สวัสดีค่าทุกโคนนนน นี้เป็นกระทู้พันทิบแรกในชีวิต เราจะลองมารีวิวการไปเที่ยวเวียดนามครั้งแรกของเรา โดยไปทั้งหมดเป็นเวลา 3 คืน 4 วัน มีเพื่อนร่วมทริปคนนึงคือพี่ที่ทำงาน เวียดนามที่เราไปก็จะไปทั้งหมด 3 ที่ ด้วยกัน ได้แก่ โฮจิมนท์ - ดาลัด - มุยเน่ โดยแพลนคร่าวๆ เราจะเป็นดังนี้ฮะ
DAY 1 - โฮจิมินท์ เที่ยวทั้งวัน
DAY 2 - ดาลัท ถึงตอนเช้า เที่ยวทั้งวัน
DAY 3 - มุยเน่ ถึงตอนบ่าย เที่ยวรอบบ่าย
DAY 4 - โฮจิมินท์ เตร็ดเตร่
ก่อนอื่นการเตรียมตัวเราก็จองตั๋วเครื่องบิน โดยไปสายการบิน airasia ค่าตั๋วประมาณ 2 พันบาท (จองกันข้ามปีเลยเด้อ) แล้วก็หาข้อมูลรีวิวจากเว็บต่างๆ แล้วเราก็ลอกเค้ามาเนี้ยแหละ ฮ่าาาา แต่จริงๆ คือไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากกะไปตายดาบหน้าเอา - -"
DAY 1 - โฮจิมินท์
วันแรกก็แหกขี้ตาตื่นแต่ไก่โห่ ไฟลต์เราบิน 7.30 น. ค่ะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงโฮจิมินท์ตอน 9.00 น. ก็ผ่านตม.มาชิวๆ มาเจอพี่เค้าที่เวียดนามเลย (แยกไฟลต์กันไปค่ะเพราะพี่เค้าจองตั๋วทีหลัง) สำหรับทริปนี้เที่ยว แบบไม่มีอินเตอร์เนตจ้าาาา กะว่า เอ้าเห้ยถ้าไม่เจออะไรก็ถามคนแถวๆนั้นเอา มีปากสะอย่างไปกลัวอะไร๊! ที่นั้นเค้าพูดภาษาอังกฤษได้ หลังจากออกสนามบินเราก็มุ่งหน้าไปยังรถเมล์สาย 152 ค่ะ จะเป็นรถเมล์คันสีเขียวๆ จอดอยู่ข้างหน้าเลย ก็ขึ้นไปนั่งรอ สักพักคนขับมาเก็บเงินบอกว่าไปลงฟามงูหลาว เราจ่ายไป 5,000 ดอง ส่วนพี่เค้าโดนเก็บไปสองเท่าเป็น 10,000 ดอง (เริ่มมาก้โดนโกงเล้ย) ซึ่งตรงนี้ก็อ่านจากรีวิวหลายคนบอกว่าถ้ามีกระเป๋าเค้าจะเก็บเพิ่ม แต่เราก็งงๆกับตรรกะของเค้านะ เพราะว่าเราสะพายเป้โดนเก็บเท่าเดียว แต่พี่เค้าใช้กระเป๋าลากใบใหญ่เลยโดนเก็บสองเท่า ทั้งๆที่เอากระเป๋าวางบนตักเหมือนกัน (อะไรของมันฟะ) แต่ก็ช่างมันเต้อะไม่กี่บาท พอขึ้นรถเสร็จก็เจอพี่คนไทยสองคน เค้าก็มาทริปคล้ายๆเราก็เลยไปด้วยกัน ได้รู้จักเพื่อนเพิ่มไปเลย อิอิ หลังจากลงรถเราเดินไปหาซื้อทัวร์ค่ะ แถวๆนั้นจะมีอยู่เยอะมาก เราเลือกของ VEITSEA เพราะคนไทยไปกับ ทัวร์นี้เยอะ โดยจองตั๋วรถนอนไปดาลัท รอบ 23.40 น. ราคา 252,000 ดอง ส่วนทัวร์ในวันที่ 2 (ดาลัท) จะเป็นทัวร์ทั้งวันในราคา 252,000 ดอง ซึ่งจริงๆคิดว่าไปซื้อทัวร์กับของทางรร.อาจจะถูกกว่าแต่ตอนนั้นก็ไม่ชัวร์อีกว่าอันไหนดีก็ซื้อไปก่อนละกันเนาะ แล้วเราสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ได้นะแจ้
ภาพตึกเพ้นท์ระหว่างเดินไปจองทัวร์ในโฮจิมินท์ สวยงามมมมม

บรรยากาศการจราจรเด้อออออ วุ่นวายแท้ พี่ไทยชิดซ้ายเลย หากจะข้ามถนนเมื่อตัดสินใจเดินข้ามแล้วอย่าหยุดจ้า

หลังจากซื้อทัวร์เสร็จก็เกือบเที่ยงพอดีหิววววมากกกกก....เลยไปหาข้าวกินแถวละแวกนั้น บริษัททัวร์แนะนำมาร้านนึงก็เป็นเฝอชื่อ Mon Hue ซึ่งเป็นอาหารหลักของประเทศนี้ เราสั่งข้าวหน้าหอยจิ๋วมา เป็นข้าวเหนียวๆคล้ายข้าวญี่ปุ่นแล้วก็โปะขบวนหอยจิ๋วกับผักสร้อยมาเพียบ!!!! รสชาดก็อร่อยดีเผ็ดๆเค็มๆ แล้วเค้าจะมีผักเครื่องเคียงมาให้ จะมีกลิ่นฉุนๆนิสนึง ถ้าใครไม่ชอบกินผักน่าจะไม่ชอบอาหารเวียดนามเพราะทุกมื้อ นี้ผักขนขบวนกันมาล้นหลามจิมๆ ตาเราเหลือบไปเห็นขนมเป็นแท่งคล้ายเอแคลร์ยาวๆ ราคาไม่แพงเลยแกะมากินดู เหยยย อร่อยแฮะ รสชาดเหมือน เอแคลร์กลมกล่อมหอมนุ่มละมุนนมซะไม่มี จัดคนเดียวหมดกล่องเยย แล้วก็สั่งชาสมุนไพรเย็นมา แต่รสชาดแบบ โอ้ย นี้มันน้ำลำไยบ้านเราชัดชัด แต่อร่อยดีเหมือนเดิม หรือว่าเราหิวมากก็ไม่รู้เลยอร่อย

ทุกอย่าง 555555555 เบ็ดเสร็จมื้อนี้หมดไป 86,000 ดองฮะ
ขนมคล้ายเอแคลร์ไส้นม หอมอร่อยม้วก


หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ตระเวณเดินทัวร์พวกแลนด์มาร์คตั่งต่าง ที่นิยมก็เป็น Art Museum เป็นสถานที่แรก ก็ถ่ายรูปดื่มด่ำกับศิลปะที่ไม่ค่อยเข้าใจ (ทั้งๆที่เราก็เป็นสายกราฟิก) แต่ก็ช่างเถอะมันก้ดูสวยๆดี พวกกระเบื้อง กำแพงไรงี้ลวดลายเค้าน่ารักน่าเอ็นดู จบที่แรกพวกเราก็ไม่ไหวแล้วววว คือร้อนแบบร้อนโฮก แดดช่างแผดเผาเสียเหลือเกินดุจแดดประเทศไทยมันตามมาราวี
บรรยากาศ art museum




หลังจากนั้นเราแวะไปที่ Cafe Apartment (ซึ่งเราตั้งใจมามากๆ) เพื่อไปนั่งคาเฟ่ตากแอร์ชิวๆให้จั๊กกะแร้หายเปียกกันฮะ
ภายนอกของตึก Apartment Cafe ร้านก็จะอยู่เป็น block เหมือนแท่งช็อคโกแลตบาร์


ร้าน Thinker & Dreamer แนวฮิปๆโหน่ย และร้านน้ำชา Partea


ร้านเสื้อผ้าแฮนด์เมด

โดย Cafe Apartment นี้เคยเป็นตึกเก่าแบบเก่ามากกกก ซากสีกำแพงผุพังแต่ก็ดูสวยแบบอาร์ตๆดี เค้ารีโนเวทให้แต่ละบล็อคเป็นร้านคาเฟ่กับขายของชิคๆ เราก็เดินดุ่มๆขึ้นไปส่องดูว่ามีร้านไหนน่านั่งบ้าง จนมาจบที่ร้าน Partea เป็นคาเฟ่ จิบน้ำชาแบบผู้ดีอังกฤษ (เชิดหน้าปรายตามองทุกคนในร้านแบบไฮโซ) เข้าไปร้านก็น่ารักดีตกแต่งแบบผู้ดีอังกฤษสไตล์ vintage แต่เราเป็นคนชอบกินชา กินได้หมดทุกชนิดเลยมาลองดูกัน เค้าจะมีให้สั่งเป็นเช็ตน้ำชามีแบบ 1 ถ้วยหรือ 2 ถ้วย แต่มีเก๋ตรงที่ เค้าให้เราเดินไปเลือก แก้วชาเเองว่าอยากได้ลายไหน อะน่อววว เผื่ออยากเอาไปเป็นพร็อบถ่ายรูปสวยๆคุมตีมอะไรก็ว่าไป แล้วเราสมารถเลือกชนิดชาข้างในได้ เราเลือกเป็น ชามิ้นท์ เพราะเรากับพี่ชอบทั้งคู่ พอถึงเวลาเค้าจะเสิร์ฟเป็นกาที่มีใบชาลอยอยู่พร้อมกับที่กรองชา แล้วก็มีนาฬิกาทรายจิ๋วไว้จับเวลาว่าอยากได้ที่ความเข้มข้นระดับไหน มีน้ำตาลกับครีมนมให้เติมด้วยค่ะ จากนั้นก็สั่งเซ็ตขนมค่ะเป็นเค้กช็อกโกแลตลาวากับไอศครีมช็อค รสชาดก็อร่อยดีแต่หวานไปนิดนุง เบ็ดเสร็จราคาถ้าเทียบกับคาเฟ่ระดับนี้ในไทยถือว่าถูกนะ หมดไปคนละ 95,000 ดอง
ร้านน้ำชา Partea
บรรยากาศในร้าน ตกแต่งน่ารักมั้กมาก







อันนี้เป็นแถวถ้วยชาเรียงราย ให้เราเลือกถ้วยได้เองค่ะ เดินไปหยิบได้เลย


เลือกชาจากตรงนี้เป็นขวดๆมีป้ายบอกด้วยว่าเป็นชาอะไร

แถ่มทะแด๊มมม....และนี่ก็ครืออออ เซตมโหรฬารบานตะไทของการกินชาแบบผู้ดี (มั้ง)


นั่งชมวิวด้านล่างได้ด้วยเด้อ

นี่เป็นเค้กชอคโกแลตลาวาาาา เยิ้มอุ่นๆเลย หวานไปหน่อยค่ะสำหรับเรา

เมื่ออิ่มหนำแล้วเราก็ตระเวณไปที่อื่นต่อ แต่ก็ ผ่ามมม!!!! ฝนตกจ้าาา ดำครึ้มมาเชียว เราเลยต้องนั่งรอสักพักให้ฝนหยุดแล้วค่อยเดินทางต่อไปชมพวกแลนด์มาร์คที่เหลือ เวลาตอนนั้นก็ห้าโมงได้ แล้วเลยไม่มีกะจิตกะใจจะไปไหน แถมฝนก้ตกเปียกกชุ่มไปหมด เราเลยได้แค่เดินไปถ่ายรูปที่โบสถ์กับไปรษณีย์ ก็ไม่มีอะไรมากถ่ายไว้ดูเฉยๆว่าเคยมาที่นี่แล้วนาจา
โบสถ์ Notre-Dame



มีการจารึกชื่อเค้ารักตัวเองนะ ด้วย อะไรงี้....


ร้านขายเซรามิกน่ารักด้านข้างโบสถ์

ที่ทำการไปรษณีย์ที่ไม่เหมือนที่ทำการไปรษณีย์

มีปลาหมึกบดขายด้วย อร่อยยยย

สวนหน้าไปรษณีย์ ร่มรื่นดีย์

มะพร้าวสดจ้าาาา ตอนแรกถามคนขายมันบอกว่าลูกละร้อยบาท ป้าดดด พร่องเถอะ ต่อไปต่อมาเหลือสามสิบบาท เออเอาก้ได้วะ แต่มันไม่ยอมเฉาะเนื้อให้กินนะ ดู๊ดูมันทำ

ที่ทำการหรือวังอะไรสักอย่างไม่รู้ เดินผ่านแล้วสถาปัตยกรรมดูสวยดี

จากนั้นก็เดินกลับไปที่ทัวร์ค่ะ เตรียมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเหนียวตัวมั้กมาก เหงื่อย้อยจั๊กกะแร้เหม็นเปรี้ยวสุด ดีนะคะที่บริษัททัวร์มีห้องน้ำให้อาบ อ้อ ลืมบอกไปละแวกนั้นจะมีเวียดซีอยู่หลายที่ ที่เราซื้อจะไม่มีห้องอาบน้ำเลยต้องขนสัมมะโนครัวย้ายไปเวียดซีที่อยู่ใต้โรงแรม Kim Khoi Hotel ซึ่งจะมีห้องอาบน้ำให้ (มีห้องเดียวนาจา) ที่นี่เราเจอคนไทยเยอะเลย พออาบน้ำเสร็จ สดชื่นได้สักพักเหงื่อก็ไหลไคลก็ย้อยอยู่ดีเพราะอากาศที่นี่ร้อนอบอ้าวมาก จึงออกไปหาของกินรับลมข้างนอกดีกว่า แวะแฟมิลี่มาร์ทหาขนมกินเพราะเราเป็นสายขนม ได้ของจุกจิกมาเพียบเป็นหมากฝรั่งกับพุดดิ้งช็อคโกแลต เออ อร่อยดีแหะ
มีสเลอปี้ด้วย สายรุ้งหวานเจี๊ยบจนต้องซื้อน้ำมากินต่อ เห้ออออ

และตรงข้าม Kim Khoi Hotel ก็จะมีเหมือนแหล่งอาหารเป็นฟู้ดคอร์ท เราเลยไปกินกันที่นั่นค่ะ เข้าไปแล้วแบบ อื้มหืมมมมม ตระการตาจริงๆ ตาลายกับอาหารมากกกก...เยอะแยะเลือกไม่ถวดเลยทีเดียว แต่เราไปเตะตาเหมือนเป็นหม้อไฟต้มๆค่ะ เลยสั่งมากิน ก็จะมีเป็นชุดเช็ตให้เลือก ชุดเนื้อ ทะเล ชุดหมู อะไรเทือกนี้แล้วขนมาเป็นเรือเลยจ้าาาา น้ำซุปรดชาดกลมกล่อมใช้ได้เปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดครบรส แล้วทีนี้ไม่อิ่มค่ะ พี่เค้าเลยไปจัด ขนมเบื้องยักษ์มา ตู้หู้วววววว ใหญ่ระเบิดระเบ้อใหญ่ไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม เส้นผ่าศก.เท่ากับถาดสังกะสีบ้านเราเชียวหละค่ะ ส่วนไส้ข้างใน จะเป็นหมูกับกุ้งผัดถั่วงอก แล้วมีน้ำจิ้มเปรี้ยวๆหวานๆราดพร้อมกับมีแยกให้จิ้มต่างหาก ส่วนผักเครื่องเคียงนั้นก็มาเป็นถาดเบ้อเริ่ม ขนาดหน้าเราใหญ่ แล้วนะใบผักนั้นใหญ่กว่าคูณสองไปอีกแจ้ สรุปว่ามื้อนั้นหมดไป 200,000 ดอง อิ่มจุกอกมากฮะ
[CR] ลองเที่ยว backpack แบบเด๋อเด๋อ เวียดนามใต้ โฮจิมินท์-ดาลัท-มุยเน่ กันเด้อ
DAY 1 - โฮจิมินท์ เที่ยวทั้งวัน
DAY 2 - ดาลัท ถึงตอนเช้า เที่ยวทั้งวัน
DAY 3 - มุยเน่ ถึงตอนบ่าย เที่ยวรอบบ่าย
DAY 4 - โฮจิมินท์ เตร็ดเตร่
ก่อนอื่นการเตรียมตัวเราก็จองตั๋วเครื่องบิน โดยไปสายการบิน airasia ค่าตั๋วประมาณ 2 พันบาท (จองกันข้ามปีเลยเด้อ) แล้วก็หาข้อมูลรีวิวจากเว็บต่างๆ แล้วเราก็ลอกเค้ามาเนี้ยแหละ ฮ่าาาา แต่จริงๆ คือไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากกะไปตายดาบหน้าเอา - -"
DAY 1 - โฮจิมินท์
วันแรกก็แหกขี้ตาตื่นแต่ไก่โห่ ไฟลต์เราบิน 7.30 น. ค่ะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงโฮจิมินท์ตอน 9.00 น. ก็ผ่านตม.มาชิวๆ มาเจอพี่เค้าที่เวียดนามเลย (แยกไฟลต์กันไปค่ะเพราะพี่เค้าจองตั๋วทีหลัง) สำหรับทริปนี้เที่ยว แบบไม่มีอินเตอร์เนตจ้าาาา กะว่า เอ้าเห้ยถ้าไม่เจออะไรก็ถามคนแถวๆนั้นเอา มีปากสะอย่างไปกลัวอะไร๊! ที่นั้นเค้าพูดภาษาอังกฤษได้ หลังจากออกสนามบินเราก็มุ่งหน้าไปยังรถเมล์สาย 152 ค่ะ จะเป็นรถเมล์คันสีเขียวๆ จอดอยู่ข้างหน้าเลย ก็ขึ้นไปนั่งรอ สักพักคนขับมาเก็บเงินบอกว่าไปลงฟามงูหลาว เราจ่ายไป 5,000 ดอง ส่วนพี่เค้าโดนเก็บไปสองเท่าเป็น 10,000 ดอง (เริ่มมาก้โดนโกงเล้ย) ซึ่งตรงนี้ก็อ่านจากรีวิวหลายคนบอกว่าถ้ามีกระเป๋าเค้าจะเก็บเพิ่ม แต่เราก็งงๆกับตรรกะของเค้านะ เพราะว่าเราสะพายเป้โดนเก็บเท่าเดียว แต่พี่เค้าใช้กระเป๋าลากใบใหญ่เลยโดนเก็บสองเท่า ทั้งๆที่เอากระเป๋าวางบนตักเหมือนกัน (อะไรของมันฟะ) แต่ก็ช่างมันเต้อะไม่กี่บาท พอขึ้นรถเสร็จก็เจอพี่คนไทยสองคน เค้าก็มาทริปคล้ายๆเราก็เลยไปด้วยกัน ได้รู้จักเพื่อนเพิ่มไปเลย อิอิ หลังจากลงรถเราเดินไปหาซื้อทัวร์ค่ะ แถวๆนั้นจะมีอยู่เยอะมาก เราเลือกของ VEITSEA เพราะคนไทยไปกับ ทัวร์นี้เยอะ โดยจองตั๋วรถนอนไปดาลัท รอบ 23.40 น. ราคา 252,000 ดอง ส่วนทัวร์ในวันที่ 2 (ดาลัท) จะเป็นทัวร์ทั้งวันในราคา 252,000 ดอง ซึ่งจริงๆคิดว่าไปซื้อทัวร์กับของทางรร.อาจจะถูกกว่าแต่ตอนนั้นก็ไม่ชัวร์อีกว่าอันไหนดีก็ซื้อไปก่อนละกันเนาะ แล้วเราสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ได้นะแจ้
ภาพตึกเพ้นท์ระหว่างเดินไปจองทัวร์ในโฮจิมินท์ สวยงามมมมม
บรรยากาศการจราจรเด้อออออ วุ่นวายแท้ พี่ไทยชิดซ้ายเลย หากจะข้ามถนนเมื่อตัดสินใจเดินข้ามแล้วอย่าหยุดจ้า
หลังจากซื้อทัวร์เสร็จก็เกือบเที่ยงพอดีหิววววมากกกกก....เลยไปหาข้าวกินแถวละแวกนั้น บริษัททัวร์แนะนำมาร้านนึงก็เป็นเฝอชื่อ Mon Hue ซึ่งเป็นอาหารหลักของประเทศนี้ เราสั่งข้าวหน้าหอยจิ๋วมา เป็นข้าวเหนียวๆคล้ายข้าวญี่ปุ่นแล้วก็โปะขบวนหอยจิ๋วกับผักสร้อยมาเพียบ!!!! รสชาดก็อร่อยดีเผ็ดๆเค็มๆ แล้วเค้าจะมีผักเครื่องเคียงมาให้ จะมีกลิ่นฉุนๆนิสนึง ถ้าใครไม่ชอบกินผักน่าจะไม่ชอบอาหารเวียดนามเพราะทุกมื้อ นี้ผักขนขบวนกันมาล้นหลามจิมๆ ตาเราเหลือบไปเห็นขนมเป็นแท่งคล้ายเอแคลร์ยาวๆ ราคาไม่แพงเลยแกะมากินดู เหยยย อร่อยแฮะ รสชาดเหมือน เอแคลร์กลมกล่อมหอมนุ่มละมุนนมซะไม่มี จัดคนเดียวหมดกล่องเยย แล้วก็สั่งชาสมุนไพรเย็นมา แต่รสชาดแบบ โอ้ย นี้มันน้ำลำไยบ้านเราชัดชัด แต่อร่อยดีเหมือนเดิม หรือว่าเราหิวมากก็ไม่รู้เลยอร่อย
ขนมคล้ายเอแคลร์ไส้นม หอมอร่อยม้วก
หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ตระเวณเดินทัวร์พวกแลนด์มาร์คตั่งต่าง ที่นิยมก็เป็น Art Museum เป็นสถานที่แรก ก็ถ่ายรูปดื่มด่ำกับศิลปะที่ไม่ค่อยเข้าใจ (ทั้งๆที่เราก็เป็นสายกราฟิก) แต่ก็ช่างเถอะมันก้ดูสวยๆดี พวกกระเบื้อง กำแพงไรงี้ลวดลายเค้าน่ารักน่าเอ็นดู จบที่แรกพวกเราก็ไม่ไหวแล้วววว คือร้อนแบบร้อนโฮก แดดช่างแผดเผาเสียเหลือเกินดุจแดดประเทศไทยมันตามมาราวี
บรรยากาศ art museum
หลังจากนั้นเราแวะไปที่ Cafe Apartment (ซึ่งเราตั้งใจมามากๆ) เพื่อไปนั่งคาเฟ่ตากแอร์ชิวๆให้จั๊กกะแร้หายเปียกกันฮะ
ภายนอกของตึก Apartment Cafe ร้านก็จะอยู่เป็น block เหมือนแท่งช็อคโกแลตบาร์
ร้าน Thinker & Dreamer แนวฮิปๆโหน่ย และร้านน้ำชา Partea
ร้านเสื้อผ้าแฮนด์เมด
โดย Cafe Apartment นี้เคยเป็นตึกเก่าแบบเก่ามากกกก ซากสีกำแพงผุพังแต่ก็ดูสวยแบบอาร์ตๆดี เค้ารีโนเวทให้แต่ละบล็อคเป็นร้านคาเฟ่กับขายของชิคๆ เราก็เดินดุ่มๆขึ้นไปส่องดูว่ามีร้านไหนน่านั่งบ้าง จนมาจบที่ร้าน Partea เป็นคาเฟ่ จิบน้ำชาแบบผู้ดีอังกฤษ (เชิดหน้าปรายตามองทุกคนในร้านแบบไฮโซ) เข้าไปร้านก็น่ารักดีตกแต่งแบบผู้ดีอังกฤษสไตล์ vintage แต่เราเป็นคนชอบกินชา กินได้หมดทุกชนิดเลยมาลองดูกัน เค้าจะมีให้สั่งเป็นเช็ตน้ำชามีแบบ 1 ถ้วยหรือ 2 ถ้วย แต่มีเก๋ตรงที่ เค้าให้เราเดินไปเลือก แก้วชาเเองว่าอยากได้ลายไหน อะน่อววว เผื่ออยากเอาไปเป็นพร็อบถ่ายรูปสวยๆคุมตีมอะไรก็ว่าไป แล้วเราสมารถเลือกชนิดชาข้างในได้ เราเลือกเป็น ชามิ้นท์ เพราะเรากับพี่ชอบทั้งคู่ พอถึงเวลาเค้าจะเสิร์ฟเป็นกาที่มีใบชาลอยอยู่พร้อมกับที่กรองชา แล้วก็มีนาฬิกาทรายจิ๋วไว้จับเวลาว่าอยากได้ที่ความเข้มข้นระดับไหน มีน้ำตาลกับครีมนมให้เติมด้วยค่ะ จากนั้นก็สั่งเซ็ตขนมค่ะเป็นเค้กช็อกโกแลตลาวากับไอศครีมช็อค รสชาดก็อร่อยดีแต่หวานไปนิดนุง เบ็ดเสร็จราคาถ้าเทียบกับคาเฟ่ระดับนี้ในไทยถือว่าถูกนะ หมดไปคนละ 95,000 ดอง
ร้านน้ำชา Partea
บรรยากาศในร้าน ตกแต่งน่ารักมั้กมาก
อันนี้เป็นแถวถ้วยชาเรียงราย ให้เราเลือกถ้วยได้เองค่ะ เดินไปหยิบได้เลย
เลือกชาจากตรงนี้เป็นขวดๆมีป้ายบอกด้วยว่าเป็นชาอะไร
แถ่มทะแด๊มมม....และนี่ก็ครืออออ เซตมโหรฬารบานตะไทของการกินชาแบบผู้ดี (มั้ง)
นั่งชมวิวด้านล่างได้ด้วยเด้อ
นี่เป็นเค้กชอคโกแลตลาวาาาา เยิ้มอุ่นๆเลย หวานไปหน่อยค่ะสำหรับเรา
เมื่ออิ่มหนำแล้วเราก็ตระเวณไปที่อื่นต่อ แต่ก็ ผ่ามมม!!!! ฝนตกจ้าาา ดำครึ้มมาเชียว เราเลยต้องนั่งรอสักพักให้ฝนหยุดแล้วค่อยเดินทางต่อไปชมพวกแลนด์มาร์คที่เหลือ เวลาตอนนั้นก็ห้าโมงได้ แล้วเลยไม่มีกะจิตกะใจจะไปไหน แถมฝนก้ตกเปียกกชุ่มไปหมด เราเลยได้แค่เดินไปถ่ายรูปที่โบสถ์กับไปรษณีย์ ก็ไม่มีอะไรมากถ่ายไว้ดูเฉยๆว่าเคยมาที่นี่แล้วนาจา
โบสถ์ Notre-Dame
มีการจารึกชื่อเค้ารักตัวเองนะ ด้วย อะไรงี้....
ร้านขายเซรามิกน่ารักด้านข้างโบสถ์
ที่ทำการไปรษณีย์ที่ไม่เหมือนที่ทำการไปรษณีย์
มีปลาหมึกบดขายด้วย อร่อยยยย
สวนหน้าไปรษณีย์ ร่มรื่นดีย์
มะพร้าวสดจ้าาาา ตอนแรกถามคนขายมันบอกว่าลูกละร้อยบาท ป้าดดด พร่องเถอะ ต่อไปต่อมาเหลือสามสิบบาท เออเอาก้ได้วะ แต่มันไม่ยอมเฉาะเนื้อให้กินนะ ดู๊ดูมันทำ
ที่ทำการหรือวังอะไรสักอย่างไม่รู้ เดินผ่านแล้วสถาปัตยกรรมดูสวยดี
จากนั้นก็เดินกลับไปที่ทัวร์ค่ะ เตรียมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเหนียวตัวมั้กมาก เหงื่อย้อยจั๊กกะแร้เหม็นเปรี้ยวสุด ดีนะคะที่บริษัททัวร์มีห้องน้ำให้อาบ อ้อ ลืมบอกไปละแวกนั้นจะมีเวียดซีอยู่หลายที่ ที่เราซื้อจะไม่มีห้องอาบน้ำเลยต้องขนสัมมะโนครัวย้ายไปเวียดซีที่อยู่ใต้โรงแรม Kim Khoi Hotel ซึ่งจะมีห้องอาบน้ำให้ (มีห้องเดียวนาจา) ที่นี่เราเจอคนไทยเยอะเลย พออาบน้ำเสร็จ สดชื่นได้สักพักเหงื่อก็ไหลไคลก็ย้อยอยู่ดีเพราะอากาศที่นี่ร้อนอบอ้าวมาก จึงออกไปหาของกินรับลมข้างนอกดีกว่า แวะแฟมิลี่มาร์ทหาขนมกินเพราะเราเป็นสายขนม ได้ของจุกจิกมาเพียบเป็นหมากฝรั่งกับพุดดิ้งช็อคโกแลต เออ อร่อยดีแหะ
มีสเลอปี้ด้วย สายรุ้งหวานเจี๊ยบจนต้องซื้อน้ำมากินต่อ เห้ออออ
และตรงข้าม Kim Khoi Hotel ก็จะมีเหมือนแหล่งอาหารเป็นฟู้ดคอร์ท เราเลยไปกินกันที่นั่นค่ะ เข้าไปแล้วแบบ อื้มหืมมมมม ตระการตาจริงๆ ตาลายกับอาหารมากกกก...เยอะแยะเลือกไม่ถวดเลยทีเดียว แต่เราไปเตะตาเหมือนเป็นหม้อไฟต้มๆค่ะ เลยสั่งมากิน ก็จะมีเป็นชุดเช็ตให้เลือก ชุดเนื้อ ทะเล ชุดหมู อะไรเทือกนี้แล้วขนมาเป็นเรือเลยจ้าาาา น้ำซุปรดชาดกลมกล่อมใช้ได้เปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดครบรส แล้วทีนี้ไม่อิ่มค่ะ พี่เค้าเลยไปจัด ขนมเบื้องยักษ์มา ตู้หู้วววววว ใหญ่ระเบิดระเบ้อใหญ่ไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม เส้นผ่าศก.เท่ากับถาดสังกะสีบ้านเราเชียวหละค่ะ ส่วนไส้ข้างใน จะเป็นหมูกับกุ้งผัดถั่วงอก แล้วมีน้ำจิ้มเปรี้ยวๆหวานๆราดพร้อมกับมีแยกให้จิ้มต่างหาก ส่วนผักเครื่องเคียงนั้นก็มาเป็นถาดเบ้อเริ่ม ขนาดหน้าเราใหญ่ แล้วนะใบผักนั้นใหญ่กว่าคูณสองไปอีกแจ้ สรุปว่ามื้อนั้นหมดไป 200,000 ดอง อิ่มจุกอกมากฮะ