ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : แผนลับราพันเซล บทที่ 2

กระทู้สนทนา
ลิ้งค์เก่าค่ะ

บทที่ 1
http://pantip.com/topic/36590456

เรื่องนี้มี Reference ดาราอยู่หลายคน (ซึ่งเขียนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว คนที่ยกมานับว่าดังในตอนนั้นค่ะ ตอนนี้อาจจะยังดังอยู่แต่มันก็ออกแนวเอ้าท์ไปสักเล็กน้อย ขอให้จินตนาการว่าพวกเขาเปรี้ยงมากจนเป็นที่รู้จักแล้วกันนะคะ >__<

======================================

บทที่ 2

ที่จริงฉันควรขับรถกลับบ้านเพื่อเตรียมการเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่อย่างที่บอก ฉันรู้สึกว่าวันนี้โกหกจนเกินงามแล้วค่ะ ฉันเลยขับรถไปที่สยามเพื่อเที่ยวจริงๆ อย่างน้อยก็จะได้บรรเทาความรู้สึกผิดในใจตัวเองไปบ้าง

ไหนๆ ขับรถอยู่ แล้วรถก็ติดยาวเป็นหางว่าวอยู่อย่างนี้ ฉันขอฆ่าเวลาด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่ปรินซ์ให้ฟังดีกว่าค่ะ

เห็นพี่ปรินซ์หล่อขั้นเทพแถมยังมีรอยยิ้มเทพบุตรเป็นอาวุธมัดใจสาวๆ อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันเจอเขาแรกๆ เขาเหมือนคนละเรื่องกับตอนนี้เลยค่ะ

ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าแบบไหนก็โดนใจฉันหมดนั่นล่ะ ขอให้เป็นเขาเท่านั้นก็พอ

พูดไปเขินไป เข้าเรื่องดีกว่าค่ะ อ้อ...ฉันอาจต้องเท้าความถึงคนอื่นๆ ในครอบครัวของพี่ปรินซ์ก่อนสักหน่อย อดใจรอนิดนะคะ

บ้านนั้นเขามีพี่น้องกันสามคนค่ะ มีผู้ชายสองคน ผู้หญิงหนึ่งคน ตอนนี้พี่ปรานต์ พี่คนโตของสามพี่น้องนี้เป็นประธานบริษัทของครอบครัวค่ะ แล้วรองลงมาก็พี่ปรินซ์...ปริญญา ส่วนอาชีพก็อย่างที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว

จากนั้นก็ตามมาด้วยหนูดี ปรียานุช (จริงๆ ก็มีที่มาที่หนูดีชื่อเล่นต่างจากคนอื่นนะคะ หนูดีเป็นลูกสาวหลานสาวสุดที่รักเพราะวงศา

คณาญาติบ้านนี้แทบไม่มีเด็กผู้หญิงเลยค่ะ แล้วหนูดีก็เป็นลูกหลง คิดดูสิคะว่าอายุห่างจากพี่ปรินซ์ตั้งแปดปีแน่ะ ทุกคนโอ๋ใหญ่เลย แล้วตอนเกิดแรกๆ ยังไม่มีชื่อก็เลยเรียกหนูดีจนติดปากเสียแล้ว ก็เลยเลยตามเลย)

พี่น้องบ้านนี้เหมือนกันค่ะ ไม่รู้สมองทำด้วยอะไร หรือพ่อแม่ให้กินอะไรมาตั้งแต่เด็กถึงได้เก่งๆ กันทุกคนขนาดนี้ ที่จริงฉันก็อยากพร่ำถึงประวัติการศึกษาของแต่ละคนให้ฟังแต่เกรงว่าจะเบื่อกันเสียก่อน

ทีนี้เจ้าความเก่งที่ฉันว่านี่แหละค่ะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่ฉันเจอพี่ปรินซ์ครั้งแรก

ฉันสนิทกับหนูดีตั้งแต่ปีหนึ่งค่ะ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แต่ตอนนั้นฉันยังไม่ได้พบพี่ปรินซ์หรอกนะคะ ฉันรู้แต่ว่าเขากำลังเรียนอยู่ที่เมืองนอก ฉันรู้จักเขาผ่านหนูดีเท่านั้นเองซึ่งหนูดีก็ไม่ได้พูดถึงพี่ชายคนนี้บ่อยมากนัก คงเพราะอายุห่างกันเหลือเกิน แล้วก็อยู่เมืองนอกหลายปี

แต่เมื่อขึ้นปีสอง ฉันจำได้ติดตาเลยค่ะว่าวันนั้นฉันไปบ้านหนูดี ตั้งใจว่าจะไปทำรายงานด้วยกัน ฉันขับรถตามหลังหนูดีเข้าไปภายในบ้านตามปกติ แล้วฉันก็แปลกใจเมื่อเห็นรถสปอร์ตใหม่เอี่ยมสีดำสุดเท่จนคิดว่าหากฉันบ้ารถกว่านี้คงไปเกาะชะโงกสำรวจถี่ยิบเพราะดีไซน์ของมันแน่นอนค่ะ เผอิญฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยได้แต่มองอย่างประหลาดใจแล้วมองหาที่จอดถัดไปในเขตที่จอดรถบ้านหนูดี

ที่จอดบ้านหนูดีมีเหลือเฟือค่ะ แต่ก่อนจะไปจอดได้ก็ต้องผ่านรถอีกหลายยี่ห้อหลายคันเสียก่อน

‘รถใครหรือหนูดี’ ฉันเคยอดถามไม่ได้เมื่อก้าวลงจากรถพร้อมหอบหนังสือที่ไปยืมมาจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย

‘รถพี่ปรินซ์น่ะ’ หนูดีตอบ บ้าหอบฟางพอกัน ‘กลับมาถึงพี่ปรานต์เลยซื้อให้เป็นของขวัญต้อนรับ’

บ้านนี้เขาต้อนรับกันอลังการดีว่าไหมคะ

ฉันพยักหน้าแล้วก็เดินออกจากโรงรถเพื่อเดินเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนที่จอดรถบ้านหนูดีก็อยู่มุมหนึ่งตัดผ่านด้วยทางราดคอนกรีตไปสู่ตัวบ้าน และอีกฟากของทางรถนี้ก็เป็นสวนที่ตกแต่งด้วยหญ้าสีเขียวสดเหมือนสนามฟุตบอลในอังกฤษ ต้นไม้ตัดเป็นพุ่มน่ารัก บางต้นก็ตัดแต่งเป็นรูปตัวละครอย่างมิ้กกี้เมาส์ โดนัลดักค์

ก็อย่างที่บอกไงคะว่าหนูดีเป็นที่รักขนาดไหน

‘ทำไม? เป็นช่างตัดผมแล้วมันผิดตรงไหน ก็ผมชอบของผม!’

เสียงโหวกเหวกดังลอดออกมาจากตัวบ้านทำให้ฉันซึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดตรงประตูด้านหน้าแทบชะงักไป เสียงนั้นไม่คุ้นเคยซึ่งฉันเดาได้ทันทีว่าต้องเป็นพี่ชายคนกลางของหนูดีเป็นแม่นมั่น ท่าทางเขาเลือดร้อนไม่น้อย เมื่อฉันไม่ได้ยินเสียงคู่สนทนาพูดอะไรเลยแต่ก็ยังได้ยินเสียงเดิมอีกครั้ง

‘นักศึกษาคอร์เนลล์ แล้วไงล่ะ! ก็ไหนบอกผมว่าปริญญาเรียนไว้เสริมคุณภาพชีวิต ไม่ได้สูงส่งมาจากไหน ที่อยากให้ผมเรียนผมก็ตามใจให้แล้ว พอผมอยากทำอะไรทำไมไม่ตามใจผมบ้าง ชีวิตผมนะ!’

ไอ้หยา! แรงค่ะแรง

หนูดีขมวดคิ้วตั้งแต่ประโยคแรกแล้วล่ะ พอประโยคสองปุ๊บ ร่างป้อมของหนูดีก็รีบวิ่งไปห้ามศึกที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างซึ่งคงเปิดประตูทิ้งไว้หรืออะไรก็ตามเสียงถึงได้ลอดออกมาดังขนาดนี้ แต่ร่างป้อมนั่นวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาเค้าบอกบุญไม่รับแต่กระนั้นรัศมีคิม ฮยอน จุงก็ยังปรากฏให้เห็นเดินก้าวเท้าฉับๆ ออกมา

เขาชะงักไปนิดเมื่อเห็นหน้าตาน้องสาว เรื่อยเลยมาที่ฉันซึ่งคงเบิกตากว้างตกตะลึงอยู่ เขาปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มให้หรือเรียกให้ถูกคงจะเป็นฉีกปากให้เสียละมากกว่า

‘หนูดีกลับมาตั้งแต่เมื่อไร หอบอะไรมาเยอะแยะ’

หนูดีกะพริบตา

‘ทำรายงานค่ะ’ ร่างสูงหยิบกองหนังสือออกจากมือหนูดีมาถือไว้เสียเองแล้วหันมามองทางฉัน ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมาดูดุจนฉันนึกขยาดในใจเลยค่ะ รีบยกมือไหว้เขาเงอะงะที่สุดจนกองหนังสือแทบร่วงจากมือ

‘เพื่อนหนูดีค่ะ ชื่อผักกาด’

เขาเลิกคิ้วทันที แต่มือใหญ่นั่นก็แบมือขยับนิดหน่อยเพื่อบอกว่าให้ฉันส่งตั้งหนังสือมาให้เขา แต่ฉันได้แต่มองอย่างเกรงใจจนเขาเริ่มทำหน้าบึ้งอีกครั้งฉันจึงรีบส่งให้ทันที

‘ชื่อเก๋ดีนี่’ เสียงทุ้มนั่นวิจารณ์

‘คือ...’ ฉันอึกอัก ‘จริงๆ ชื่อผกาค่ะ ผกาแก้ว แต่เพื่อนๆ เรียกผักกาด’

และถ้าเวลาต้องการเรียกเต็มยศจะเรียก ‘ผักกาดแก้ว’ ดูสิคะว่าเพื่อนฉันหัวคิดบรรเจิดแค่ไหน

พี่ปรินซ์พยักหน้าแล้วหันไปถามหนูดีว่าจะไปทำที่ห้องไหน หนูดีเลยบอกให้เขาช่วยยกไปห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นบน ซึ่งเป็นห้องที่เราใช้กันประจำเวลาทำงาน เพราะกว้างพอ นั่งเล่นนอนเล่นก็สบาย มีแลปทอปตัวเดียวก็เหลือแหล่แล้ว พี่ปรินซ์พยักหน้าแล้วเดินจากไปในขณะที่หนูดีพยักเพยิดให้เดินตามเขาไปก่อน ส่วนตัวเองรีบผลุบเข้าไปในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ต้นห้องของการทะเลาะกันเมื่อครู่

ฉันยืนลังเลอยู่อย่างนั้น จะตามร่างของพี่ชายคนรองไป ฉันก็รู้สึกเกรงอย่างบอกไม่ถูก ครั้นจะตามหนูดีไป นั่นก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว ฉันไม่อยากก้าวก่าย สุดท้ายฉันก็ได้แต่มองตามร่างสูงที่หอบหนังสือเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยสายตาละห้อยก่อนจะเดินตัวลีบเดินขึ้นบันไดตามเขาไปในที่สุด

ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะเดินเข้าไปในห้องแล้ว แต่เขายังหยุดรออยู่ที่หน้าประตู อาจเป็นเพราะว่าเขาหอบหนังสืออยู่จึงเปิดไม่ถนัดรอให้ฉันมาช่วยเปิดให้ เขาหันมามอง หน้าเขาไม่ได้บึ้งแล้วแต่เรียบเฉยจนฉันแทบจะรีบวิ่งหัวซุนไปช่วยเขาเปิดประตูให้ เขาเดินผ่านเข้ามาเงียบๆ

ห้องนั่งเล่นชั้นบนประกอบด้วยโซฟาสีแดง อาร์มแชร์สีชมพู โต๊ะสีเขียว หมอนอิงที่วางก็สารพัดสีเช่นเดียวกับผ้าม่าน ดูแล้วเหมือนลูกกวาดมากๆ เลยค่ะ นี่หากคนออกแบบภายในไม่เก่งจริง ห้องนี้คงดูพิลึกมากมายเพราะมีสารพัดสีขนาดนี้ ไม่น่าเอามารวมกันแล้วดูดีเลย

‘พี่ไม่ได้คุยกับหนูดีนาน’ เขาเริ่มเมื่อวางหนังสือลงบนโต๊ะสีเขียวที่พื้นโต๊ะเป็นกระจกแก้วใสสีเขียวเช่นกันแต่เป็นคนละเฉดกับฐานโต๊ะ ‘ผักกาดเจอหนูดีตั้งแต่เรียนมัธยมฯหรือเปล่า’

ฉันส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เกรงเดี๋ยวพี่ชายเพื่อนจะหาว่าไม่สุภาพ เลยตอบเสียงกระท่อนกระแท่น

‘เจอตอนเข้าปีหนึ่งค่ะ รหัสเราสองคนใกล้กัน’

‘หนูดีตอนอยู่มหา’ลัยเป็นไงบ้าง มีใครมาจีบไหม’ คำถามนี้ดูจะจริงจังกว่าคำถามแรกแฮะ ใบหน้าอีกแบบของเขาผุดขึ้นมาทันที ตอนนี้เขากำลังเล่นบทพี่ชายจอมหวงน้องสาว

‘ก็...’ ฉันกลอกตา

‘มีใช่ไหม’ เขาเริ่มถามกระตือรือร้นมากขึ้น ฉันถอนใจส่ายหน้า

‘คือ...ผักกาดก็ไม่ทราบ’

หน้าตาเขาเหมือนจะประณามฉันว่าไม่รู้ได้อย่างไร ฉันเลยต้องรีบอธิบายเพิ่มเติม

‘คือ...ผักกาดแยกไม่ออกว่าคนไหนเพื่อนเฉยๆ คนไหนมาจีบ หนูดีกับผักกาดก็คุยด้วยหมด’

ใช่ค่ะ ต่อมรับรู้คนมาจีบฉันคงเสื่อม แต่ฉันรู้แค่ว่าคนไหนที่ไม่มาจีบแน่นอน ก็เหล่าบรรดาผู้ชายที่เห็นหน้าฉันแล้วทำหน้าเฉาพวกนั้นไงคะ

อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย คิดแล้วโกรธ

พี่ปรินซ์กะพริบตาราวกับเจอคำตอบที่คาดไม่ถึง เขาหัวเราะเสียงดังสนั่นห้องจนฉันไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันทำให้เขาขำแบบนี้เลยหรืออย่างไร

เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างป้อมของน้องนุชสุดที่รักประจำบ้านก้าวเข้ามามองพี่ชายและฉันด้วยสีหน้าฉงน แล้วหันไปถามพี่ชาย

‘คุยอะไรกันคะ หัวเราะดังลั่นเชียว’

‘เปล่า’ เขาส่ายหน้า ‘พี่แค่คิดอะไรนิดหน่อย’

ว่าจบเขาก็เดินออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็วพลางโบกมือทั้งที่ยังหันหลังให้ ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ที่อยู่ภายนอกระเบียงก็ดังขึ้น ฉันเดาว่าพี่ชายคนกลางของบ้านนี้คงขับรถสีดำสุดเฉี่ยวคันนั้นออกไปเรียบร้อยแล้ว ฉันอดไม่ได้ไปกระซิบคุยกับหนูดี

‘พี่ปรินซ์ดู...ต่างจากที่คิดนะ’ ฉันเคยวาดภาพว่าเขาจะเป็นพวกสงบขรึมอย่างพี่ปรานต์ค่ะ พอเจอแบบนี้เข้าเลยพูดไม่ออก

‘แต่ไหนแต่ไรก็แบบนี้แหละ’ หนูดีพยักหน้าหยิบเอาหนังสือมาพลิกๆ ดูสีหน้าเบื่อหน่าย ‘นี่เพิ่งทะเลาะกับป๊าอีกแล้ว ป๊าอยากให้พี่ปรินซ์ช่วยพี่ปรานต์ แต่เขาอยากไปเปิดร้านตัดผม’

‘หือ...’ ฉันก็พอได้ยินบทสนทนานั้นอยู่ แต่เมื่อได้ยินกับหูก็อดประหลาดใจไม่ได้ ‘ผู้ชายเปิดร้านตัดผมนี่น่ะเหรอ’

‘อืม’ หนูดีพยักหน้าอีกครั้ง ‘พี่ปรินซ์เรียนจบป.ตรี ป๊าเลยให้เรียนต่อโทที่อเมริกา แต่พี่ปรินซ์ดันหนีไปเรียนช่างเสีย แล้วก็ฝึกงานกับร้านที่นั่น เรื่องเพิ่งมาแดงพี่ปรินซ์เลยถูกเรียกตัวกลับ จริงๆ หนูดีว่าป๊าก็ไม่ซีเรียสหรอก พี่ปรานต์คนเดียวก็เอาอยู่ แต่ป๊าคงเสียดาย เมื่อกี้ยังบ่นอุบไม่เลิกว่าเรียนคอร์เนลล์เสียเปล่า จบออกมาไม่ใช้ก็เสียของ หนูดีว่าพี่ปรินซ์ต้องรับศึกหนักต่อแน่เลยกว่าป๊าจะใจอ่อน’

ฉันชักเริ่มสนใจเรื่องราวของพี่ชายคนนี้ของหนูดีมากขึ้น ชอบให้หนูดีเล่าเกี่ยวกับพี่ชายคนนี้ให้ฟังบ่อยๆ เหมือนกับว่าฉันอยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ อยากรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ทำไมถึงคิดแบบนี้ วิถีความคิดเหล่านั้นแตกต่างจากที่ฉันมีโดยสิ้นเชิง

ฉันเป็นเพียงเด็กสาวหัวอ่อนธรรมดาที่พ่อแม่ส่งฉันไปอยู่กับป้าตั้งแต่เด็ก ป้าเป็นครูเก่าบางทีก็อบรมสั่งสอนราวกับฉันเป็นนักเรียนมากกว่าหลานจนฉันแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ เคยขอพ่อแม่กลับกรุงเทพ แต่ดูเหมือนว่าป้าอยากรั้งตัวฉันไว้เพราะป้าเป็นคนโสด อยากมีหลานคอยดูแล พ่อแม่ก็เลยยอมให้ฉันอยู่กับป้าตั้งแต่อนุบาลจนจบม.6 ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนนกน้อยในกรงทอง จนกระทั่งฉันสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ คราวนี้ฉันก็มีข้ออ้างที่จะกลับมาอยู่กับพ่อแม่เสียที

ไม่ใช่ฉันไม่เสียใจนะคะที่ทำตัวเหมือนหลานอกตัญญู แต่อิสระมันหอมหวานเกินกว่าที่ฉันจะสละการเรียนที่นี่เพื่อเรียนวิทยาลัยในตัวจังหวัด

การต่อสู้เพื่อหนทางที่ตัวเองเลือกอย่างพี่ปรินซ์ไม่ใช่หนทางที่ฉันจะทำได้หรอกค่ะ อย่างดีที่สุด ฉันก็ทำได้แค่รอคอยโชคชะตาอย่างอดทนเท่านั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่