เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นขนาดยาวที่เขียนไว้นานมากแล้ว ลองย้อนกลับไปดูตอนที่เขียนเรื่องผักกาดกับพี่ปริ๊นซ์ ผ่านมา 7 ปีได้ค่ะ แต่เชื่อว่าเพื่อนร่วมรุ่นในบอร์ดน่าจะเคยได้เห็นนะคะ
ตอนนั้นกำลังฝึกเขียนเรื่องน้ำเน่าอยู่ (ผลงานก่อนหน้าเรื่องนี้เขียนออกมาอย่างกับสารคดี) โจทย์ที่ได้มาคือ เอาให้เน่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เต็มความสามารถที่สุดแล้วก็ได้เรื่องนี้ออกมานี่แหละค่ะ ถ้าลองค้นหากระทู้เก่าก็ยังอยู่นะ แต่เอามาแปะใหม่ดีกว่า อย่างน้อยมีได้ปัดฝุ่นบ้างอะไรบ้าง จะได้ดูอนาถน้อยลงหน่อย ^^"
ปล. ค้างเรื่องสืบสวนสุขสันต์ "โครงกระดูกในตู้เสื้อผ้า" ไว้นานมาก วางไปนานห้าปีแล้วมั้ง ตอนนี้ (พยายาม) หยิบขึ้นเขียนต่อให้ได้ค่ะ หวังว่าขุดชุดนิทานมาแปะในห้อง จะสามารถเขียนเรื่องนี้ได้จบทันเวลามาแปะต่อ (ได้แต่หวัง...ชะเอิงเอย) เคยโฆษณาไว้ว่างี้ เลยไปเอากลับมาแปะอีกรอบ บังคับตัวเองไปในตัวว่าให้เอาให้จบให้ได้ ^^"
งวดนี้พี่ชายคนโตของบ้านสุขสันต์ได้รับมอบหมายให้ลงไปทางภาคใต้เพื่อตามหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งหายสาบสูญไปค่ะ สามีของเธอเป็นผู้ว่าจ้างให้ตามหาตัวเธอโดยที่มีการแจ้งความแล้ว แต่ผลการติดตามยังไปไม่ถึงไหน ข้อมูลที่ทราบล่าสุดก็คือ เธอไปเที่ยวที่เกาะส่วนตัวแห่งหนึ่งในชายฝั่งอันดามันในหน้าพายุ ที่นั่นเปิดเป็นโรงแรมซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นนับตั้งแต่เมื่อสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะจบลง แล้วหลังจากนั้นก็หายตัวไป ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
แต่สิ่งที่ภูเก็ตได้รับทราบเพิ่มเติมจากสุรินทร์ในภายหลังก็คือ ผู้หญิงที่หายสาบสูญไปคนนี้ได้ทำประกันชีวิตเป็นเงินจำนวนมหาศาลเสียด้วยสิ
พบกับการสืบสวนของภูเก็ตได้ใน "สืบสวนสุขสันต์ ตอน โครงกระดูกในตู้เสื้อผ้า" นะคะ
คำโปรยสืบสวนมาก คนละเรื่องกับแผนลับราพันเซลเลยแฮะ (-__- ")a
เอาเป็นว่า เอาคำโปรยของเรื่องนี้มาคั่นแล้วกันนะคะ จะได้ไม่งงกับโทนเรื่อง
คำโปรยของแผนลับราพันเซล
นี่ฉันชิลล์ไปหรือนี่...
หนูดีเพื่อนสนิทของฉันแทบเต้นเมื่อรู้ว่าพี่ชายสุดที่รักมีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกถึงที่ด้วยข้ออ้างอย่างดี แล้วก็เลยมาลงกับฉัน ค่าที่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างให้พี่ชายของตัวเองหันมาหลงรักฉันเสียที
ใช่ว่าฉันไม่อยากทำอะไรนี่คะ แต่ฉันกับพี่ชายของหนูดีช่างต่างกันเหลือเกิน ฉันทำได้แค่เพียงแอบมองเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้นแหละ จนกระทั่งหนูดีอดรนทนไม่ไหว ต้องงัด 'ปฏิบัติการราพันเซล' ขึ้นมาใช้
แผนลับราพันเซลของหนูดีเป็นอย่างไร...ฉันชักร้อนๆ หนาวๆ เสียแล้วล่ะค่ะ
==============================================
บทที่ 1
“ผักกาดจะปล่อยเรื่องพี่ปรินซ์ให้เป็นไปตามยถากรรมอย่างนี้จริงๆ หรือ!”
“หา”
ฉันเงยหน้าขึ้นจากเกมมือถือที่กำลังเล่นฆ่าเวลาเรียนคาบถัดไปบนโต๊ะม้าหินที่มีหนังสือ และเอกสารประกอบการเรียนเย็บเล่มสวยงามวางอยู่ รอบๆ ข้างมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยส่งเสียงจอแจคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปจนถึงเรื่องการบ้านและรายงาน
เมื่อเสียงกรุ๋งกริ๋งดังจากมือถือในมือของฉันติดต่อกันหลายครั้ง สายตาของฉันหันไปจับภาพหน้าจอด้วยอาการลุ้นระทึกว่าเจ้าก้อนกลมสีเงินนั้นจะกลิ้งไปตกที่ตัวเลขไหนบนจานหมุนที่หน้าตาเหมือนจานบินในโทรทัศน์ ด้านข้างมีตัวเลขสีขาวบนพื้นดำแดงโดยไม่สนใจเพื่อนที่ทำหน้าร้อนรนอยู่
กริ๊ก!
“ว้า! สิบสาม...เลขคี่ เสียเลย!”
“เอาแต่เล่นเกมรูเล็ตอยู่ได้ เกิดเรื่องแล้วรู้ไหม” เจ้าของเสียงหวานนั่นวางหนังสือนิยายกับหนังสือเรียนลงกลางโต๊ะ ร่างเล็กของเจ้าตัวนั่งลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ผมหางม้าแทบกระจาย ใบหน้าอิ่มนวลนั้นไม่สบอารมณ์ ดวงตากลมจ้องเขม็งที่หน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวของฉัน
“เป็นอะไรไปน่ะหนูดี เกิดอะไร” ฉันถามเพื่อนด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เห็นได้ง่ายนักจากหญิงสาวผู้แสนอารมณ์ดีอยู่เป็นประจำอย่างปรียานุช
ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่านะ ก็มาก่อนเวลานัดนี่นา แถมตอนรอก็แค่เล่นเกมเฉยๆ เอง
“แสดงว่าเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลยสิ” ดวงตากลมโตของเพื่อนกลอกขึ้นฟ้าเหมือนคนต้องการเห็นผมหน้าม้าของตัวเองให้ได้ “ผักกาดไม่รู้อะไร ตอนนี้มีลูกค้าคนใหม่ของพี่ปรินซ์มาทำตาหวานใส่เกือบทุกวันน่ะสิ”
“หือ! อะไรนะหนูดี”
“สนใจได้แล้วล่ะสิ ผักกาดชอบแกล้งทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวก็ได้หลุดลอยกันพอดี” หนูดีเอ่ยคล้ายจะประชดแต่เพื่อนฉันไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะฉะนั้น นั่นคือคำพูดร้อนรนเป็นห่วงจากใจของเธอที่สุด “นี่หนูดีก็ไม่รู้มาก่อนนะจนเมื่อเช้านี้แวะไปไดร์ผมที่ร้านถึงได้รู้ พี่ต๋อมมากระซิบให้ฟัง”
“แล้วพี่ต๋อมว่าไงอีก” คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายรบเร้าแทน ก็เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้ทำเหนียมๆ ได้ที่ไหนกันจริงไหมคะ
“บอกว่าผู้หญิงคนนั้นสวยมาก” หนูดีทำเสียงลากยาว “ชอบมาที่ร้านสระไดร์ แถมเจาะจงเฉพาะพี่ปรินซ์ด้วยนะ พี่ต๋อมจะชิงตัดหน้าก็ไม่ยอมเรียกหาแต่พี่ชายหนูดีนี่สิ”
“สวยด้วยเหรอ...” เสียงฉันฟังดูสิ้นหวังจนขนาดตัวเองยังรู้สึก
ใบหน้ากลมใสของเพื่อนชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจี้กลางใจดำของฉันเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว รีบอธิบายใหญ่ “จริงๆ สวยในสายตาพี่ต๋อมก็คงงั้นๆ แหละ มาตรฐานพี่ต๋อมไม่สูงอยู่แล้ว ถ้าพี่ต๋อมพูดว่าไม่สวยนี่สิ แสดงว่าต้องเข้าขั้นอัปลักษณ์เลย”
เป็นงั้นไป เลยกลายเป็นว่าสายตาพี่ต๋อมเชื่อถือไม่ได้เสียอย่างนั้น แต่ก็นะ...ยิ่งพยายามอธิบายยิ่งไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยนะหนูดี
จริงอยู่ที่ฉันไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ก็เป็นแค่สาวหน้า หมวยที่ไม่ได้สวยเหมือนจางซี่อี้ หน้าแบบพื้นๆ เกลี้ยงๆ จืดๆ ไร้รอยสะดุดตา หุ่นหรือก็ไม่ได้ตู้มแบบแองเจลิน่า โจลี มันสมองก็ไม่ได้อัจฉริยะสร้างได้แบบวาริษา เรซ ฉันได้แต่ก้มลงมองสำรวจตัวเองภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดอย่างระทดท้อ
หากมีอะไรที่พอไปวัดไปวาได้ก็คงงัดออกมาใช้ล่อตาล่อใจพี่ชายเพื่อนที่ตัวเองแอบเฝ้าฝันถึงมาเป็นปีๆ ไปแล้วล่ะค่ะ แต่นี่ไม่มีอะไรเลย ก็ทำได้แค่เจียมเนื้อเจียมตัว เวลาไปบ้านเพื่อนก็ได้แต่คุยเรื่องสัพเพเหระกลบเกลื่อนไม่ให้พี่เขารู้ความในใจ สถานการณ์นั้นว่าแย่ แต่ยิ่งแย่หนักไปอีกก็ตอนเขาเริ่มเปิดร้านเป็นของตัวเอง แทบจะทำงานเจ็ดวันต่อสัปดาห์แบบนี้ เราสองคนก็ยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ พอได้ยินเรื่องสาวๆ ที่ทำท่ามาปิ๊งเขาเข้าหน่อยก็ได้แต่เฉาทำอะไรไม่ได้เพราะสองตาเขาก็ไม่เห็นแลเพื่อนน้องสาวคนนี้เอาบ้างเสียเลย
แอบรักข้างเดียวข้าวเหนียวปิ้งอย่างนี้มันสุดยอดของความแย่จริงๆ นะคะ
“หนูดีว่าผักกาดนอนใจไม่ได้แล้วนะ ต้องรีบรุกแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นจะต้องโดนใครคว้าไปแน่เลย” หนูดีเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ถ้าผู้หญิงที่กรีดกรายเข้าร้านทำผมอยู่ได้อย่างนั้น หนูดีไม่อยากได้มาเป็นพี่สะใภ้หรอกนะ”
ฉันมองหน้าเพื่อนแล้วก็ได้แต่ทำหน้าหงอย ถอนใจยาว
“แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะ”
“จะยากอะไร” คนพูดทำหน้ายิ้มกริ่ม แก้มอิ่มนั่นปริออกน่ามอง “ก็ผักกาดอุตส่าห์มีผมยาวสวยๆ ทั้งที ก็ใช้ประโยชน์เสียหน่อยเป็นไร ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นใช้ข้ออ้างเรื่องทำผมกับพี่ปรินซ์ได้ แล้วทำไมผักกาดจะทำไม่ได้”
“อ้าว! ก็ไหนบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงเข้าร้านทำผมไม่ใช่หรือ” ฉันอดเย้าเพื่อนไม่ได้
ฉันลืมบอกไปอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งเดียวที่เชิดหน้าชูตาได้ในตัวฉันก็คงจะเป็นผมยาวตรงจนจรดกลางหลัง ดำมันเป็นประกายระยับเมื่อต้องแสงแดด และไม่เคยผ่านการย้อมสี หากไปอยู่ในที่มืดคงเหมือนซาดาโกะในเรื่อง เดอะริงก์ ไม่ผิดเพี้ยน
แต่ที่ไม่ได้บอกไว้ตั้งแต่แรกเพราะมันไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามายกยอตัวเองหรอกค่ะ ก็พวกหนุ่มๆ แต่ละคนที่เห็นผมของฉัน ประกายตาพวกเขาเจิดจรัสด้วยความหวังเรืองรอง แต่แสงนั่นก็ดับวูบลงทันทีเมื่อเห็นหน้าตาของฉัน เรียกได้ว่าทำหน้าเฉาให้เห็นแบบไม่คิดจะเกรงใจกันสักนิด
ย่ำศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงกันชัดๆ เลยใช่ไหมคะ
เถอะค่ะ! ฉันก็ไม่สนพวกเขาเหมือนกัน ฉันสนแต่พี่ปรินซ์คนเดียวเท่านั้นหรอก!
“ไม่ใช่อย่างนั้นสิ ยังจะทำเป็นเล่นอีก” ตากลมโตของเพื่อนค้อนใส่ “ผักกาดไปที่ร้านไม่ใช่เพราะสำรวยเสียหน่อย มันเป็นกลยุทธ์ต่างหากจ้ะ หนูดีจะเรียกมันว่า ‘ปฏิบัติการราพันเซล’ ได้อ่านเมื่อคืนพอดี พอได้ยินพี่ต๋อมพูดปุ๊ป ก็ปิ๊งวิธีนี้ขึ้นมาได้เชียวนะ” หนูดีทำท่าเป็นปลื้มสุดขีดที่คิดแผนนี้ได้โดยไม่สนคนฟังอย่างฉันที่นั่งทำตาปริบๆ เลย
อ้อ...นี่คือที่มานี่เอง
เรื่องความช่างฝันของเพื่อนสาวเป็นเรื่องประจักษ์แก่ใจอยู่แล้ว แม้ว่าฉันกับเพื่อนเริ่มสนิทกันตอนขึ้นปีหนึ่งก็ตามที หนูดีเป็นแบบฉบับครบเครื่องของสาวลูกคุณหนูที่แสนจะเรียบร้อย เรียนเก่งจนน่ากลัว เป็นหนอนหนังสือตัวเอ้พ่วงด้วยตำแหน่งจอมเพ้อฝันดีกรีระดับเทพ
ถ้าจำไม่ผิด ราพันเซลที่เพื่อนพูดถึงคือ เทพนิยายที่มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ข้างๆ แปลงปลูกผักของแม่มด ตัวฝ่ายภรรยากำลังท้องแล้วอยากกินผักในแปลงนั้น ตัวสามีก็เลยไปขโมยมาแล้วถูกจับได้ แม่มดเลยขอลูกที่จะเกิดไปเลี้ยงแล้วให้ชื่อว่าราพันเซล พอเด็กสาวโตขึ้นก็จับไปไว้บนหอคอย เวลาแม่มดมาหาก็ให้เธอปล่อยผมเปียแสนยาวลงมา แล้วแม่มดก็ไต่ขึ้นไป
วันหนึ่งเจ้าชายแคว้นหนึ่งผ่านมาได้ยินเสียงร้องเพลงของ ราพันเซลจึงสนใจ แต่หาทางขึ้นบนหอคอยไม่ได้ จนได้พบวิธีเมื่อเห็นแม่มดมาหาเธอ พอแม่มดกลับไปเจ้าชายก็บอกให้ราพันเซลปล่อยผมเธอลงมา เธอนึกว่าเป็นแม่มดก็เลยยอมปล่อยผมลงมา แล้วก็พบว่าเป็นเจ้าชาย ทั้งคู่คุยกันบ่อยๆ จนแม่มดจับได้
แต่เรื่องเป็นอย่างไรต่อไม่รู้ ฉันจำไม่ได้ค่ะ รู้แต่ว่าสุดท้ายทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
แต่นี่มันเทพนิยายไม่ใช่หรือคะ หนูดีคิดอะไรเนี่ย!
ฉันมองหน้าเพื่อน ใบหน้ากลมใสปากนิดจมูกหน่อยของเพื่อนกับดวงตาพริบพราวราวดาวจรัสแสงคล้ายหลุดลอยไปในห้วงมหรรณพล่วงไปถึงป่าหิมพานต์แบบกู่ไม่กลับเสียแล้ว กระนั้นฉันก็ยังทำร้ายจิตใจสาวช่างฝันอย่างหนูดีไม่ลง จึงเลี่ยงบาลีกับเพื่อนอย่างถนอมน้ำใจสุดขีดโดยการส่ายหน้าหวือ
“มันจะดีหรือ ร้านพี่ปรินซ์แพงจะแย่”
“เดี๋ยวหนูดีบอกพี่ปรินซ์ให้ลดราคาพิเศษให้ก็ได้” คนถือสิทธิ์น้องสาวช่วยหาทางออกให้ “แกล้งบอกว่าผักกาดกำลังอินเลิฟกับหนุ่มคนหนึ่งแล้วเลยอยากทำสวยอะไรแบบนั้น”
“อ้าว! อย่างนี้ก็ปิ๋วกันตั้งแต่เริ่มกันพอดีน่ะสิ” ฉันอดแย้งไม่ได้ เหตุผลมันขัดแย้งกับการกระทำนี่นา
แก้มนวลกลมของหนูดียิ่งปริมากขึ้นกว่าเดิมตามมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเหมือนแม่มดในเทพนิยายไม่มีผิด “ก็เอาไว้ลองใจพี่ชายก่อนเป็นด่านแรกไงว่ารู้สึกยังไง ถ้าเผื่อพี่ปรินซ์ชอบผักกาดบ้างก็น่าจะมีอะไรผิดปกติให้เห็น รับรองเลยว่าหนูดีจะจ้องตอนที่บอกแบบไม่กะพริบตาเลย แล้วจะเก็บทุกเม็ดมาเล่าให้ผักกาดฟังด้วย”
ฉันยังคงพูดไม่ออก
“น่า...” อีกฝ่ายยังรบเร้าไม่เลิก “ผักกาดก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่นา อ้อ...เสียตังค์นิดหน่อย แต่มันก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่านะลองคิดดูสิ...” เอ่อ...หนูดีน่าจะเป็นตัวอย่างเซลส์ขายเครื่องกรองน้ำฝีมือฉกาจนะ “ต่อให้พี่ปรินซ์เฉยๆ ผักกาดก็ไม่เสียหน้าเพราะหนูดีก็บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าผักกาดชอบคนอื่นอยู่ ไม่ชอบก็แล้วไป แต่ถ้าชอบขึ้นมานี่สิ ผักกาดก็เฉลยทีหลัง ก็ไม่เห็นเป็นไร โรแมนติกดีออก”
ฉันยังคงนิ่งปล่อยให้เพื่อนกล่อมต่อไปราวกับโดนมอมยาให้เริ่มเคลิ้มฝันตามไปด้วยอีกคน
“แล้วก็นะ ได้ไปสอดแนมผู้หญิงคนนั้นด้วยว่าเป็นไง ถ้าเห็นท่าไม่ดี จะได้แกล้งขัดขวางได้ แล้วยังได้เจอหน้าพี่ปรินซ์บ่อยเท่าที่ต้องการ เผลอๆ ได้เห็นหน้ากันบ่อยเข้า พี่ปรินซ์อาจใจเอนเอียงมาทางผักกาดก็ได้นะ แถมพี่เขาได้จับผมอีกต่างหาก มือพี่ปรินซ์นุ่มออก เห็นไหม คุ้มจะตาย!”
อืม...มันก็จริงอย่างที่เพื่อนว่าเหมือนกันแฮะ ได้ไปสอดแนมว่าที่ศัตรูหัวใจ แถมได้เจอพี่แกแบบไม่ต้องอ้างไปบ้านเพื่อนตลอดจนเกรงใจพ่อแม่หนูดีจะแย่ มันก็ไม่เลวนะ...
และเหนือสิ่งอื่นใด พี่ปรินซ์จะจับผมฉันด้วย! กะ..รี้ดดดดดดดดดดด!
“นะ ตกลงนะ” ดวงตายิบหยีของเพื่อนเป็นประกายอย่างคาดหวัง ฉันมองหน้าเพื่อนแล้วจับผมยาวของตนเอง มองแล้วกลับไปมองหน้าเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง
เนื้อฉันเต้นขนาดนี้ คิดว่าคำตอบของฉันจะเป็นแบบไหนกันละคะ!
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : แผนลับราพันเซล บทที่ 1
ตอนนั้นกำลังฝึกเขียนเรื่องน้ำเน่าอยู่ (ผลงานก่อนหน้าเรื่องนี้เขียนออกมาอย่างกับสารคดี) โจทย์ที่ได้มาคือ เอาให้เน่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เต็มความสามารถที่สุดแล้วก็ได้เรื่องนี้ออกมานี่แหละค่ะ ถ้าลองค้นหากระทู้เก่าก็ยังอยู่นะ แต่เอามาแปะใหม่ดีกว่า อย่างน้อยมีได้ปัดฝุ่นบ้างอะไรบ้าง จะได้ดูอนาถน้อยลงหน่อย ^^"
ปล. ค้างเรื่องสืบสวนสุขสันต์ "โครงกระดูกในตู้เสื้อผ้า" ไว้นานมาก วางไปนานห้าปีแล้วมั้ง ตอนนี้ (พยายาม) หยิบขึ้นเขียนต่อให้ได้ค่ะ หวังว่าขุดชุดนิทานมาแปะในห้อง จะสามารถเขียนเรื่องนี้ได้จบทันเวลามาแปะต่อ (ได้แต่หวัง...ชะเอิงเอย) เคยโฆษณาไว้ว่างี้ เลยไปเอากลับมาแปะอีกรอบ บังคับตัวเองไปในตัวว่าให้เอาให้จบให้ได้ ^^"
งวดนี้พี่ชายคนโตของบ้านสุขสันต์ได้รับมอบหมายให้ลงไปทางภาคใต้เพื่อตามหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งหายสาบสูญไปค่ะ สามีของเธอเป็นผู้ว่าจ้างให้ตามหาตัวเธอโดยที่มีการแจ้งความแล้ว แต่ผลการติดตามยังไปไม่ถึงไหน ข้อมูลที่ทราบล่าสุดก็คือ เธอไปเที่ยวที่เกาะส่วนตัวแห่งหนึ่งในชายฝั่งอันดามันในหน้าพายุ ที่นั่นเปิดเป็นโรงแรมซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นนับตั้งแต่เมื่อสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะจบลง แล้วหลังจากนั้นก็หายตัวไป ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
แต่สิ่งที่ภูเก็ตได้รับทราบเพิ่มเติมจากสุรินทร์ในภายหลังก็คือ ผู้หญิงที่หายสาบสูญไปคนนี้ได้ทำประกันชีวิตเป็นเงินจำนวนมหาศาลเสียด้วยสิ
พบกับการสืบสวนของภูเก็ตได้ใน "สืบสวนสุขสันต์ ตอน โครงกระดูกในตู้เสื้อผ้า" นะคะ
คำโปรยสืบสวนมาก คนละเรื่องกับแผนลับราพันเซลเลยแฮะ (-__- ")a
เอาเป็นว่า เอาคำโปรยของเรื่องนี้มาคั่นแล้วกันนะคะ จะได้ไม่งงกับโทนเรื่อง
คำโปรยของแผนลับราพันเซล
นี่ฉันชิลล์ไปหรือนี่...
หนูดีเพื่อนสนิทของฉันแทบเต้นเมื่อรู้ว่าพี่ชายสุดที่รักมีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกถึงที่ด้วยข้ออ้างอย่างดี แล้วก็เลยมาลงกับฉัน ค่าที่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างให้พี่ชายของตัวเองหันมาหลงรักฉันเสียที
ใช่ว่าฉันไม่อยากทำอะไรนี่คะ แต่ฉันกับพี่ชายของหนูดีช่างต่างกันเหลือเกิน ฉันทำได้แค่เพียงแอบมองเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้นแหละ จนกระทั่งหนูดีอดรนทนไม่ไหว ต้องงัด 'ปฏิบัติการราพันเซล' ขึ้นมาใช้
แผนลับราพันเซลของหนูดีเป็นอย่างไร...ฉันชักร้อนๆ หนาวๆ เสียแล้วล่ะค่ะ
==============================================
บทที่ 1
“ผักกาดจะปล่อยเรื่องพี่ปรินซ์ให้เป็นไปตามยถากรรมอย่างนี้จริงๆ หรือ!”
“หา”
ฉันเงยหน้าขึ้นจากเกมมือถือที่กำลังเล่นฆ่าเวลาเรียนคาบถัดไปบนโต๊ะม้าหินที่มีหนังสือ และเอกสารประกอบการเรียนเย็บเล่มสวยงามวางอยู่ รอบๆ ข้างมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยส่งเสียงจอแจคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปจนถึงเรื่องการบ้านและรายงาน
เมื่อเสียงกรุ๋งกริ๋งดังจากมือถือในมือของฉันติดต่อกันหลายครั้ง สายตาของฉันหันไปจับภาพหน้าจอด้วยอาการลุ้นระทึกว่าเจ้าก้อนกลมสีเงินนั้นจะกลิ้งไปตกที่ตัวเลขไหนบนจานหมุนที่หน้าตาเหมือนจานบินในโทรทัศน์ ด้านข้างมีตัวเลขสีขาวบนพื้นดำแดงโดยไม่สนใจเพื่อนที่ทำหน้าร้อนรนอยู่
กริ๊ก!
“ว้า! สิบสาม...เลขคี่ เสียเลย!”
“เอาแต่เล่นเกมรูเล็ตอยู่ได้ เกิดเรื่องแล้วรู้ไหม” เจ้าของเสียงหวานนั่นวางหนังสือนิยายกับหนังสือเรียนลงกลางโต๊ะ ร่างเล็กของเจ้าตัวนั่งลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ผมหางม้าแทบกระจาย ใบหน้าอิ่มนวลนั้นไม่สบอารมณ์ ดวงตากลมจ้องเขม็งที่หน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวของฉัน
“เป็นอะไรไปน่ะหนูดี เกิดอะไร” ฉันถามเพื่อนด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เห็นได้ง่ายนักจากหญิงสาวผู้แสนอารมณ์ดีอยู่เป็นประจำอย่างปรียานุช
ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่านะ ก็มาก่อนเวลานัดนี่นา แถมตอนรอก็แค่เล่นเกมเฉยๆ เอง
“แสดงว่าเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลยสิ” ดวงตากลมโตของเพื่อนกลอกขึ้นฟ้าเหมือนคนต้องการเห็นผมหน้าม้าของตัวเองให้ได้ “ผักกาดไม่รู้อะไร ตอนนี้มีลูกค้าคนใหม่ของพี่ปรินซ์มาทำตาหวานใส่เกือบทุกวันน่ะสิ”
“หือ! อะไรนะหนูดี”
“สนใจได้แล้วล่ะสิ ผักกาดชอบแกล้งทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวก็ได้หลุดลอยกันพอดี” หนูดีเอ่ยคล้ายจะประชดแต่เพื่อนฉันไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะฉะนั้น นั่นคือคำพูดร้อนรนเป็นห่วงจากใจของเธอที่สุด “นี่หนูดีก็ไม่รู้มาก่อนนะจนเมื่อเช้านี้แวะไปไดร์ผมที่ร้านถึงได้รู้ พี่ต๋อมมากระซิบให้ฟัง”
“แล้วพี่ต๋อมว่าไงอีก” คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายรบเร้าแทน ก็เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้ทำเหนียมๆ ได้ที่ไหนกันจริงไหมคะ
“บอกว่าผู้หญิงคนนั้นสวยมาก” หนูดีทำเสียงลากยาว “ชอบมาที่ร้านสระไดร์ แถมเจาะจงเฉพาะพี่ปรินซ์ด้วยนะ พี่ต๋อมจะชิงตัดหน้าก็ไม่ยอมเรียกหาแต่พี่ชายหนูดีนี่สิ”
“สวยด้วยเหรอ...” เสียงฉันฟังดูสิ้นหวังจนขนาดตัวเองยังรู้สึก
ใบหน้ากลมใสของเพื่อนชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจี้กลางใจดำของฉันเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว รีบอธิบายใหญ่ “จริงๆ สวยในสายตาพี่ต๋อมก็คงงั้นๆ แหละ มาตรฐานพี่ต๋อมไม่สูงอยู่แล้ว ถ้าพี่ต๋อมพูดว่าไม่สวยนี่สิ แสดงว่าต้องเข้าขั้นอัปลักษณ์เลย”
เป็นงั้นไป เลยกลายเป็นว่าสายตาพี่ต๋อมเชื่อถือไม่ได้เสียอย่างนั้น แต่ก็นะ...ยิ่งพยายามอธิบายยิ่งไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยนะหนูดี
จริงอยู่ที่ฉันไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ก็เป็นแค่สาวหน้า หมวยที่ไม่ได้สวยเหมือนจางซี่อี้ หน้าแบบพื้นๆ เกลี้ยงๆ จืดๆ ไร้รอยสะดุดตา หุ่นหรือก็ไม่ได้ตู้มแบบแองเจลิน่า โจลี มันสมองก็ไม่ได้อัจฉริยะสร้างได้แบบวาริษา เรซ ฉันได้แต่ก้มลงมองสำรวจตัวเองภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดอย่างระทดท้อ
หากมีอะไรที่พอไปวัดไปวาได้ก็คงงัดออกมาใช้ล่อตาล่อใจพี่ชายเพื่อนที่ตัวเองแอบเฝ้าฝันถึงมาเป็นปีๆ ไปแล้วล่ะค่ะ แต่นี่ไม่มีอะไรเลย ก็ทำได้แค่เจียมเนื้อเจียมตัว เวลาไปบ้านเพื่อนก็ได้แต่คุยเรื่องสัพเพเหระกลบเกลื่อนไม่ให้พี่เขารู้ความในใจ สถานการณ์นั้นว่าแย่ แต่ยิ่งแย่หนักไปอีกก็ตอนเขาเริ่มเปิดร้านเป็นของตัวเอง แทบจะทำงานเจ็ดวันต่อสัปดาห์แบบนี้ เราสองคนก็ยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ พอได้ยินเรื่องสาวๆ ที่ทำท่ามาปิ๊งเขาเข้าหน่อยก็ได้แต่เฉาทำอะไรไม่ได้เพราะสองตาเขาก็ไม่เห็นแลเพื่อนน้องสาวคนนี้เอาบ้างเสียเลย
แอบรักข้างเดียวข้าวเหนียวปิ้งอย่างนี้มันสุดยอดของความแย่จริงๆ นะคะ
“หนูดีว่าผักกาดนอนใจไม่ได้แล้วนะ ต้องรีบรุกแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นจะต้องโดนใครคว้าไปแน่เลย” หนูดีเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ถ้าผู้หญิงที่กรีดกรายเข้าร้านทำผมอยู่ได้อย่างนั้น หนูดีไม่อยากได้มาเป็นพี่สะใภ้หรอกนะ”
ฉันมองหน้าเพื่อนแล้วก็ได้แต่ทำหน้าหงอย ถอนใจยาว
“แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะ”
“จะยากอะไร” คนพูดทำหน้ายิ้มกริ่ม แก้มอิ่มนั่นปริออกน่ามอง “ก็ผักกาดอุตส่าห์มีผมยาวสวยๆ ทั้งที ก็ใช้ประโยชน์เสียหน่อยเป็นไร ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นใช้ข้ออ้างเรื่องทำผมกับพี่ปรินซ์ได้ แล้วทำไมผักกาดจะทำไม่ได้”
“อ้าว! ก็ไหนบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงเข้าร้านทำผมไม่ใช่หรือ” ฉันอดเย้าเพื่อนไม่ได้
ฉันลืมบอกไปอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งเดียวที่เชิดหน้าชูตาได้ในตัวฉันก็คงจะเป็นผมยาวตรงจนจรดกลางหลัง ดำมันเป็นประกายระยับเมื่อต้องแสงแดด และไม่เคยผ่านการย้อมสี หากไปอยู่ในที่มืดคงเหมือนซาดาโกะในเรื่อง เดอะริงก์ ไม่ผิดเพี้ยน
แต่ที่ไม่ได้บอกไว้ตั้งแต่แรกเพราะมันไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามายกยอตัวเองหรอกค่ะ ก็พวกหนุ่มๆ แต่ละคนที่เห็นผมของฉัน ประกายตาพวกเขาเจิดจรัสด้วยความหวังเรืองรอง แต่แสงนั่นก็ดับวูบลงทันทีเมื่อเห็นหน้าตาของฉัน เรียกได้ว่าทำหน้าเฉาให้เห็นแบบไม่คิดจะเกรงใจกันสักนิด
ย่ำศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงกันชัดๆ เลยใช่ไหมคะ
เถอะค่ะ! ฉันก็ไม่สนพวกเขาเหมือนกัน ฉันสนแต่พี่ปรินซ์คนเดียวเท่านั้นหรอก!
“ไม่ใช่อย่างนั้นสิ ยังจะทำเป็นเล่นอีก” ตากลมโตของเพื่อนค้อนใส่ “ผักกาดไปที่ร้านไม่ใช่เพราะสำรวยเสียหน่อย มันเป็นกลยุทธ์ต่างหากจ้ะ หนูดีจะเรียกมันว่า ‘ปฏิบัติการราพันเซล’ ได้อ่านเมื่อคืนพอดี พอได้ยินพี่ต๋อมพูดปุ๊ป ก็ปิ๊งวิธีนี้ขึ้นมาได้เชียวนะ” หนูดีทำท่าเป็นปลื้มสุดขีดที่คิดแผนนี้ได้โดยไม่สนคนฟังอย่างฉันที่นั่งทำตาปริบๆ เลย
อ้อ...นี่คือที่มานี่เอง
เรื่องความช่างฝันของเพื่อนสาวเป็นเรื่องประจักษ์แก่ใจอยู่แล้ว แม้ว่าฉันกับเพื่อนเริ่มสนิทกันตอนขึ้นปีหนึ่งก็ตามที หนูดีเป็นแบบฉบับครบเครื่องของสาวลูกคุณหนูที่แสนจะเรียบร้อย เรียนเก่งจนน่ากลัว เป็นหนอนหนังสือตัวเอ้พ่วงด้วยตำแหน่งจอมเพ้อฝันดีกรีระดับเทพ
ถ้าจำไม่ผิด ราพันเซลที่เพื่อนพูดถึงคือ เทพนิยายที่มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ข้างๆ แปลงปลูกผักของแม่มด ตัวฝ่ายภรรยากำลังท้องแล้วอยากกินผักในแปลงนั้น ตัวสามีก็เลยไปขโมยมาแล้วถูกจับได้ แม่มดเลยขอลูกที่จะเกิดไปเลี้ยงแล้วให้ชื่อว่าราพันเซล พอเด็กสาวโตขึ้นก็จับไปไว้บนหอคอย เวลาแม่มดมาหาก็ให้เธอปล่อยผมเปียแสนยาวลงมา แล้วแม่มดก็ไต่ขึ้นไป
วันหนึ่งเจ้าชายแคว้นหนึ่งผ่านมาได้ยินเสียงร้องเพลงของ ราพันเซลจึงสนใจ แต่หาทางขึ้นบนหอคอยไม่ได้ จนได้พบวิธีเมื่อเห็นแม่มดมาหาเธอ พอแม่มดกลับไปเจ้าชายก็บอกให้ราพันเซลปล่อยผมเธอลงมา เธอนึกว่าเป็นแม่มดก็เลยยอมปล่อยผมลงมา แล้วก็พบว่าเป็นเจ้าชาย ทั้งคู่คุยกันบ่อยๆ จนแม่มดจับได้
แต่เรื่องเป็นอย่างไรต่อไม่รู้ ฉันจำไม่ได้ค่ะ รู้แต่ว่าสุดท้ายทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
แต่นี่มันเทพนิยายไม่ใช่หรือคะ หนูดีคิดอะไรเนี่ย!
ฉันมองหน้าเพื่อน ใบหน้ากลมใสปากนิดจมูกหน่อยของเพื่อนกับดวงตาพริบพราวราวดาวจรัสแสงคล้ายหลุดลอยไปในห้วงมหรรณพล่วงไปถึงป่าหิมพานต์แบบกู่ไม่กลับเสียแล้ว กระนั้นฉันก็ยังทำร้ายจิตใจสาวช่างฝันอย่างหนูดีไม่ลง จึงเลี่ยงบาลีกับเพื่อนอย่างถนอมน้ำใจสุดขีดโดยการส่ายหน้าหวือ
“มันจะดีหรือ ร้านพี่ปรินซ์แพงจะแย่”
“เดี๋ยวหนูดีบอกพี่ปรินซ์ให้ลดราคาพิเศษให้ก็ได้” คนถือสิทธิ์น้องสาวช่วยหาทางออกให้ “แกล้งบอกว่าผักกาดกำลังอินเลิฟกับหนุ่มคนหนึ่งแล้วเลยอยากทำสวยอะไรแบบนั้น”
“อ้าว! อย่างนี้ก็ปิ๋วกันตั้งแต่เริ่มกันพอดีน่ะสิ” ฉันอดแย้งไม่ได้ เหตุผลมันขัดแย้งกับการกระทำนี่นา
แก้มนวลกลมของหนูดียิ่งปริมากขึ้นกว่าเดิมตามมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเหมือนแม่มดในเทพนิยายไม่มีผิด “ก็เอาไว้ลองใจพี่ชายก่อนเป็นด่านแรกไงว่ารู้สึกยังไง ถ้าเผื่อพี่ปรินซ์ชอบผักกาดบ้างก็น่าจะมีอะไรผิดปกติให้เห็น รับรองเลยว่าหนูดีจะจ้องตอนที่บอกแบบไม่กะพริบตาเลย แล้วจะเก็บทุกเม็ดมาเล่าให้ผักกาดฟังด้วย”
ฉันยังคงพูดไม่ออก
“น่า...” อีกฝ่ายยังรบเร้าไม่เลิก “ผักกาดก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่นา อ้อ...เสียตังค์นิดหน่อย แต่มันก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่านะลองคิดดูสิ...” เอ่อ...หนูดีน่าจะเป็นตัวอย่างเซลส์ขายเครื่องกรองน้ำฝีมือฉกาจนะ “ต่อให้พี่ปรินซ์เฉยๆ ผักกาดก็ไม่เสียหน้าเพราะหนูดีก็บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าผักกาดชอบคนอื่นอยู่ ไม่ชอบก็แล้วไป แต่ถ้าชอบขึ้นมานี่สิ ผักกาดก็เฉลยทีหลัง ก็ไม่เห็นเป็นไร โรแมนติกดีออก”
ฉันยังคงนิ่งปล่อยให้เพื่อนกล่อมต่อไปราวกับโดนมอมยาให้เริ่มเคลิ้มฝันตามไปด้วยอีกคน
“แล้วก็นะ ได้ไปสอดแนมผู้หญิงคนนั้นด้วยว่าเป็นไง ถ้าเห็นท่าไม่ดี จะได้แกล้งขัดขวางได้ แล้วยังได้เจอหน้าพี่ปรินซ์บ่อยเท่าที่ต้องการ เผลอๆ ได้เห็นหน้ากันบ่อยเข้า พี่ปรินซ์อาจใจเอนเอียงมาทางผักกาดก็ได้นะ แถมพี่เขาได้จับผมอีกต่างหาก มือพี่ปรินซ์นุ่มออก เห็นไหม คุ้มจะตาย!”
อืม...มันก็จริงอย่างที่เพื่อนว่าเหมือนกันแฮะ ได้ไปสอดแนมว่าที่ศัตรูหัวใจ แถมได้เจอพี่แกแบบไม่ต้องอ้างไปบ้านเพื่อนตลอดจนเกรงใจพ่อแม่หนูดีจะแย่ มันก็ไม่เลวนะ...
และเหนือสิ่งอื่นใด พี่ปรินซ์จะจับผมฉันด้วย! กะ..รี้ดดดดดดดดดดด!
“นะ ตกลงนะ” ดวงตายิบหยีของเพื่อนเป็นประกายอย่างคาดหวัง ฉันมองหน้าเพื่อนแล้วจับผมยาวของตนเอง มองแล้วกลับไปมองหน้าเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง
เนื้อฉันเต้นขนาดนี้ คิดว่าคำตอบของฉันจะเป็นแบบไหนกันละคะ!