื่องราวของ ชาวอินคา และนครลับแล มาชูปิกชู มาฝากครับ

ชนเผ่าอินคา เป็นชนเผ่าที่มีอารยธรรมสูงส่ง และเป็นแบบอย่างแก่ชนเผ่าอื่นในแถบอเมริกาใต้ตลอดมานานนับพันๆปี ยุคสมัยที่ชนเผ่าอินคาปกครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ผลงานด้านสถาปัตยกรรม และประติมากรรม ตลอดจนสิ่งก่อสร้างต่างๆที่กลายเป็นแบบอย่างแก่ชนเผ่าอื่นนั้น ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะบางแห่งสร้างบนเทือกเขาสูงกลางหุบเหวลึก และป่าดงดิบที่ห่างไกลจากแหล่งอารยธรรม จนเป็นที่อัศจรรย์ใจและสงสัยกันมากว่า ชาวอินคาในสมัยนั้นทำได้อย่างไร ? นำเทคโนโลยีอันสูงส่งมาจากไหน ? ทั้งๆที่อาณาจักรอินคาส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่สูงและมีอากาศร้อนจัด แต่สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆ มากมาย และที่เป็นปริศนาลึกลับมาจนถึงบัดนี้ก็คือ พวกเขาได้รับมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมมาจากชนเผ่าใด ? และเพราะเหตุใด ผลงานทางสถาปัตยกรรมและประติมากรรมของพวกเขาหลายแห่ง จึงคล้ายคลึงกับอารยธรรมของชนเผ่าไอยคุปต์หรืออียิปต์ ทั้งๆที่อยู่ห่างไกลคนละทวีป ??? ถ้าพวกเขาทั้งสองชนเผ่า มี "ครู" เดียวกัน "ครู" ของพวกเขาจะต้องเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองทวีปเพื่อถ่ายทอดวิชาความรู้ที่เหมือนกัน !!!


ตัวอย่างภาพเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันของสองชนเผ่าต่างทวีป (เรื่องนี้จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ MC จะเขียนต่อไป)

ชนเผ่าอินคา อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ในเขตเนื้อที่ส่วนใหญ่ของประเทศเปรูปัจจุบัน มีนคร คูซโค เป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งอารยธรรมที่เจริญที่สุด นับเป็นเรื่องแปลกมากที่อาณาจักรอินคาตั้งอยู่ในเขตที่มีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมการดำรงชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งในโลกเรามีดินแดนที่เหมาะสมเช่นนี้เพียงสองสามแห่งเท่านั้น ปลายศตวรรษที่ 5 อาณาจักรอินคา ได้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,950,000 ตารางกิโลเมตร อารยธรรมสูงส่งของชาวอินคาที่เป็นแบบอย่างแก่ชนเผ่าแถบอเมริกาใต้มานานนับพันๆปีที่โดดเด่นมากคือ รูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมที่ทำให้ประชากรนับตั้งแต่ระดับสูงสสุดขั้นจักรพรรดิลงมาจนถึงชาวไร่ชาวนา ได้ทำงานตามบทบาทตำแหน่งหน้าที่ หรือสถานภาพอย่างมีประสิทธิภาพและมีอิสระเสรี และความเจริญรุ่งเรืองของชาวอินคานั้นมีทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม วิศวกรรมโยธา และระบบชลประทานอีกด้วย ที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือ มีช่างฝีมือเป็นจำนวนมากที่มีบทบาทต่ออารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องกันไปไม่หยุดยั้ง เช่นช่างทอผ้า ช่างปั้นหม้อ ช่างโลหะ ช่างเหล็ก วิศวกร ประติมากร สถาปนิก ซึ่งได้ร่วมกันผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆด้วยทองคำและเงิน รวมทั้งได้ก่อสร้างออกแบบตกแต่งพระราชวัง วิหาร และปราสาทต่าง ๆ อย่างวิจิตรตระการตา

อาณาจักรอินคา ครอบคลุมดินแดนอย่างกว้างขวาง ทั้งประเทศเปรู โบลิเวีย โคลัมเบีย ชิลี เอกวาดอร์ และบางส่วนของอาร์เจนตินา หลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีบอกชัดว่า อาณาจักรนั้นเจริญรุ่งเรือง แม้ไม่มีภาษาเขียน แต่ทรงอำนาจและมั่งคั่ง รวมกันเป็นปึกแผ่นเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 20 โดย อินคาปาซากูติ นักรบผู้กล้า นำลูกเผ่าอินคารบชนะอินเดียนแดงหลายเผ่า และแผ่ขยายอาณาเขตปกครองออกไปอย่างกว้างขวาง ปาซากูติ ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์อินคา ใน ค.ศ.1438 มีนคร คุซโก เป็นจุดศูนย์กลางดังความหมายของชื่อเมือง

อาณาจักรอินคารุ่งเรืองอยู่ระหว่าง ค.ศ.1438-1533 ชาวอินคาเรียกอาณาจักรของตนว่า ตาฮวนติชูโย (Tahuantisuyo) ซึ่งแปลว่า อาณาจักร 4 ภาค หรือ จตุราณาจักร เพราะประกอบด้วยอาณาจักรเล็กๆ 4 ส่วน ที่ต่างก็มีผู้สำเร็จราชการประจำเพื่อทำหน้าที่ดูแลหัวหน้าลำดับรองๆ ลงไป

ในปีค.ศ. 1911 ไฮแรม บิงแฮม (Hiram Bingham) นักประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยเยล (Yale) วัย 36 ปี ได้เดินทางไปสำรวจเทือกเขาแอนดีส (Andes) ในเปรู เพื่อค้นหานคร วิลคัมบัมบา (Vilcambamba) แห่งอาณาจักรอินคา ที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า เป็นเมืองสุดท้ายของชาวอินคา ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ ติตู คูซี (Titu Cusi) ก่อนที่จะสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย


นคร วิลคัมบัมบา (Vilcambamba)

Bimgham ได้แรงจูงใจในการค้นหาเมืองนี้จากการอ่านประวัติศาสตร์ที่บาทหลวง อันโตนิโอ เดอ คาลันช่า (Antonio de Calancha) เขียนไว้ว่า เมื่อ  "ปีซาร์โร่" (Pizarro) จับกษัตริย์ อะตาฮัวลปา (Atahualpa) แห่งอาณาจักรอินคา และสำเร็จโทษพระองค์ ปิซาร์โร่ได้แต่งตั้งราชบุตรชื่อ มังโค่ (Manco) ให้ขึ้นครองราชย์แทน และคิดไปเองว่า มังโค่ คงจะเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดที่เชื่อฟังตน และจะสั่งให้ชาวอินคายินยอมในทุกเรื่องโดยไม่ขัดขวางหรือต่อต้านใดๆ แต่มกุฏราชกุมารที่กลายเป็นพระเจ้ามังโค่แล้ว ทรงปราดเปรื่อง เมื่อถูกนายทัพสเปนกดดันมากขึ้นๆ พระองค์จึงเสด็จหลบหนีออกจากเมืองคูซโก้ (Cuzco) ไปรวบรวมชาวอินคาสองแสนคนให้เดินทัพกลับมายึดพระนครคูซโก้คืน แต่กองทัพอินคาสู้รบกับทหารสเปนไม่ได้ จึงต้องถอยกลับไปตั้งทัพอยู่ในหุบเขา และออกโจมตีเป็นครั้งคราว แต่ในที่สุดก็ต้องถอยทัพหนีขึ้นเหนือไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองวิลคัมบัมบา ซึ่งมีภูเขาและแม่น้ำเป็นกำแพงเมืองล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน เพราะเส้นทางที่จะเข้าโจมตีเมืองยากลำบากมาก ดังนั้น พระเจ้ามังโค่ จึงทรงดำริว่า คงไม่มีทหารผิวขาวคนใดติดตามได้อีก แต่ทหารสเปนคนหนึ่งที่ได้หลบซ่อนอยู่กับชาวอินคา ได้ลอบสังหารพระองค์ เมื่อไร้กษัตริย์ นักรบอินคาก็เสียขวัญและกำลังใจ ทำให้กองทัพสเปนเข้ายึดเมืองนี้ได้ และเมืองนี้ก็ได้หายสาบสูญไปจากแผนที่โลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อดีตพระนคร คูซโก้ (Cuzco)

ปริศนาที่ค้างคาใจบิงแฮมมากคือ เมืองทั้งเมือง จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร ? เขาคิดว่า อย่างน้อย จะต้องมีซากที่เป็นร่องรอยของอาคารหรือศาสนสถานบ้าง ดังนั้น ในปี 1906 เขาจึงเดินทางไปทวีปอเมริกาใต้เพื่อค้นหาเมืองนี้ และก็ได้ถามผู้คนตลอดทางว่า ได้เห็นซากอาคารปรักหักพังในป่าหรือบนภูเขาใดบ้าง คำตอบที่ได้รับมีทั้งที่จริงและไม่จริง ในที่สุดเขาก็ต้องเดินทางกลับ เพราะไม่พบ วิลคัมบัมบา เมืองในฝัน

5 ปีต่อมา บิงแฮมได้เดินทางไปค้นหาเมืองลับแลนี้อีก ตามโครงการสำรวจค้นหาอารยธรรมอินคาที่ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเยล และ National Geographic Society ของอเมริกา และเดินทางถึงเมืองคูซโก้ที่ถูกสเปนยึดครองได้ในปี 1533 จากที่นั่น เขาได้เดินทางต่อถึงเมือง อากูอาส คาลิเอนเตส (Aguas Calientes) เพื่อข้ามแม่น้ำ อุรุบัมบา (Urubamba) ที่คดเคี้ยวไปตามทิวเขาที่ซับซ้อน และได้พบว่าบริเวณสองข้างทางมีทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นทิวเขาที่สูงเทียมเมฆ ส่วนหุบผาหินแกรนิตทั้งสองข้างทาง บางตอนสูงถึง 300 เมตร บรรยากาศในบริเวณลุ่มแม่น้ำนั้นฉ่ำชื้นเพราะมีหมอกหนา บิงแฮมได้สอบถามชาวบ้านในบริเวณนั้นว่าเคยเห็นซากอาคารปรักหักพัง ณ ที่ใดบ้าง พวกเขาตอบว่า ใกล้ยอดเขาชื่อ ฮวยน่า ปิกชู (Huayna Picchu) ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองคูซโก้ประมาณ 96 กิโลเมตร มีซากอาคารโบราณที่ถูกเถาวัลย์ป่าปกคลุมเต็ม บิงแฮมรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเคยประสบความผิดหวังมามากต่อมากแล้ว แต่ก็ตัดสินใจเดินทางไปดู จึงจ้างพ่อลูก 2 คนชื่อ เมลชิออร์ อาร์เตก้า (Melchior Artega) และ พาบลิโต้ อัลวาเรซ (Pablito Alvarez) เป็นคนนำทางโดยสัญญาจะให้ค่าจ้างตามคุณค่าของวัตถุโบราณที่พบ บิงแฮมเองมีนายทหารคนหนึ่งเป็นเพื่อนติดตามไปด้วย เพราะนักเดินทางคนอื่นๆ ในคณะไม่เชื่อคำบอกเล่าของชาวบ้าน สองนักสำรวจเดินตามคนนำทางไปนานประมาณ 45 นาที ข้ามแม่น้ำอุรุบัมบาโดยการคลานไปบนสะพานที่โยกเยก จากนั้นก็พยายามเดินขึ้นเขาด้วยความยากลำบาก เพราะเส้นทางแคบและชัน อีกทั้งมีเถาวัลย์รกระเกะระกะ เมื่อเวลาหลังเที่ยงวันเล็กน้อย หลังจากที่ได้เดินมา 12 กิโลเมตร นักสำรวจทั้งสองพร้อมคนนำทาง ก็มาถึงกระท่อมร้างหลังหนึ่ง หลังจากที่ได้ดื่มน้ำเย็นและกินมันฝรั่งที่เผาสุกแล้ว คนนำทางผู้พ่อก็บอกว่า ตัวซากปรักหักพังนั้นอยู่อีกไม่ไกล บิงแฮมไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย เขาคิดว่าคนนำทางคงหมายถึงซากอาคาร 2-3 หลัง จึงหลบนั่งในที่ร่ม แล้วคนนำทางก็ให้พาบลิโต้ อัลวาเรซ วัย 11 ปี นำทางต่อ ให้บิงแฮมกับเพื่อนเดินตาม ยิ่งขึ้นสูงทางเดินยิ่งลำบาก บิงแฮมอดสงสัยตลอดเวลาไม่ได้ว่า ใครจะอุตริมาสร้างอาคารในที่สูงเช่นนี้ แต่เมื่อปีนป่ายขึ้นถึงยอดเขา และมองลงไปบนที่ราบเบื้องล่างเล็กน้อยเขาก็แทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นอาคารประมาณ 140 หลัง เรียงรายและเห็นป้อมปราการหินมากมาย เห็นขั้นบันไดเป็นชั้นๆ และเห็นเถาวัลย์ป่าปกคลุมอาคารอย่างไม่เป็นระเบียบ เพราะเมืองที่เห็นเป็นเมืองร้าง และสภาพกำแพงแสดงให้เห็นว่ามีอายุหลายศตวรรษ เพราะทรุดโทรมมาก จึงเป็นที่อยู่ของงูพิษ

วันที่บิงแฮมได้มองเห็นเมืองลับแลบนยอดเขาเป็นครั้งแรก คือวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ.1911 หลังจากที่ได้สำรวจสิ่งก่อสร้างอย่างหยาบๆ และถ่ายภาพ เขาก็ได้พบว่า ช่างก่อสร้างอาคารได้ยกหินก้อนใหญ่ที่หนัก 10-15 ตัน มาเรียงต่อกันอย่างมั่นคง แข็งแรง และเรียบเนียน เพราะบริเวณรอยต่อระหว่างก้อนหินเรียบประสานสนิท อย่างที่ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ลักษณะโครงสร้างของอาคารคล้ายกับ "วิหารสุริยเทพ" (Temple of the Sun) ที่เมืองคูซโก้มาก ดังนั้นเขาจึงคิดว่า สถานที่นี้คือ "วิหารสุริยเทพ" ด้วยเหมือนกัน แต่กำแพงวิหารที่คูซโก้นั้น มิได้สวยเนียนเท่ากำแพงวิหารนี้ และจากที่สูง บิงแฮมได้เห็นหมู่อาคารถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ บางอาคารทำด้วยหินแกรนิตขาว บางอาคารมีกำแพง 3 ด้าน และด้านที่ 4 เปิดให้แสงอาทิตย์ส่องผ่าน กำแพงของอาคารหนึ่งมีหน้าต่าง 3 บาน ซึ่งจะปล่อยให้แสงอาทิตย์ผ่านในวันที่ 21 มิถุนายน และ 21 ธันวาคมของทุกปี เหมือนดังที่กษัตริย์มังโค่ได้เคยบัญชาให้สร้างวังที่มีหน้าต่าง 3 บาน หลังจากที่ได้สำรวจจนเต็มที่แล้ว บิงแฮมได้ขนโบราณวัตถุหลายชิ้นกลับไปเก็บที่พิพิธภัณฑ์แห่งมหาวิทยาลัยเยล

(ยังมีต่อ)
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในปี 1532 ทหารสเปน 200 คน ภายใต้การนำของนายพล ฟรานซิสโก้ ปิซาร์โร่ และนักบวช 3 คน ได้เดินทางด้วยเรือถึงตอนเหนือของเปรูในปัจจุบัน อีกสองปีต่อมา กองทัพล่าอาณานิคมนี้ได้ทำลายอาณาจักรและอารยธรรมอินคา ที่เจริญรุ่งเรืองมานานร่วมพันปีในทวีปอเมริกาใต้จนหมดสิ้น

ในอดีตก่อนที่กองทัพสเปนจะบุกยึด อาณาจักรอินคามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าอาณาจักรโรมันเสียอีก !!! เพราะมีพื้นที่ครอบคลุมเปรู โบลิเวีย โคลัมเบีย ชิลี เอกวาดอร์ และบางส่วนของอาร์เจนตินา ดังนั้นภูมิประเทศของอาณาจักรจึงมีความหลากหลายมาก เช่น มีเทือกเขาแอนดิสที่สูงจรดเมฆ มีทะเลทรายที่แห้งแล้ง และบางส่วนเป็นป่าทึบ แม้จะไม่รู้จักใช้ล้อในการคมนาคมและขนส่ง แต่ชาวอินคามีตัวลาม่า (llama) ที่มีรูปร่างคล้ายอูฐแต่ไม่มีโหนกกลางหลัง เป็นสัตว์บรรทุกสัมภาระข้ามภูเขา และแม้อาณาจักรจะมีทองคำมากมหาศาล แต่ก็ไม่มีภาษาเขียนที่แสดงความเป็นอารยะของอาณาจักรเลย

ตัว ลาม่า (llama)


ถึงกระนั้น อินคาก็รู้จักทำเกษตรกรรม และมีวัฒนธรรมทั้งการเมืองและการศาสนาจนเริ่มเป็นปึกแผ่นราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยมีคูซโก้เป็นทั้งเมืองหลวงและศูนย์กลางการปกครอง ชาวอินคาเรียกอาณาจักรของตนว่า ทาวันตินซูยู (Tawantinsuyu) ซึ่งแปลว่า จตุราณาจักร เพราะประกอบด้วยอาณาจักรเล็กๆ 4 อาณาจักร ที่ต่างก็มีผู้สำเร็จราชการประจำเพื่อทำหน้าที่ดูแลหัวหน้าลำดับ รองๆ ลงไป

ชาวอินคามีเทคโนโลยีก่อสร้างที่สูงมาก ดังจะเห็นได้จากหินที่ใช้ทำกำแพงเมือง ทุกก้อนได้รับการสกัดจนเรียบ จึงวางซ้อนกันได้สนิท ส่วนกำแพงตึกที่มีความสำคัญ ก็มักทาเป็นสีทองหรือสีเงิน

สังคมอินคามีการแบ่งชั้นวรรณะ คนที่มีวรรณะต่ำจะทำเกษตรกรรม และต้องนำผลิตผลที่ได้ไปถวายกษัตริย์ เพราะประชาชนไร้การศึกษา ดังนั้นการทำบัญชีถวายราชบรรณาการจึงเป็นภาระหนัก เพราะไม่มีภาษาเขียน ดังนั้นจึงใช้วิธีบันทึกโดยการผูกเชือกเป็นปมๆ เรียกว่า "กิปู" (quipu) และให้ปมเชือกอยู่ไกลหรือใกล้กันตามปริมาณการนับ คนที่จะอ่านและเข้าใจความหมายของกิปูได้ ต้องได้รับการฝึกฝนจากนักบวชอินคาเท่านั้น ระบบการนับที่แตกต่างจากระบบตัวเลขของชาวยุโรปนี้ ทำให้ทหารสเปนเมื่อเห็นเชือกกิปู จึงไม่รู้ความหมายและความสำคัญของกิปูเลย และกว่าจะรู้ กิปูจำนวนมากมายก็ถูกเผาทำลายไปเรียบร้อย ส่วนเชือกกิปูที่เหลืออยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้นักวิชาการตอบได้ว่า ชาวอินคาสร้างระบบปมขึ้นใช้ในการนับเลขอย่างไร ???

"กิปู" (quipu) สิ่งที่ใช้แทนภาษาเขียนของชาวอินคา

ระบบการคมนาคมของชาวอินคา มีถนนหนทางที่เชื่อมโยงระหว่างนครคูซโก้ กับบรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยทั่วราชอาณาจักร รวมเป็นระยะทางยาวกว่า 25,000 กิโลเมตร สภาพของถนนขึ้นกับสภาพของภูมิประเทศที่ถนนตัดผ่าน ถนนบางสายถูกตัดเป็นขั้นบันได บางสายมีสะพาน ถนนสายสำคัญมักมีที่พักข้างทางสำหรับคนที่สัญจรได้แวะพักผ่อน นอกจากนี้ชาวอินคาก็มักใช้ "ชาสกี้" (chaski แปลว่า นักวิ่งรับจ้าง) เป็นบุรุษไปรษณีย์ทำหน้าที่ส่งข่าวและสิ่งของถึงกัน

"ชาสกี้" (chaski) นักวิ่งรับจ้างส่งข่าวและสิ่งของ

อารยธรรมที่สูงยิ่งของชาวอินคา ได้ทำให้อาณาจักรเจริญรุ่งเรือง จนกษัตริย์อินคาสามารถปกครองชนเผ่าอื่นที่ล้าหลังกว่าได้หมด แล้วได้ออกกฎหมายบังคับไม่ให้คนใต้ปกครองสวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับเหมือนกษัตริย์อินคาหรือพระราชวงศ์ขั้นสูง และห้ามการติดต่อระหว่างคนต่างวรรณะ ความเจริญทางเศรษฐกิจทำให้กองทัพอินคามีกำลังทางทหารเข้มแข็ง และเมื่อใดที่กองทัพอินคาชนะกองทัพของชนกลุ่มด้อยกว่า ก็จะยึดทรัพย์สมบัติของผู้ปราชัย จากนั้นแม่ทัพอินคาจะตั้งคนที่เชื่อฟังกษัตริย์อินคาทุกเรื่องเป็นหัวหน้าใหม่ และเวลาบุกโจมตีชนเผ่าอื่น กษัตริย์อินคามักเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองให้ยอมจำนนก่อน หากเจ้าเมืองยินยอมก็จะได้ศักดินาและทรัพย์สมบัติเป็นรางวัล และจะได้รับแต่งตั้งให้ปกครองเมืองนั้นๆ ต่อไป โดยรับนโยบายทุกเรื่องจากกษัตริย์อินคา ส่วนเจ้าเมืองที่กระด้างกระเดื่องก็จะถูกฆ่า และเพื่อป้องกันบรรดาเจ้าเมืองเหล่านี้ไม่ให้คิดกบฏ กษัตริย์อินคาได้ออกกฎหมายให้บุตรของเจ้าเมืองขึ้นทุกคนไปรับการศึกษาที่เมืองคูซโก้ ซึ่งมีข้อดีสองประการ คือ ประการแรก เด็กที่ได้รับการฝึกสอนโดยอาจารย์อินคา จะซึมซับและเลื่อมใสในวัฒนธรรมอินคา แล้วจะนำลัทธิและความคิดอินคาไปปกครองบ้านเกิดเมืองนอนของตนต่อไป ประการที่สอง คือ ทายาทของเจ้าเมืองขึ้นเหล่านี้ จริงๆ ก็คือตัวประกันมิให้บิดาตั้งตัวเป็นกบฏ สำหรับการหารายได้นั้น เจ้าเมืองอินคาจัดเก็บภาษีวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปจากผู้ประกอบธุรกิจ ชายอินคาที่แข็งแรงทุกคนต้องเสียสละเวลาทำงานเกษตรกรรมหรือปศุสัตว์เพื่อรัฐ โดยคนเหล่านี้จะได้รับอาหารและเบียร์ข้าวโพดที่ชาวอินคาเรียกว่า "ชิกก้า" (chicka) เป็นค่าตอบแทน ส่วนสตรีสวยที่ชาวอินคาเรียกว่า "มามาคูน่า" (mamakuna) จะถูกนำตัวมากักขังในวัง ให้ทอผ้า ต้มเบียร์ และรับใช้ ในพิธีศาสนา และให้นักบวชอินคามีสิทธิควบคุมเสรีภาพในการสมรสและการตั้งครรภ์ของสตรีกลุ่มนี้กับกษัตริย์อินคาและพระราชวงศ์จนตลอดชีวิตของนาง

"มามาคูน่า" (mamakuna) หญิงสาวสวยที่ต้องอยู่ในวังและถูกควบคุมโดยนักบวชอินคา

ชาวอินคามีความเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ เป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ของตน นอกจากดวงอาทิตย์แล้ว ก็ยังนับถือดวงจันทร์ ดาว และโลกด้วย แม้แต่ ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ชาวอินคาก็เชื่อว่ามีเทพเจ้าประทับอยู่เป็นประจำ ซึ่งชาวอินคาต้องแสดงความนับถือโดยการนำสิ่งของ เช่น ตุ๊กตาปั้น เบียร์ ใบโกโก้ หรือชีวิต ไปถวาย ดังนั้นชาวอินคาจึงมีประเพณีฆ่าตัวลาม่าหรือคนเพื่อถวายเป็นเทพบูชา แม้โดยทั่วไปการฆ่าคนจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา แต่สำหรับชาวอินคา การฆ่าบูชายัญ คือเหตุการณ์สำคัญที่ต้องมีพิธีเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ ซึ่งผู้ถูกบูชายัญจะถูกนำตัวขึ้นสู่ยอดเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากถูกมอมยาจนสิ้นสติแล้วก็จะถูกสังหารด้วยการใช้ก้อนหินทุบกะโหลกศีรษะ จนแหลก จากนั้นศพก็ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าแพร แล้วนำไปวางทิ้งบนยอดเขาให้อยู่ในความดูแลขององค์เทพแห่งภูเขาชั่วนิจนิรันดร์

พิธีการฆ่าบูชายัญของชาวอินคา

ปริศนาที่นักโบราณคดีค้างคาใจอีกหนึ่งปัญหา คือ เหตุใดกองทัพสเปนซึ่งมีทหารไม่ถึง 200 คน จึงสามารถพิชิตอาณาจักรอินคาที่ทรงอำนาจได้อย่างง่ายดาย ??? คำตอบคือ อาณาจักรนี้ล่มสลาย เพราะคนเผ่าอินคา ไม่มีเทคโนโลยีที่สูงพอจะสู้รบกับกองทัพ สเปน และชาวเมืองถูกโรคทรพิษระบาดคุกคาม นอกจากนี้อาณาจักรอินคา ก็มิได้มีระบบสืบสันตติวงศ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะเวลากองทัพสเปนยกพลประชิดเมืองคูซโก้กษัตริย์ ฮวยน่า คาแพค (Huayna Capac) แห่งอาณาจักรอินคา เพิ่งสิ้นพระชนม์ และองค์มกุฏราชกุมารก็ได้สิ้นพระชนม์ตาม ด้วยโรคไข้ทรพิษที่ทหารสเปนนำมาแพร่ ดังนั้น เมื่อปิซาร์โร่จับราชบุตร อะตาฮวลปา (Atahualpa) เป็นตัวประกัน และฆ่าพระองค์โดยใช้เชือกรัดพระศอ ราชบัลลังก์อินคาจึงไร้ผู้สืบทอดบัลลังก์ทันที

สาเหตุการพ่ายแพ้อีกอย่างหนึ่งคือ ชาวอินคา มีเทคโนโลยีในเรื่องอาวุธชั้นต่ำ เช่น หอกและธนูในการต่อสู้ ทำให้ทหารอินคา 6,000 คนไม่สามารถต่อสู้กับปืนของทหารสเปนได้ ดังนั้นชาวอินคานับพันจึงถูกทหารสเปนสังหารอย่างเลือดเย็น และเมื่อกองทัพสเปนบุกยึดนครคูซโก้ได้แล้ว นายพลปิซาร์โร่ ก็ได้ผูกสัมพันธไมตรีกับบรรดาหัวหน้าเมืองขึ้นต่างๆ ในอาณาจักร โดยแสดงให้เจ้าเมืองเหล่านั้นเห็นว่าตนคือผู้ปลดแอกและให้เสรีภาพ เหตุผลเหล่านี้มีส่วนทำให้สเปนเข้าครอบครองอาณาจักรอินคาได้อย่างง่ายดายนาน ถึง 300 ปี การปกครองที่ทารุณของสเปน ได้ทำให้ชาวอินคา พลัดพรากและล้มตายไปมากมาย จนในที่สุดก็สิ้นเผ่าพันธุ์

ความสนใจในอารยธรรมอินคาเกิดขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม 1911 เมื่อ ฮิราม บิงแฮม แห่งโครงการสำรวจประเทศเปรูของมหาวิทยาลัยเยล ได้พบเมืองร้าง "มาชู ปิคชู" (Machu Picchu แปลว่า ยอดเขาที่เก่าแก่) ที่ซ่อนอยู่บนยอดเขาที่ระดับสูง 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นครลับแลนี้ตั้งอยู่ระหว่างภูเขา มาชู ปิคชู กับ ฮวยน่า ปิคชู และเป็นศาสนสถานสำคัญที่อยู่เหนือหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ประมาณ 610 เมตร ความจริงการพบนครมาชู ปิคชู ของบิงแฮม เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เพราะเดิม บิงแฮมตั้งใจจะค้นหาเมืองวิลคัมบัมบา ซึ่งเป็นเมืองที่ชาวสเปนได้บันทึกว่าเป็นที่ที่กษัตริย์แห่งอาณาจักรอินคาได้ประทับหลบซ่อนอยู่หลังจากที่กองทัพของพระองค์พ่ายแพ้กองทัพสเปน การได้เห็นมาชูปิคชูแทนวิลคัมบัมบา จึงทำให้บิงแฮมตกตะลึง เพราะแม้แต่กองทัพสเปนซึ่งได้ครอบครองอาณาจักรอินคามานานร่วม 300 ปี ก็ไม่เคยรู้ว่าชาวอินคาได้สร้างเมืองสวยงามเมืองหนึ่งบนยอดเขาสูงนี้ บิงแฮมเชื่อว่า มาชูปิคชู คือนครวิลคัมบัมบาที่ทหารสเปนได้ทำลายจนราบเรียบในปี 1572 แต่ ณ วันนี้ นักประวัติศาสตร์อินคาได้แสดงหลักฐานให้โลกประจักษ์แล้วว่า เมืองวิลคัมบัมบาจริงๆ อยู่ที่ "เอสปิริตู ปัมป้า" (Espiritu Pampa)

เมื่อได้พบมาชูปิคชูแล้ว บิงแฮมก็ได้เดินทางไปประเทศเปรูอีกสองครั้งในปี 1912 และ 1914 พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาจึงเข้ารับราชการทหาร และเมื่อสงครามสงบก็ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการรัฐคอนเน็คติกัตในปี 1924 และได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อสมัครเป็นวุฒิสมาชิกในปี 1926 เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงปี 1933 ถึงจะมีอาชีพหลายรูปแบบ แต่บิงแฮมก็มักตอบใครต่อใครว่า อาชีพนักสำรวจเป็นอาชีพที่เขาโปรดปรานมากที่สุด หลังจากที่รับราชการในตำแหน่งวุฒิสมาชิกจนครบวาระแล้ว บิงแฮมได้ใช้ชีวิตบั้นปลายของตนในการสมาคมกับสังคมชั้นสูง จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ.1956 ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี รวมอายุได้ 81 ปี


ฮิราม บิงแฮม เมื่อครั้งเดินทางสำรวจแล้วพบเมือง มาชู ปิคชู ในปี 1911


สำหรับคำถามที่ว่า มาชู ปิคชู กลายเป็นเมืองร้างได้อย่างไร ??? และอะไรบ้างที่คล้ายคลึงกันระหว่างชาวอินคา กับชาวอียิปต์ ต้องคุยกันต่อในวันพรุ่งนี้ อีกวันหนึ่งครับ

ขอบคุณ ข้อมูลจาก http://oknation.nationtv.tv/blog/agelbusiness/2013/04/01/entry-2 และภาพประกอบจากกูเกิ้ลครับ


ป.ล.ฝากกระทู้กลอนเพลงในห้องกวีกระทู้นี้ด้วยครับผม
https://pantip.com/topic/36620372
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่