เมื่อไหร่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะจัดการออกกฎหมายแยกธนาคารออกจากประกันให้เด็ดขาดซักที
เราว่าประชาชนหลายๆคนเจอปัญหานี้บ่อยมากๆ และวันนี้เราก็โดนกับตัวเอง
เรื่องมีอยู่ว่า
วันที่ 27 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา...เราไปทำสินเชื่อกับแบงค์ๆ นึง สำหรับเป็นวงเงินฉุกเฉิน เนื่องจากเงินเดือนพนักงานใหม่ไม่ได้มากมายอะไร คือพอให้ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่อาจไม่พอหากมีเหตุฉุกเฉินจำเป็น สินเชื่อตัวนี้มีลักษณะเป็นยอดเงินเกินบัญชี ซึ่งจะไม่คิดดอกเบี้ยหากเราไม่ไปกดมันออกมาใช้ เราคิดมาดีแล้วว่ามันเหมาะกับเรา โดยเราก็ดำเนินการสมัครตามขั้นตอนปกติ และมีการแจ้ง จนท. ตั้งแต่วันที่สมัครแล้วว่า ไม่ขอรับประกันภัยใดๆ นอกเหนือจากประกันภัยกลุ่ม ที่พิจารณาแล้ว ว่าทำก็ได้ ซึ่งพนักงานก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอชี้แจงว่าจำเป็นต้องเสนอขายตามนโยบาย เราก็โอเค คูณเสนอขายตามนโยบายมาได้เลย ส่วนสิทธิ์การตัดสินใจอยู่ที่ลูกค้า คุณไม่ได้ผิดอะไร ถ้าเราไม่รับ วันนั้นผ่านไปแบบราบรื่น)
วันที่ 28 มิถุนายน 2560 (ผ่านไป 1 วัน)
...วันนี้ จนท.คนเดิมโทรมาแจ้งว่าสินเชื่อดังกล่าวได้รับการอนุมัติแล้ว ขอให้เข้ามาทำสัญญา พร้อมเตรียมสมุดบัญชีและบัตรประชาชนมาด้วย เราจึงแจ้งว่าจะเข้าไปช่วงพักกลางวัน
วันนี้เดินทางไปทำสัญญา และพบว่า มีเอกสาร 1 ใบ ที่มียอดเงินค่าธรรมเนียมต่างๆที่เราต้องจ่ายปกติประมาณ 3 ร้อยกว่าบาท + กับประกันชีวิต ซึ่งเราได้แจ้งไปแล้วว่าไม่ขอรับ ประมาณ 2 พันกว่าบาท โผล่ขึ้นมา(ต้องอ่านสัญญาให้ละเอียด) เราจึงไม่ยอมเซ็นเอกสารแผ่นนั้นและแจ้ง จนท. อีกครั้ง ว่าเราขอไม่รับ
จนท. : ก็น้องไม่ยอมทำประกันเงินออม พี่ก็เลยหาแผนประกันที่ถูกที่สุดมาให้แทน อันนี้มันคนละอันกันนะคะ
เรา : ไม่ค่ะ ขอไม่รับนะคะ ยืนยันคำเดิมว่าจะทำเฉพาะสินเชื่อ แล้วอีกอย่าง ประกันชีวิตนี่ ต้องจ่ายทุกปี (จะบอกว่าไม่มีความคุ้มครองใดๆเลย นอกจากตายได้แสนนึง คุ้มเนอะ)
- จนท.: ไม่นะคะ จ่ายแค่ปีแรก ปีถัดไปยกเลิกได้
- เรา : ไม่ค่ะ ขอไม่รับ ยืนยันคำเดิมตามที่แจ้งคุณตั้งแต่ทีแรก
จนท. : ไม่รับไม่ได้อะค่ะ เพราะมันเป็นนโยบายของธนาคารที่ทางเราต้องเสนอขายให้กับลูกค้า **มิฉะนั้นจะมีผลกับวงเงิน อาจจะต้องปรับลดวงเงินลงมา**
(เราขอวงเงินไปประมาณแค่ 60% ของที่สามารถขอได้ ที่ไม่ขอเต็ม เพราะยังไม่ได้มีภาระใช้จ่าย และจนท.แจ้งในวันสมัครว่าหากยอดเกินช่วงดังกล่าวไป จำเป็นต้องทำประกันเงินออม ตามนโยบายของธนาคาร)
เรา : งั้นลดวงเงินลงก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร
จนท. : การเปลี่ยนวงเงิน จะต้องรอ 6 เดือน น่ะสิคะ (เข้าใจว่าเป็นการยื่นใหม่ทั้งหมด)
ถามว่าเรารอได้มั้ย...คำตอบคือรอได้ แต่ทำไมต้องรอ!!
ระหว่างนั้นเราเงียบ ในใจเต็มไปด้วยความหงุดหงิดกับความไร้จริยธรรมของพนักงานท่านนี้ เพราะก่อนหน้าที่จะมาทำสินเชื่อตัวนี้เราได้มีการศึกษาข้อมูลมานานหลายเดือน ถึงแม้จะเคยมีเพื่อนร่วมงานชวนให้แลกกันค้ำประกัน เราก็ยังปฏิเสธ เรายอมจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่า ทำให้พอทราบว่าแบงค์ไม่มีสิทธิ์บังคับลูกค้าให้ทำประกันในกรณีสินเชื่อชนิดนี้
จนท. : เห็นเราเงียบและยังไม่ยอม จึงแจ้งว่า งั้นกลับไปคิดก่อนมั้ย เพราะถ้าไม่ยอมทำประกัน มันก็ส่งสัญญาไม่ได้
เรา : โอเค ...งั้นคุณชะลอเรื่องไว้ก่อนแล้วชั้นจะให้คำตอบอีกทีค่ะ
จากนั้นเราได้ออกมาจากแบงค์ และติดต่อไปยัง call center ของแบงค์ สอบถามจนแน่ใจว่า ธนาคารไม่ได้บังคับให้ต้องทำประกันชีวิตสำหรับสินเชื่อชนิดนี้แต่อย่างใด ต้องให้เราคุยกับสาขาเอง เขาไม่มีอำนาจทำอะไรได้ อาจจะเป็นนโยบายของสาขา (โยนกันไปมาตามระเบียบ)
- เราโทรกลับไปหา จนท.สาขา และบอกเรื่องที่คุยกับ call center แต่เขาก็ยังบ่ายเบี่ยง และบอกว่าเป็นนโยบายจาก สนง.ใหญ่ (เบื่อในความดื้อของพนักงานมาก) เราเลยยืนยันอีกครั้งว่าเราจะไม่ยกเลิกการทำสินเชื่อในครั้งนี้ และจะไม่ยอมทำประกันเด็ดขาด
จนท. : มันไม่ได้อะค่ะคุณลูกค้า ปกติทางสำนักงานใหญ่เขาคงไม่ยอม เพราะมันเป็นนโยบาย
เรา : ไม่ยอมได้ไงคะ แบบนี้แบงค์ก็เอาเปรียบสิ นี่ค่าธรรมเนียมรายปีเราก็ต้องจ่าย ถ้าหากเรากดเงินคุณมาใช้ ทุกบาทก็มีดอกเบี้ยนะคะ ทำแบบนี้ได้ยังไง
จนท. : งั้นเดี๋ยวพี่จะลองจะลองไปคุยกับ จนท.ที่ สำนักงานใหญ่ให้นะคะ ว่าเคสของลูกค้าจะพอดำเนินการอะไรได้มั้ย
เราถามถึงระยะเวลาที่จะได้คำตอบ ซึ่งเขาบอกว่าได้ภายในวันนี้
เรารอ และตั้งธงในใจ ว่าความอดทนเรามีแค่ไหนเรายอมได้แค่ไหน และคิดวิธีว่าหากเขาไม่ยอมหรือดึงเรื่องให้ล่าช้า เราจะทำอย่างไรต่อ
...ผ่านไปไม่นานนัก จนท.คนเดิม ติดต่อกลับมา และบอกให้เราทำบัตรเครดิตแทน ซึ่งเราทำไปแล้ว ท้ายสุดเธอจึงขอให้ทำบัตรกดเงินสด ซึ่งมันไม่เกินธงในใจที่เราตั้งไว้ เรื่องราววันนี้มันจึงจบลงด้วยดี
**ณ ขณะนั้น ธงในใจเราคือถ้าเค้าไม่ยอมและยื้อเวลาเกินวันนี้ เราคงจะดำเนินการทำเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักงานใหญ่ และธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ใจเราก็ยังสงสารว่ากลัวเขาจะมีปัญหารุนแรงรึเปล่า
สรุป(จากความเข้าใจของเราเอง และการรวบรวมข้อมูลจกหลายๆด้าน) คือ โดยปกติหากเราไปทำสินเชื่อหรืออื่นๆที่ธนาคาร เขาจะเชียร์ขายผลิตภัณฑ์ให้เรา โดยอาจจะเป็นประกันชีวิต ประกันอื่นๆ กองทุน บัตรเครดิต ฯลฯ ซึ่งจริงๆแล้ว เขาไม่ได้มีอำนาจบังคับให้เราทำ ยกเว้นสินเชื่อบางประเภทที่จะมีระบุในสัญญาว่าต้องทำประกันพ่วง ซึ่งต้องศึกษาเป็นรายๆไป แต่ จนท. หลายๆ ท่านมักจะใช้คำพูดให้เรารู้สึกว่าเราจำเป็นที่จะต้องทำประกันดังกล่าวหรือทำผลิตภัณฑ์อื่นๆกับเค้า ไม่เช่นนั้น เราจะไม่ผ่านการพิจารณา
วิธีการจัดการกับเรื่องพวกนี้
1. ชะลอการดำเนินเรื่องไปก่อน แล้วออกมาจากตรงนั้น เพราะการคุยกันต่อหน้า บางครั้งเราอาจจะมีความเกรงใจหรือสงสาร หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่อาจจะให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆมาช่วยหว่านล้อม หรือหากไม่มีปัญหาเรื่องนี้ก็สามารถเจรจาตรงนั้นได้เลย ว่าเราต้องการอะไร เรารู้อะไร และอยากให้เป็นแบบไหน
** จำชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง ข้อมูลรายละเอียดวันเวลา และอื่นๆไว้ เผื่อเราต้องทำเรื่องร้องเรียน
2. ติดต่อไปยัง Call Center ของนาคารนั้นๆ สอบถามข้อมูลที่เราต้องการทราบ
สำหรับในกรณีของเราเราเลือกที่จะถามเขาว่า โดยปกติมีการเซ็นสัญญากี่ครั้ง เนื่องจากของเรามันดำเนินการมาถึงขั้นตอนการทำสัญญาแล้ว และ จนท. แจ้งเราว่าอนุมัติแล้ว เราจึงไม่คิดว่าการไม่ทำประกันชีวิตของเราจะมีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ Call center แจ้งว่ามีการทำสัญญาแค่ 1 ครั้ง และย้ำว่าธนาคารไม่ได้บังคับ ทั้งนี้ต้องให้เราคุยกับสาขา
และเราไม่ต้องไปร้องเรียนผ่านเค้านะคะ เสียเงินค่าโทรศัพท์เราเปล่าๆ
3. ติดต่อกลับไปยัง จนท. สาขาที่ทำเรื่องให้เรา และบอกข้อูลที่เราได้มาจาก Call Center โดยเป็นข้อมูลที่ต้องมั่นใจแล้ว
4. หากเขายังไม่ยอม จุดๆนี้ต้องมีการต่อว่าเกิดขึ้นค่ะ เพราะเขาทำไม่ถูกต้อง ใช่...ที่เขามีสิทธิ์เสนอขาย แต่ในเมื่อลูกค้าไม่รับเขาไม่มีสิทธิ์มาบังคับ
และเราต้องยืนยันจุดยืนของเรา ว่าเราจะไม่ยกเลิกการทำธุรกรรมนั้นๆอย่างแน่นอน และจะไม่ยอมทำประกันชีวิตพ่วงเด็ดขาด
5. เขาจะอ้างว่าจะไปติดต่ออะไรไป ก็ช่างเขา แต่ต้องถามระยะเวลาการดำเนินการให้แน่นอน ว่าเราจะทราบผลเมื่อไหร่
6. รอเขาติดต่อมา โดยส่วนใหญ่ หาเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขามักจะเสนอให้เราทำผลิตภัณฑ์อื่นๆแทน ซึ่งตรงนี้ก็ต้องแล้วแต่คุแล้วล่ะว่าใจคุณยอมเค้าได้แค่ไหน ถ้าไม่ ก็ต้องยืนยันคำเดิม
7. หากเขาไม่ยอม
เราสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- เข้าไปในเว็บไซด์หลักของธนาคารนั้นๆ ซึ่งมักจะมีที่ให้ร้องเรียน โดยการร้องเรียนให้เราใส่ข้อมูลตามความจนิงให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเขาอาจไม่พิจารณา
- ร้องเรียนไปที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (แต่ต้องลองหาช่องทางติดต่อนะคะว่าจะโทร หรือสามารถร้องเรียนในเว็บไซด์ได้ พอดีเรื่องของเรามันจบลงในจุดที่เราพอจะทำใจยอมรับได้ จึงไม่ได้ดำเนินการถึงขั้นนี้) ซึ่งจำเป็นนะ
เรื่องราวที่มาเล่าในวันนี้ เราไม่ได้มีเจตนาที่จะเอาเรื่องเอาราวกับใคร เพราะมันจบลงแล้ว ในแบบที่เราและพนักงานสาขาคนนั้น เจอกันคนละครึ่งทาง เราจะไม่พูดถึงชื่อธนาคาร สาขา หรือพนักงานคนไหน เพียงแต่อยากให้เป็นข้อมูลกับเพื่อนๆคนอื่นที่วันนึงอาจจะต้องไปทำธุรกรรมเหล่านี้ ว่าเรามีจุดที่ยอมได้แค่ไหน ทุกอย่างคือสิทธิ์ของเรา
ถามว่าธนาคารผิดหรือไม่ ในเรื่องนโยบายภายในเราไม่ทราบ แต่ตัวพนักงานผิดเต็มๆ
สิ่งที่เราโกรธที่สุด...คือเจ้าหน้าที่ได้สรรหาคำพูดมาบีบบังคับเพื่อให้เรายอมซื้อผลิตภัณฑ์ของเค้า แม้กระทั่งพูดโกหก
โดยส่วนตัวเราเข้าใจว่าเขามียอดเป้าหมายของเขา แต่มันก็ยังผิดที่วิธีการ
ที่สำคัญ.......ห้ามคิดว่าเขามีหนี้บุญคุณที่ดำเนินการส่งเรื่องให้เรา เพราะทุกบาททุกสตางค์หากเรากดเงินส่วนนั้นมาใช้ นั่นหมายถึงดอกเบี้ย และทุกๆปีมีค่าธรรมเนียม
มีคนตั้งกี่คนแล้วที่ยอมตามน้ำ ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจ
#ก่อนลงนามในสัญญาใดๆ ต้องอ่านให้ละเอียดถี่ถ้วน ห้ามเกรงใจ ใครจะรอก็รอไป ผลประโยชน์ของตัวเราเองทั้งนั้น (วันนี้ตอนที่เรานั่งอ่านสัญญา มีพี่ๆกลุ่มนึงกำลังสมัครสินเชื่อตัวเดียวกับเรา และพูดคุยหัวเราะไปกับพนักงาน จับใจความได้ว่า พนักงานเอาคู่สัญญาจากใบสมัครให้ และเขาหัวเราะ บอกขี้เกียจอ่าน ปกติก็ไม่อ่าน)
#อะไรที่ไม่ถูกต้อง...ต้องรีบแย้ง อย่าเกรงใจจนเราเดือดร้อน
#และหากคุณได้เซ็นทำประกันไปแล้ว ขอให้อ่านสัญญาดีๆ ว่าหากเกิดอะไรขึ้นเขามีเงื่อนไขอะไรบ้าง เช่น หากตาย ญาติต้องแจ้งภายในกี่วัน มิฉะนั้นเขาจะปฏิเสธการจ่ายเงิน
#ประกันชีวิตไม่ได้ไม่ดี มันอยู่ที่ความเหมาะสมกับตัวเรา ว่าเราควรทำ หรือไม่ควรทำ ควรทำแบบไหน กับใคร เบี้ยเท่าไหร่ คุ้มครองอะไรบ้าง อันนี้เป็นข้อมูลที่ทุกๆ ท่านต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจเอง ให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
#อยากให้ทุกคนรักษาสิทธิ์ของตัวเอง
เบื่อการขายประกันของธนาคารมาก กับประสบการณ์วันนี้ที่ทำเอาหัวเสียสุดๆ
เราว่าประชาชนหลายๆคนเจอปัญหานี้บ่อยมากๆ และวันนี้เราก็โดนกับตัวเอง
เรื่องมีอยู่ว่า
วันที่ 27 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา...เราไปทำสินเชื่อกับแบงค์ๆ นึง สำหรับเป็นวงเงินฉุกเฉิน เนื่องจากเงินเดือนพนักงานใหม่ไม่ได้มากมายอะไร คือพอให้ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่อาจไม่พอหากมีเหตุฉุกเฉินจำเป็น สินเชื่อตัวนี้มีลักษณะเป็นยอดเงินเกินบัญชี ซึ่งจะไม่คิดดอกเบี้ยหากเราไม่ไปกดมันออกมาใช้ เราคิดมาดีแล้วว่ามันเหมาะกับเรา โดยเราก็ดำเนินการสมัครตามขั้นตอนปกติ และมีการแจ้ง จนท. ตั้งแต่วันที่สมัครแล้วว่า ไม่ขอรับประกันภัยใดๆ นอกเหนือจากประกันภัยกลุ่ม ที่พิจารณาแล้ว ว่าทำก็ได้ ซึ่งพนักงานก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอชี้แจงว่าจำเป็นต้องเสนอขายตามนโยบาย เราก็โอเค คูณเสนอขายตามนโยบายมาได้เลย ส่วนสิทธิ์การตัดสินใจอยู่ที่ลูกค้า คุณไม่ได้ผิดอะไร ถ้าเราไม่รับ วันนั้นผ่านไปแบบราบรื่น)
วันที่ 28 มิถุนายน 2560 (ผ่านไป 1 วัน)
...วันนี้ จนท.คนเดิมโทรมาแจ้งว่าสินเชื่อดังกล่าวได้รับการอนุมัติแล้ว ขอให้เข้ามาทำสัญญา พร้อมเตรียมสมุดบัญชีและบัตรประชาชนมาด้วย เราจึงแจ้งว่าจะเข้าไปช่วงพักกลางวัน
วันนี้เดินทางไปทำสัญญา และพบว่า มีเอกสาร 1 ใบ ที่มียอดเงินค่าธรรมเนียมต่างๆที่เราต้องจ่ายปกติประมาณ 3 ร้อยกว่าบาท + กับประกันชีวิต ซึ่งเราได้แจ้งไปแล้วว่าไม่ขอรับ ประมาณ 2 พันกว่าบาท โผล่ขึ้นมา(ต้องอ่านสัญญาให้ละเอียด) เราจึงไม่ยอมเซ็นเอกสารแผ่นนั้นและแจ้ง จนท. อีกครั้ง ว่าเราขอไม่รับ
จนท. : ก็น้องไม่ยอมทำประกันเงินออม พี่ก็เลยหาแผนประกันที่ถูกที่สุดมาให้แทน อันนี้มันคนละอันกันนะคะ
เรา : ไม่ค่ะ ขอไม่รับนะคะ ยืนยันคำเดิมว่าจะทำเฉพาะสินเชื่อ แล้วอีกอย่าง ประกันชีวิตนี่ ต้องจ่ายทุกปี (จะบอกว่าไม่มีความคุ้มครองใดๆเลย นอกจากตายได้แสนนึง คุ้มเนอะ)
- จนท.: ไม่นะคะ จ่ายแค่ปีแรก ปีถัดไปยกเลิกได้
- เรา : ไม่ค่ะ ขอไม่รับ ยืนยันคำเดิมตามที่แจ้งคุณตั้งแต่ทีแรก
จนท. : ไม่รับไม่ได้อะค่ะ เพราะมันเป็นนโยบายของธนาคารที่ทางเราต้องเสนอขายให้กับลูกค้า **มิฉะนั้นจะมีผลกับวงเงิน อาจจะต้องปรับลดวงเงินลงมา**
(เราขอวงเงินไปประมาณแค่ 60% ของที่สามารถขอได้ ที่ไม่ขอเต็ม เพราะยังไม่ได้มีภาระใช้จ่าย และจนท.แจ้งในวันสมัครว่าหากยอดเกินช่วงดังกล่าวไป จำเป็นต้องทำประกันเงินออม ตามนโยบายของธนาคาร)
เรา : งั้นลดวงเงินลงก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร
จนท. : การเปลี่ยนวงเงิน จะต้องรอ 6 เดือน น่ะสิคะ (เข้าใจว่าเป็นการยื่นใหม่ทั้งหมด)
ถามว่าเรารอได้มั้ย...คำตอบคือรอได้ แต่ทำไมต้องรอ!!
ระหว่างนั้นเราเงียบ ในใจเต็มไปด้วยความหงุดหงิดกับความไร้จริยธรรมของพนักงานท่านนี้ เพราะก่อนหน้าที่จะมาทำสินเชื่อตัวนี้เราได้มีการศึกษาข้อมูลมานานหลายเดือน ถึงแม้จะเคยมีเพื่อนร่วมงานชวนให้แลกกันค้ำประกัน เราก็ยังปฏิเสธ เรายอมจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่า ทำให้พอทราบว่าแบงค์ไม่มีสิทธิ์บังคับลูกค้าให้ทำประกันในกรณีสินเชื่อชนิดนี้
จนท. : เห็นเราเงียบและยังไม่ยอม จึงแจ้งว่า งั้นกลับไปคิดก่อนมั้ย เพราะถ้าไม่ยอมทำประกัน มันก็ส่งสัญญาไม่ได้
เรา : โอเค ...งั้นคุณชะลอเรื่องไว้ก่อนแล้วชั้นจะให้คำตอบอีกทีค่ะ
จากนั้นเราได้ออกมาจากแบงค์ และติดต่อไปยัง call center ของแบงค์ สอบถามจนแน่ใจว่า ธนาคารไม่ได้บังคับให้ต้องทำประกันชีวิตสำหรับสินเชื่อชนิดนี้แต่อย่างใด ต้องให้เราคุยกับสาขาเอง เขาไม่มีอำนาจทำอะไรได้ อาจจะเป็นนโยบายของสาขา (โยนกันไปมาตามระเบียบ)
- เราโทรกลับไปหา จนท.สาขา และบอกเรื่องที่คุยกับ call center แต่เขาก็ยังบ่ายเบี่ยง และบอกว่าเป็นนโยบายจาก สนง.ใหญ่ (เบื่อในความดื้อของพนักงานมาก) เราเลยยืนยันอีกครั้งว่าเราจะไม่ยกเลิกการทำสินเชื่อในครั้งนี้ และจะไม่ยอมทำประกันเด็ดขาด
จนท. : มันไม่ได้อะค่ะคุณลูกค้า ปกติทางสำนักงานใหญ่เขาคงไม่ยอม เพราะมันเป็นนโยบาย
เรา : ไม่ยอมได้ไงคะ แบบนี้แบงค์ก็เอาเปรียบสิ นี่ค่าธรรมเนียมรายปีเราก็ต้องจ่าย ถ้าหากเรากดเงินคุณมาใช้ ทุกบาทก็มีดอกเบี้ยนะคะ ทำแบบนี้ได้ยังไง
จนท. : งั้นเดี๋ยวพี่จะลองจะลองไปคุยกับ จนท.ที่ สำนักงานใหญ่ให้นะคะ ว่าเคสของลูกค้าจะพอดำเนินการอะไรได้มั้ย
เราถามถึงระยะเวลาที่จะได้คำตอบ ซึ่งเขาบอกว่าได้ภายในวันนี้
เรารอ และตั้งธงในใจ ว่าความอดทนเรามีแค่ไหนเรายอมได้แค่ไหน และคิดวิธีว่าหากเขาไม่ยอมหรือดึงเรื่องให้ล่าช้า เราจะทำอย่างไรต่อ
...ผ่านไปไม่นานนัก จนท.คนเดิม ติดต่อกลับมา และบอกให้เราทำบัตรเครดิตแทน ซึ่งเราทำไปแล้ว ท้ายสุดเธอจึงขอให้ทำบัตรกดเงินสด ซึ่งมันไม่เกินธงในใจที่เราตั้งไว้ เรื่องราววันนี้มันจึงจบลงด้วยดี
**ณ ขณะนั้น ธงในใจเราคือถ้าเค้าไม่ยอมและยื้อเวลาเกินวันนี้ เราคงจะดำเนินการทำเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักงานใหญ่ และธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ใจเราก็ยังสงสารว่ากลัวเขาจะมีปัญหารุนแรงรึเปล่า
สรุป(จากความเข้าใจของเราเอง และการรวบรวมข้อมูลจกหลายๆด้าน) คือ โดยปกติหากเราไปทำสินเชื่อหรืออื่นๆที่ธนาคาร เขาจะเชียร์ขายผลิตภัณฑ์ให้เรา โดยอาจจะเป็นประกันชีวิต ประกันอื่นๆ กองทุน บัตรเครดิต ฯลฯ ซึ่งจริงๆแล้ว เขาไม่ได้มีอำนาจบังคับให้เราทำ ยกเว้นสินเชื่อบางประเภทที่จะมีระบุในสัญญาว่าต้องทำประกันพ่วง ซึ่งต้องศึกษาเป็นรายๆไป แต่ จนท. หลายๆ ท่านมักจะใช้คำพูดให้เรารู้สึกว่าเราจำเป็นที่จะต้องทำประกันดังกล่าวหรือทำผลิตภัณฑ์อื่นๆกับเค้า ไม่เช่นนั้น เราจะไม่ผ่านการพิจารณา
วิธีการจัดการกับเรื่องพวกนี้
1. ชะลอการดำเนินเรื่องไปก่อน แล้วออกมาจากตรงนั้น เพราะการคุยกันต่อหน้า บางครั้งเราอาจจะมีความเกรงใจหรือสงสาร หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่อาจจะให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆมาช่วยหว่านล้อม หรือหากไม่มีปัญหาเรื่องนี้ก็สามารถเจรจาตรงนั้นได้เลย ว่าเราต้องการอะไร เรารู้อะไร และอยากให้เป็นแบบไหน
** จำชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง ข้อมูลรายละเอียดวันเวลา และอื่นๆไว้ เผื่อเราต้องทำเรื่องร้องเรียน
2. ติดต่อไปยัง Call Center ของนาคารนั้นๆ สอบถามข้อมูลที่เราต้องการทราบ
สำหรับในกรณีของเราเราเลือกที่จะถามเขาว่า โดยปกติมีการเซ็นสัญญากี่ครั้ง เนื่องจากของเรามันดำเนินการมาถึงขั้นตอนการทำสัญญาแล้ว และ จนท. แจ้งเราว่าอนุมัติแล้ว เราจึงไม่คิดว่าการไม่ทำประกันชีวิตของเราจะมีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ Call center แจ้งว่ามีการทำสัญญาแค่ 1 ครั้ง และย้ำว่าธนาคารไม่ได้บังคับ ทั้งนี้ต้องให้เราคุยกับสาขา
และเราไม่ต้องไปร้องเรียนผ่านเค้านะคะ เสียเงินค่าโทรศัพท์เราเปล่าๆ
3. ติดต่อกลับไปยัง จนท. สาขาที่ทำเรื่องให้เรา และบอกข้อูลที่เราได้มาจาก Call Center โดยเป็นข้อมูลที่ต้องมั่นใจแล้ว
4. หากเขายังไม่ยอม จุดๆนี้ต้องมีการต่อว่าเกิดขึ้นค่ะ เพราะเขาทำไม่ถูกต้อง ใช่...ที่เขามีสิทธิ์เสนอขาย แต่ในเมื่อลูกค้าไม่รับเขาไม่มีสิทธิ์มาบังคับ
และเราต้องยืนยันจุดยืนของเรา ว่าเราจะไม่ยกเลิกการทำธุรกรรมนั้นๆอย่างแน่นอน และจะไม่ยอมทำประกันชีวิตพ่วงเด็ดขาด
5. เขาจะอ้างว่าจะไปติดต่ออะไรไป ก็ช่างเขา แต่ต้องถามระยะเวลาการดำเนินการให้แน่นอน ว่าเราจะทราบผลเมื่อไหร่
6. รอเขาติดต่อมา โดยส่วนใหญ่ หาเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขามักจะเสนอให้เราทำผลิตภัณฑ์อื่นๆแทน ซึ่งตรงนี้ก็ต้องแล้วแต่คุแล้วล่ะว่าใจคุณยอมเค้าได้แค่ไหน ถ้าไม่ ก็ต้องยืนยันคำเดิม
7. หากเขาไม่ยอม
เราสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- เข้าไปในเว็บไซด์หลักของธนาคารนั้นๆ ซึ่งมักจะมีที่ให้ร้องเรียน โดยการร้องเรียนให้เราใส่ข้อมูลตามความจนิงให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเขาอาจไม่พิจารณา
- ร้องเรียนไปที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (แต่ต้องลองหาช่องทางติดต่อนะคะว่าจะโทร หรือสามารถร้องเรียนในเว็บไซด์ได้ พอดีเรื่องของเรามันจบลงในจุดที่เราพอจะทำใจยอมรับได้ จึงไม่ได้ดำเนินการถึงขั้นนี้) ซึ่งจำเป็นนะ
เรื่องราวที่มาเล่าในวันนี้ เราไม่ได้มีเจตนาที่จะเอาเรื่องเอาราวกับใคร เพราะมันจบลงแล้ว ในแบบที่เราและพนักงานสาขาคนนั้น เจอกันคนละครึ่งทาง เราจะไม่พูดถึงชื่อธนาคาร สาขา หรือพนักงานคนไหน เพียงแต่อยากให้เป็นข้อมูลกับเพื่อนๆคนอื่นที่วันนึงอาจจะต้องไปทำธุรกรรมเหล่านี้ ว่าเรามีจุดที่ยอมได้แค่ไหน ทุกอย่างคือสิทธิ์ของเรา
ถามว่าธนาคารผิดหรือไม่ ในเรื่องนโยบายภายในเราไม่ทราบ แต่ตัวพนักงานผิดเต็มๆ
สิ่งที่เราโกรธที่สุด...คือเจ้าหน้าที่ได้สรรหาคำพูดมาบีบบังคับเพื่อให้เรายอมซื้อผลิตภัณฑ์ของเค้า แม้กระทั่งพูดโกหก
โดยส่วนตัวเราเข้าใจว่าเขามียอดเป้าหมายของเขา แต่มันก็ยังผิดที่วิธีการ
ที่สำคัญ.......ห้ามคิดว่าเขามีหนี้บุญคุณที่ดำเนินการส่งเรื่องให้เรา เพราะทุกบาททุกสตางค์หากเรากดเงินส่วนนั้นมาใช้ นั่นหมายถึงดอกเบี้ย และทุกๆปีมีค่าธรรมเนียม
มีคนตั้งกี่คนแล้วที่ยอมตามน้ำ ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจ
#ก่อนลงนามในสัญญาใดๆ ต้องอ่านให้ละเอียดถี่ถ้วน ห้ามเกรงใจ ใครจะรอก็รอไป ผลประโยชน์ของตัวเราเองทั้งนั้น (วันนี้ตอนที่เรานั่งอ่านสัญญา มีพี่ๆกลุ่มนึงกำลังสมัครสินเชื่อตัวเดียวกับเรา และพูดคุยหัวเราะไปกับพนักงาน จับใจความได้ว่า พนักงานเอาคู่สัญญาจากใบสมัครให้ และเขาหัวเราะ บอกขี้เกียจอ่าน ปกติก็ไม่อ่าน)
#อะไรที่ไม่ถูกต้อง...ต้องรีบแย้ง อย่าเกรงใจจนเราเดือดร้อน
#และหากคุณได้เซ็นทำประกันไปแล้ว ขอให้อ่านสัญญาดีๆ ว่าหากเกิดอะไรขึ้นเขามีเงื่อนไขอะไรบ้าง เช่น หากตาย ญาติต้องแจ้งภายในกี่วัน มิฉะนั้นเขาจะปฏิเสธการจ่ายเงิน
#ประกันชีวิตไม่ได้ไม่ดี มันอยู่ที่ความเหมาะสมกับตัวเรา ว่าเราควรทำ หรือไม่ควรทำ ควรทำแบบไหน กับใคร เบี้ยเท่าไหร่ คุ้มครองอะไรบ้าง อันนี้เป็นข้อมูลที่ทุกๆ ท่านต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจเอง ให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
#อยากให้ทุกคนรักษาสิทธิ์ของตัวเอง