หากเราตกเป็นผู้ต้องหา (จำเลย) ในข้อหา พยายามฆ่า ตามมาตรา 80,288,295 แล้วเมื่อถึงขั้นตอนนำสืบ พยานโจทย์ (ผู้เสียหาย) ให้การผิดจากความจริงเพื่อให้ตนเองได้เปรียบจำเลย ซึ่งในที่นี้ มีโจทย์ร่วม2คนและพยานประจักษ์ในที่เกิดเหตุ1คน ซึ่งในความเป็นจริง จำเลย ใช้อาวุธมีด แทงผู้เสียหาย ที่1 และ ผู้เสียหายที่2 หลังจากที่ผู้เสียหายทั้ง2 ได้เป็นฝ่ายพุ่งตรงเข้ามาหวังจะทำร้ายจำเลย ทั้งที่จำเลยยีนอยู่กับที่ และอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า เพราะก่อนนี้จำเลย ได้กล่าวตะโกนบอกให้ทั้งผู้เสียหายที่1 และ2และ พยานประจักษ์อีก1 รวมทั้งสิ้น3คน(ทั้งสามคนเป็น พี่-น้อง-ญาติ ทั้ง3)ที่ยื่นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ที่เป็นขั้นบันได 5 ขั้นบันได เหตุเนื่องมาจาก ที่ ผู้เสียหายที่1 และ2และพยานประจักษ์อีก1 ทั้ง3ได้ก่อเหตุวิวาทรุมทำร้ายกับบุคคลอื่นที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกันกับจำเลยเเละได้มีคนมาช่วยแยกและห้ามกันแล้ว แต่บุคคลทั้ง3ก็ยังคงปักหลักยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหน จำเลยที่1 เห็นว่าหลังจากที่เกิดเหตุวิวาททรุมทำร้ายกันแล้ว ทั้ง ผู้เสียหายที่1 และ2และพยานประจักษ์ที่1 ทั้ง3 ยังคงไม่มีที่ท่าว่าจะออกไปจากตรงนั้น จำเลยที่1 จึงยืนบอกกล่าวให้ทั้ง3กลับไป ไม่งั้นจะเรียกตำรวจ แต่ผู้เสียหายที่1 กลับกล่าวว่า "ก็เรียกสิตำรวจ กูไม่กลัวหรอก" จำเลยจึงล้วงเอามีดพับที่ห้อยมากับพวงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าหลัง เพื่อขู่ ทั้ง3 ไม่ให้เข้ามาและถอยกลับไป
แต่ เมื่อทั้งหมดเห็นว่าจำเลยมีมีด ผู้เสียหายที่1 ก็หยิบมีดพับที่เตรียมมา ล้วงออกมาจากกระเป๋า แล้วเดินกึ่งวื่งขึ้นบันไดมาหาจำเลย จนถึงขั้นบันไดขั้นที่4 จำเลยจึงเอาหมวกกันน็อกในมือซ้ายฟาดก่อนที่ผู้เสียหายที่1 จะถึงตัวและด้วยความตกใจจึงใช้มีดแทงสวนไปโดนบรืเวณหัวไหล่ของผู้เสียหายที่1 แล้วใช้เท้าถีบให้ผู้เสียหายถลาลงบันไดไปให้ไกลจากตัวจำเลย เมื่อผู้เสียหายที่2เห็นว่าผู้เสียหายที่1 มีเลือดออก จึงวิ่งขึ้นบันไดมาจนประชิดตัวจำเลย แล้วใช้แขนซ้ายออ้มมาล็อคคอและดึงโน้มตัวจำเลยเหมือนจะให้ตกบันไดลงไป จำเลยจึงบอกให้ปล่อย แต่ผู้เสียหายด้วยความโทสะจึงไม่ปล่อย จำเลยตวัดมึดในมือ ไปแทงด้านหลังผู้เสียหายที่2 โดยไม่สามารถมองเห็นหรือหวังผลได้ แล้วพลักให้ผู้เสียหาย ถอยลงบันไดไป หลังจากนั้น จำเลย จึงเดินกึ่งวิ่งลงบันได โดยเดินสวนกับ ผู้เสียหายที่1 และ2และพยานประจักษ์ ทั้ง3 โดยไม่ได้ทำร้าย แต่เพื่อที่จะออกไปจากตรงนั้นด้วยความตกใจที่ได้ใช้มีดแทง ผู้เสียหาย หลังจากนั้น ผู้เสียหายทั้งหมดจึงไปแจ้งความว่าจำเลย พยายามฆ่า จำเลย จึงถูกจับดำเนินคดี คดีนี้จำเลยมี่ความผิดดังที่ถูกตั้งข้อหา จริงหรือ?
มีต่อ............หลังจากนัดสืบพยานโจทย์ มีโจทย์ที่2 และพยานในที่เกิดเหตุ (ทั้งสามเป็นญาติพี่น้องกัน มาพร้อมกัน) ผู้เสียหายยังไม่มา
จำเลยซวยหนักกว่านั้น เพราะไม่มีพยานในที่เกิดเหตุ วันนั้น ผู้เสียหายที่2 จึงให้การเท็จต่อศาลว่า จำเลยวิ่งมาจากด้านล่างบันได และ วิ่งขึ้นบันไดมาแทงผ็เสียหายที่ 1-2 โดยที่ผู้เสียหายที่2ไม่เห็นว่าจำเลยวิ่งมาจากทางด้านใหน แต่ พยานกลับบอกว่า จำเลยวิ่งมาล็อคอเเละเอามีดจี้ที่เอวของคัวพยาน และตะโกนบอกให้ จำเลยที่1-2หยุด แล้ววิ่งขึ้นไปแทงผู้เสียหายทั้ง2 แล้ววิ่งกลับมาไล่แทงตนตนจึงวิ่งหนีไป แต่จำเลยยังมีพยานเป็นผู้จัดการในร้าน ที่เป็นคนบอกให้จำเลยออกไปบอกให้พวกของผู้เสียหายกลับไป (แต่ไม่ใช่พยานประจักษ์)
คำถามคือ....
1เมื่อพยานและโจทย์ ให้การเป็นเท็จปรักปร่ำจำเลย จำเลยไม่มีพยานประจักษ์ และถูกใส่ร้าย จำเลยจะพิสูจน์ได้อย่างไร
2ทางทนายจำเลยไม่ได้สู้ในเรื่องที่พยานโจทย์ให้การเท็จเพื่อไม่ให้เสียเปรียบจำเลย ทำให้จำเลยเป็นฝ่ายวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปแทง (ทั้งที่ความจริง จำเลย ยืนอยู่ด้านบนตนเดียวและไม่ได้เป็นฝ่ายวิ่งลงไปแทง) แบบนี้จำเลยจะพิสูจน์ให้ศาลท่านทราบ หรือแจ้งกลับได้อย่างไร
ถ้าท่านตกเป็นจำเลย หรือ ท่านที่เป็นทนาย จะแก้ต่างเรื่องนี้ได้ยังไง ไม่งั้นท่านหรือลูกความของท่านอาจติดคุกฟรี
หากท่านตกเป็นจำเลยที่ถูกปรักปร่ำว่าพยายามฆ่า จะทำอย่างไรเพื่อพิสูจน์ความจริงว่าท่านเพียงป้องกันภัยที่จะมาถึงตัว
แต่ เมื่อทั้งหมดเห็นว่าจำเลยมีมีด ผู้เสียหายที่1 ก็หยิบมีดพับที่เตรียมมา ล้วงออกมาจากกระเป๋า แล้วเดินกึ่งวื่งขึ้นบันไดมาหาจำเลย จนถึงขั้นบันไดขั้นที่4 จำเลยจึงเอาหมวกกันน็อกในมือซ้ายฟาดก่อนที่ผู้เสียหายที่1 จะถึงตัวและด้วยความตกใจจึงใช้มีดแทงสวนไปโดนบรืเวณหัวไหล่ของผู้เสียหายที่1 แล้วใช้เท้าถีบให้ผู้เสียหายถลาลงบันไดไปให้ไกลจากตัวจำเลย เมื่อผู้เสียหายที่2เห็นว่าผู้เสียหายที่1 มีเลือดออก จึงวิ่งขึ้นบันไดมาจนประชิดตัวจำเลย แล้วใช้แขนซ้ายออ้มมาล็อคคอและดึงโน้มตัวจำเลยเหมือนจะให้ตกบันไดลงไป จำเลยจึงบอกให้ปล่อย แต่ผู้เสียหายด้วยความโทสะจึงไม่ปล่อย จำเลยตวัดมึดในมือ ไปแทงด้านหลังผู้เสียหายที่2 โดยไม่สามารถมองเห็นหรือหวังผลได้ แล้วพลักให้ผู้เสียหาย ถอยลงบันไดไป หลังจากนั้น จำเลย จึงเดินกึ่งวิ่งลงบันได โดยเดินสวนกับ ผู้เสียหายที่1 และ2และพยานประจักษ์ ทั้ง3 โดยไม่ได้ทำร้าย แต่เพื่อที่จะออกไปจากตรงนั้นด้วยความตกใจที่ได้ใช้มีดแทง ผู้เสียหาย หลังจากนั้น ผู้เสียหายทั้งหมดจึงไปแจ้งความว่าจำเลย พยายามฆ่า จำเลย จึงถูกจับดำเนินคดี คดีนี้จำเลยมี่ความผิดดังที่ถูกตั้งข้อหา จริงหรือ?
มีต่อ............หลังจากนัดสืบพยานโจทย์ มีโจทย์ที่2 และพยานในที่เกิดเหตุ (ทั้งสามเป็นญาติพี่น้องกัน มาพร้อมกัน) ผู้เสียหายยังไม่มา
จำเลยซวยหนักกว่านั้น เพราะไม่มีพยานในที่เกิดเหตุ วันนั้น ผู้เสียหายที่2 จึงให้การเท็จต่อศาลว่า จำเลยวิ่งมาจากด้านล่างบันได และ วิ่งขึ้นบันไดมาแทงผ็เสียหายที่ 1-2 โดยที่ผู้เสียหายที่2ไม่เห็นว่าจำเลยวิ่งมาจากทางด้านใหน แต่ พยานกลับบอกว่า จำเลยวิ่งมาล็อคอเเละเอามีดจี้ที่เอวของคัวพยาน และตะโกนบอกให้ จำเลยที่1-2หยุด แล้ววิ่งขึ้นไปแทงผู้เสียหายทั้ง2 แล้ววิ่งกลับมาไล่แทงตนตนจึงวิ่งหนีไป แต่จำเลยยังมีพยานเป็นผู้จัดการในร้าน ที่เป็นคนบอกให้จำเลยออกไปบอกให้พวกของผู้เสียหายกลับไป (แต่ไม่ใช่พยานประจักษ์)
คำถามคือ....
1เมื่อพยานและโจทย์ ให้การเป็นเท็จปรักปร่ำจำเลย จำเลยไม่มีพยานประจักษ์ และถูกใส่ร้าย จำเลยจะพิสูจน์ได้อย่างไร
2ทางทนายจำเลยไม่ได้สู้ในเรื่องที่พยานโจทย์ให้การเท็จเพื่อไม่ให้เสียเปรียบจำเลย ทำให้จำเลยเป็นฝ่ายวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปแทง (ทั้งที่ความจริง จำเลย ยืนอยู่ด้านบนตนเดียวและไม่ได้เป็นฝ่ายวิ่งลงไปแทง) แบบนี้จำเลยจะพิสูจน์ให้ศาลท่านทราบ หรือแจ้งกลับได้อย่างไร
ถ้าท่านตกเป็นจำเลย หรือ ท่านที่เป็นทนาย จะแก้ต่างเรื่องนี้ได้ยังไง ไม่งั้นท่านหรือลูกความของท่านอาจติดคุกฟรี