Echo เสียงสะท้อนแห่งรัก
ตอนที่ 1

Credit pix: eno
....
Treaser
เพลงที่คุณชอบมาก
คุณชอบมันมากขนาดไหน ผูกพันกับเพลงนั้นระดับไหนคะ
คุณคงมีความสุขมากเมื่อได้ฟัง
แต่ถ้าขณะเดียวกัน ก็เศร้าด้วย
มันจะยังเป็นเพลงที่คุณชอบมากที่สุด ...อยู่ไหม
.....
เพลงแว่ว...แผ่วกังวาน หวานใดปาน เพลงรักระรื่น
กลับคะนึงถึงวันคืน...เคยชิดชื่นอุรา....
(ที่มา : บางส่วนจากเพลง แว่ว (Echo) เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9...ด้วยความระลึกถึงอย่างสุดซึ้ง)
......
::::::
....
บทที่ 1
เคยทำของหายไหมคะ
แล้วช่วงเวลาที่ หาเท่าไรก็ไม่เจอ...มันหงุดหงิด ทรมานแค่ไหน...
พอเห็นเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่พลอยทำให้ใจคิดไปว่าต้องใช่แน่ๆ แต่พอหยิบมาดูใกล้ๆ กลับไม่ใช่...
มันให้ความรู้สึก ที่ว่างเปล่า ขนาดไหน...
......
แล้วถ้าคนหายล่ะ...
แล้วถ้าคนที่หายไปคนนั้น...เกิดเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน...แว๊บๆ อย่างในวันนี้...!
นั่น! ใช่เขาไหม?!?
ขณะที่ฉันเดินลัดเลาะผ่านเส้นทางใหม่ ขึ้นจากสถานีรถไฟฟ้าไปยังร้านอาหารที่ฉันมีนัดกับคนที่สนใจลงทุนในธุรกิจติวเตอร์ของฉัน.....
แต่ระหว่างทาง....ทันใด สายตาฉันก็ไปจับกับ ด้านข้างของผู้ชายร่างสูงใหญ่
แม้สีผมจะไม่เหมือนกันกับคนๆ นั้น ...เขาคนนี้ผมสีน้ำตาล และไม่ได้ใส่แว่น
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันคิดว่าจำผิดพลาดไป เพราะคิ้วเข้ม ตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาว หน้าตาดีอย่างโดดเด่นแบบนี้ ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว...
โดยไม่ทันได้ใช้สมองคิดอะไรทั้งสิ้น ขาของฉันก็ก้าวไป เพื่อหาร่างของคนนั้นแล้ว ก่อนที่จะคลาดกัน
เราห่างกันคนละฟากถนน ...รถขวักไขว่มากมาย ฉันมองไปด้านหน้า เห็นไฟเขียวไฟแดง ...ที่ไฟยังคงเขียวอยู่...
เขาเดินเลี้ยวขวาไปตรงทางแยกนั้น ขณะที่ฉันยังยืนติดเหง็กอยู่ที่หัวถนน ที่ขนานกับเส้นทางของเขาด้านซ้ายนี่...
แม้จะแขย่งขามองข้ามฝูงรถที่กางกั้นตรงหน้า ชะเง้อชะแง้มองเล็งไปที่เขาไม่หยุด
“เฮ้! คุณ! เดี๋ยวก่อน!” ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเขา
แต่ถนนตรงกลางมันกว้างเกินไป... มีแต่ผู้คนรอบตัวฉัน ที่มองมาที่ฉันด้วยความฉงนสนเท่ห์ คล้ายจะบอกว่า ยายนี่เป็นอะไรมากไหม
และนี่ไม่อาจห้ามไม่ให้เขาเลี้ยวขวาไปได้
แล้วนี่อะไร....ขบวนรถบรรทุกคันใหญ่และยาววิ่งผ่านหน้า....
มันจะขนอะไรกันนักกันหนา เยอะแยะ ยาวเป็นรถไฟขนาดนี้...
ชั่วขณะที่รอไฟให้แดงนั้น ยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์
....
ทุกวันที่ 8 มกราคม ฉันเป็นต้องไปทำพิธีกรรมรำลึกถึงเขาทุกครั้ง
และไม่ลืมที่จะเล่นเพลง...ที่มีความหมาย ที่ไพเราะ ที่เป็นแหล่งรวมความทรงจำทั้งหมดของเราที่มีต่อกัน
“Echo แว่ว” เพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชดาลที่ 9
กับ 9 ปีผ่านมาแล้ว แต่เรื่องราว ยังสดใหม่ในความทรงจำของฉัน เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้...
ฉันไม่สน...ว่าจะใช่เขา หรือจะเป็นวิญญาณของเขา หรือเป็นตะบักตะบวยอะไร
หัวใจฉันยังคงปักใจให้เชื่อว่า...ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็ขอให้ได้เจอเขาอีกสักครั้งก็ยังดี...
คนที่ฉันเฝ้าคิดคะนึงถึงไม่เว้นวัน
.
อาจารย์สอนเปียโน เพลงแว่วนี้กับฉันเป็นคนแรก...
และว่าที่รักเลอค่าครั้งแรกของฉัน....
ธรณ์ ....
ที่....รัก....
.......
เพลงแว่ว...แผ่วกังวานหวานใดปาน...เพลงรักระรื่น...
กลับคะนึงถึงวันคืน...เคยชิดชื่นอุรา...
แสงนวล...ประกายฉายผ่านฟ้าคราม...แลอร่ามตา
เปรียบวงพักตร์ผ่องเพี้ยงจันทรา...นวลแสงแววตาประกาย
หวัง...ประสบฉันยังอยากพบ...เธอไม่วาย
รัก...มิหน่ายรักเราสุดหมาย...แลสุดหวัง
ร้าวรอน...เพลงสะท้อนแต่สำเนียง...เพียงแผ่วแผ่ว...ดัง
โลกเรานี้แท้ไม่มี...ยืนยัง...
แต่ความรัก...เราจีรัง...คงคู่ฟ้า...ยั่งยืน
.........
เวลาที่ได้ยินเพลง Echo นี้ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นจากเงามหึมาของต้นไม้ใหญ่ สระบัว เสียงแบ็คกราวด์เป็นเสียงใบไม้กระทบกัน นกร้องโต้ตอบราวกับจะประสานเสียง และลมแผ่วเบารอบตัว มันช่างเหมือนการชมคอนเสิร์ตที่ไพเราะและออร์แกนิคที่สุด ...สำหรับฉัน
“น้ำ...ชอบมาอ่านหนังสือแถวนี้จังนะ”
ทันใด เบื้องหน้าฉันก็ปรากฏเป็นผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งเหมือนฉัน แต่เธออวบเล็กๆ ใบหน้าหมวยได้ที่ ต่างกับฉัน ที่ใบหน้าไทยเต็มที่
ยัยกิ่ง....เธอทำฉันตื่นจากภวังค์
“บรรยากาศดีไหมล่ะ ต้องรีบมาจองนั่งตรงนี้ เดี๋ยวไม่ว่าง”
“ไม่ว่าง ก็มีม้านั่งใต้คณะมนุษย์ฯ เราเยอะแยะไป ต้องเดินมาไกลจะตาย กว่าจะมาถึงตรงนี้”
“ฉันรอเขาซ้อมใหญ่เพลงโปรด”
“เพลงโปรดไรของแก”
“ตอนประมาณ 11 โมง ชมรมดนตรีตรงนู้นจะซ้อมใหญ่เพลงพระราชนิพนธ์กัน มีเพลง Echo ด้วย” ฉันพูดพลางชี้ไปทางตึกที่ดูเก่าขลังในระยะ 400 เมตรจากเก้าอี้ที่ฉันนั่ง
“Echo ไรอ่ะ”
“=_= ก็เพลงที่แกได้ยินแว่วๆ อยู่นี่ไงล่ะ เพลงพระราชนิพนธ์ร. 9 เพราะสุดๆ นั่งด้วยกันสิ นี่เขาซ้อมกันเป็นท่อนๆ อีก 15 นาทีเขาจะซ้อมรวมทั้งวงเลย อลังการณ์”
“ไหน...ที่ร้องเนี่ยะเหรอ...เออๆ แหม...เพลงพระราชนิพนธ์..เพราะดีนะ...เพลงนี้ไม่ยักเคยได้ยิน...แต่โหลดฟังในเน็ตเอาไม่ได้รึยังไง....เออ ช่างเถอะ ยังไงฉันก็มาคุยกับแกเรื่องรายงานกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษที่ต้องส่งอาจารย์อยู่แล้ว...ไม่งั้นไม่เดินถ่อมาไกลถึงนี่หรอก” กิ่งบ่นกระปอดกระแปด
“แหม แค่นี้ทำเป็นสำออย”
“ใครจะถึกอย่างแกล่ะ ทั้งเรียน ทั้งทำงานสอนพิเศษ ทั้งขายของ รับจ็อบ โอ๊ย ทำงานโน่นนี่นั่น สารพัด”
ฉันได้แต่ยิ้มขำๆ สำหรับคำคอมเมนต์จากเพื่อน
ขี้เกียจจะอธิบายต่อว่าเพราะอะไร ถึงต้องทำอะไรมากมายขนาดนั้น
แต่ต่อให้เยอะยุ่งลำบากแค่ไหน
เมื่อไรที่ฉันได้ฟังเพลงที่ชอบ ก็ทำให้เรื่องวุ่นวายต่างๆ หลุดกระเด็นออกไปจากตัวฉันได้
“ว่าแต่แกชอบฟังอะไรขนาดนั้น ทำไมไม่เข้าชมรมดนตรีให้มันรู้แล้วรู้รอดไปวะ”
“ก็คิดๆ อยู่ แต่ฉันเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่เป็นสักอย่าง จะมีเวลาซ้อมรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ก็เขาสอนล่ะมั้ง ในชมรมน่ะ โอกาสดีเลยนะ”
“อืม พอจะปรับตัวกับชีวิตในมหาลัยปี 1 ได้บ้างแล้ว ก็ว่าจะไปถามวันนี้ล่ะ กิ่งแกเข้าชมรมดนตรีด้วยกันไหม”
“ฉันเล็งชมรมวรรณศิลป์ไว้”
“ใกล้คณะเราดีนะ”
“อืม เดินใกล้ดี ฮ่าๆๆ”
“แกนี่ออกกำลังบ้างนะ ก่อนที่เครื่องช่างน้ำหนักจะรับน้ำหนักแกไม่ไหว”
“นี่ปากหรืออะไร จะทำไหม รายงานเนี่ยะ =_=^”
“ฮ่าๆ ก็ฉันเป็นห่วงแก อย่าคิดมากน่า”
“=_=^ ฉันก็ดีใจที่ทำให้แกยิ้มได้ วันๆ แกหน้าคว่ำบ้าง นิ่งบ้าง นึกว่าทำเป็นอยู่แค่ 2 หน้า”
“ไม่ใช่เครปนี่ จะได้มีให้เลือกหลายหน้า”
“เอาเถอะมุกแก จะไปทำอะไรก็ทำไป”
แล้วก็ถึงเวลาซ้อมใหญ่
และเพลง Echo ก็เริ่มต้นบรรเลง
แต่คราวนี้ ไม่เหมือนหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพราะเป็นเสียงเปียโน กับเสียงร้องเท่านั้น ไม่เหมือนที่มีเครื่องดนตรีสารพัดเป็นวงเหมือนอย่างที่ผ่านมา
และไม่ใช่เสียงร้องเวอร์ชั่นภาษาไทยเหมือนเมื่อกี๊ที่ได้ยิน และที่ได้ยินหลายสัปดาห์ก่อนด้วย
ต้องยอมรับว่า เวอร์ชั่นเปียโนนี่ เพราะจับจิตจับใจ

Credit: Sean Wongsawadee
Echo - of a sweet melody...of tender love
keeps bringing memory...from heaven above.
Soft lights - Gliding through empty space...'yond cloudy skies,
remind me of your dear face...and lovelight in your eyes....
How - I long to be with you...once again.
Hope - and pray, oh yes I do,....all in vain.
Our Song - of it is nothing left...but the echo.
Though time is unforgiving...I know
Our love will...Linger on...for eternity.
โห เสียงร้อง เวอร์ชั่นนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ
เป็นเสียงผู้ชาย
ผิดกับทุกที ที่ไม่เป็นทีมนักร้องประสานเสียง ก็จะเป็นเสียงผู้หญิง
ร้องดีมากแฮะ...รู้สึกราวกับ ร้องความในใจมาบอกเราอย่างนั้น
“ทำหน้าเขินอะไร เขาซ้อมร้องเหอะ ไม่ได้มาร้องให้แก”
“ฮ่าๆ เขาร้องดีในระดับทำฉันเคลิ้มได้นะหมอนี่ เราไปดูกันใกล้ๆ ไหมแก”
กิ่งนิ่งไปพัก...ไม่รู้ว่าไม่อยากไป หรือคำนวณว่า เดินมาไกล ได้นั่งไม่นาน ต้องออกไปเดินอีกแล้ว
แค่ 400 เมตร ไม่ได้หนักหนาหรอกน่า
แม้ฉันจะคิดในใจ แต่สีหน้าฉันอาจสื่อไปหมดแล้ว
“เออ ชมรมนี้อาจมีคนหน้าตาดีให้ได้แทะเล็มบ้าง” กิ่งพูดออกมาในที่สุด
“ให้ได้อย่างนี้สิ!” เมื่อหาเหตุผลให้ร่วมหัวจมท้ายได้แล้ว พวกเราก็เร่งฝีเท้าไปยังทิศของอาคารชมรมดนตรีต่อ
พวกเราลุกจากเก้าอี้ โดยไม่ลืมวางจองที่ไว้บางส่วน หยิบกระเป๋าสะพายติดตัวแล้วบึ่งไปที่ชมรมดนตรีทันที
อาคารสีน้ำตาล ที่ดูคลาสสิค รีโทร เข้ากับกลิ่นอายเครื่องดนตรีคลาสสิคพิลึก
เราแอบแง้มหน้าต่าง มองเข้าไปในตึกชั้น 1 ... มีผู้คนมากมาย แต่เหมือนเขาไมได้ซ้อมกันตรงนี้แฮะ
พวกเราเดินเข้าประตูสองบานที่สูงโปร่งโอ่อ่าแต่เก่ากึ้ก
มองเห็นเปียโนตัวเล็กๆ 1 หลัง แล้วก็เครื่องดนตรีที่อยู่ในตู้ บ้างวางอย่างเป็นระเบียบ บ้างวางอย่างระเกะระกะ
“สวัสดีค่ะ คือ เดินตามเสียงเพลงมา อยากจะไปดูใกล้ๆ ได้ไหมคะ”
ฉันเอ่ยถามผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ คล้ายๆ เป็นโต๊ะลงทะเบียนอะไรสักอย่าง
เหล่ไปเห็นกิ่ง หันซ้าย หันขวา เหมือนเรดาร์หาผู้ชายหน้าตาดีจะเปิดคลื่นเต็มสปีด
“อ๋อ ได้ค่ะ ชั้น 2 นะคะ แต่ต้องดูอยู่นอกห้องนะคะ เพราะว่า เดี๋ยวเปิดประตูแล้วมันจะมีเสียงดังรบกวนการซ้อมค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“แล้วสนใจสมัครเข้าชมรมไหมคะ”
“สนใจคะ เดี๋ยวดูแล้วจะลงมาคุยรายละเอียดนะคะ”
ว่าแล้วพวกเราก็รีบรุดขึ้นไปที่ชั้น 2
บันไดไม้ ใหญ่โตโอ่โถง ไม่เพียงดูคลาสสิค แต่ยังดูขลัง ปน น่าสะพรึงเล็กๆ
ชมรมดนตรีที่นี่ เปิดมานานเท่าไรแล้วนะ ..
เมื่อเราเดินขึ้นไปถึงห้องชั้นสอง ภาพที่เห็นคือ เปียโนแกรนด์สีดำขนาดใหญ่
มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังบรรเลงอยู่
โดยรอบมีผู้คนประมาณ 20 ปียืนดูอยู่รอบๆ อย่างตั้งใจ
ยิ่งเราเดินเข้าไปใกล้ ยิ่งเห็นว่าผู้ชายคนที่บรรเลงนี้...หน้าตาดีมาก คิ้วเข้ม จมูกโด่งคมสัน ตาโต ผิวขาว ยิ่งเล่นเปียโนเพลงแว่ว....
ใครดูแล้วไม่เคลิ้มให้ถีบกิ่งเลย
“โหว์.... นักเปียโนหล่อโคตร งานดีมาก เล่นเปียโนเก่งอีก” ไม่ทันคิดจบ กิ่งก็เพ้อออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
ที่เปียโนมีขาตั้งและไมโครโฟน....สำหรับนักเปียโน
อย่าบอกนะว่า...เจ้าของเสียงนี่...คือสุดหล่อนี่ด้วย
How - I long to be with you...once again.
Hope - and pray, oh yes I do,....all in vain.
Our Song - of it is nothing left...but the echo.
พวกเราฟังเพลงสุดไพเราะนี้กันสักพัก กิ่งก็กระซิบขึ้นเบาๆ
“อยากจะเป็นลมว่ะ ชักอยากย้ายชมรมแระ” กิ่งกระซิบเบาๆ ขณะที่เราสองคนแอบส่องการซ้อมสุดขนลุกนี้
“ดีมาก แกอยู่สองชมรมเลยสิวะ”
“ปัญหาคือ ฉันเล่นดนตรีอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“คิดว่าฉันเล่นได้รึไง”
“แกยังมีใจรัก ส่วนฉันนี่ เฮ้ย! ”
“เฮ้ยอะไรแก เบาๆ หน่อย” ฉันรีบปิดปากกิ่ง แล้วกระซิบพลางหันซ้ายหันขวา
ไปรบกวนการซ้อม เดี๋ยวพาลเขาไม่รับเข้าชมรมขึ้นมาจะว่ายังไง
“พวกเราต้องรีบไปส่งรายงานแล้วว่ะแก อะไรวะ แป๊บเดียวจะสี่โมงแล้ว”
กิ่งพูดพลางชี้นาฬิกาด้วยความร้อนรน
“เออ ไว้วันอื่นค่อยมาใหม่แล้วกัน”
ฉันเหลียวไปมองการซ้อมในห้องอีกครั้ง เหมือนเขาจะซ้อมเสร็จกันแล้ว
พวกเรารีบลงไปที่ชั้นล่าง เจอสาวที่นั่งโต๊ะลงทะเบียนพอดี
“ไว้จะมาสมัครอีกทีนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”
ไม่รอคำตอบ พวกเราก็เดินออกมาด้านนอก
แต่ยังไม่ทันจะห่างจากตัวอาคารสุดขลัง แหล่งที่มาแห่งเสียงเพลงเหมือนดังฝันของฉัน
ตุ้บ! โครม! “โอ๊ย!” แคร็ก! จ๋อม!
เจ็บ...
เหมือนมีอะไรสักอย่างที่หนักๆ ปึกใหญ่ปึกหนึ่งตกใส่ฉันอย่างจัง...
เจ็บอย่างกะครกหล่นลงมาใส่จากชั้น 72
นอกจากเจ็บแล้ว คือ มึน
Echo เสียงสะท้อนแห่งรัก ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
....
Treaser
เพลงที่คุณชอบมาก
คุณชอบมันมากขนาดไหน ผูกพันกับเพลงนั้นระดับไหนคะ
คุณคงมีความสุขมากเมื่อได้ฟัง
แต่ถ้าขณะเดียวกัน ก็เศร้าด้วย
มันจะยังเป็นเพลงที่คุณชอบมากที่สุด ...อยู่ไหม
.....
เพลงแว่ว...แผ่วกังวาน หวานใดปาน เพลงรักระรื่น
กลับคะนึงถึงวันคืน...เคยชิดชื่นอุรา....
(ที่มา : บางส่วนจากเพลง แว่ว (Echo) เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9...ด้วยความระลึกถึงอย่างสุดซึ้ง)
......
::::::
....
บทที่ 1
เคยทำของหายไหมคะ
แล้วช่วงเวลาที่ หาเท่าไรก็ไม่เจอ...มันหงุดหงิด ทรมานแค่ไหน...
พอเห็นเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่พลอยทำให้ใจคิดไปว่าต้องใช่แน่ๆ แต่พอหยิบมาดูใกล้ๆ กลับไม่ใช่...
มันให้ความรู้สึก ที่ว่างเปล่า ขนาดไหน...
......
แล้วถ้าคนหายล่ะ...
แล้วถ้าคนที่หายไปคนนั้น...เกิดเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน...แว๊บๆ อย่างในวันนี้...!
นั่น! ใช่เขาไหม?!?
ขณะที่ฉันเดินลัดเลาะผ่านเส้นทางใหม่ ขึ้นจากสถานีรถไฟฟ้าไปยังร้านอาหารที่ฉันมีนัดกับคนที่สนใจลงทุนในธุรกิจติวเตอร์ของฉัน.....
แต่ระหว่างทาง....ทันใด สายตาฉันก็ไปจับกับ ด้านข้างของผู้ชายร่างสูงใหญ่
แม้สีผมจะไม่เหมือนกันกับคนๆ นั้น ...เขาคนนี้ผมสีน้ำตาล และไม่ได้ใส่แว่น
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันคิดว่าจำผิดพลาดไป เพราะคิ้วเข้ม ตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาว หน้าตาดีอย่างโดดเด่นแบบนี้ ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว...
โดยไม่ทันได้ใช้สมองคิดอะไรทั้งสิ้น ขาของฉันก็ก้าวไป เพื่อหาร่างของคนนั้นแล้ว ก่อนที่จะคลาดกัน
เราห่างกันคนละฟากถนน ...รถขวักไขว่มากมาย ฉันมองไปด้านหน้า เห็นไฟเขียวไฟแดง ...ที่ไฟยังคงเขียวอยู่...
เขาเดินเลี้ยวขวาไปตรงทางแยกนั้น ขณะที่ฉันยังยืนติดเหง็กอยู่ที่หัวถนน ที่ขนานกับเส้นทางของเขาด้านซ้ายนี่...
แม้จะแขย่งขามองข้ามฝูงรถที่กางกั้นตรงหน้า ชะเง้อชะแง้มองเล็งไปที่เขาไม่หยุด
“เฮ้! คุณ! เดี๋ยวก่อน!” ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเขา
แต่ถนนตรงกลางมันกว้างเกินไป... มีแต่ผู้คนรอบตัวฉัน ที่มองมาที่ฉันด้วยความฉงนสนเท่ห์ คล้ายจะบอกว่า ยายนี่เป็นอะไรมากไหม
และนี่ไม่อาจห้ามไม่ให้เขาเลี้ยวขวาไปได้
แล้วนี่อะไร....ขบวนรถบรรทุกคันใหญ่และยาววิ่งผ่านหน้า....
มันจะขนอะไรกันนักกันหนา เยอะแยะ ยาวเป็นรถไฟขนาดนี้...
ชั่วขณะที่รอไฟให้แดงนั้น ยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์
....
ทุกวันที่ 8 มกราคม ฉันเป็นต้องไปทำพิธีกรรมรำลึกถึงเขาทุกครั้ง
และไม่ลืมที่จะเล่นเพลง...ที่มีความหมาย ที่ไพเราะ ที่เป็นแหล่งรวมความทรงจำทั้งหมดของเราที่มีต่อกัน
“Echo แว่ว” เพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชดาลที่ 9
กับ 9 ปีผ่านมาแล้ว แต่เรื่องราว ยังสดใหม่ในความทรงจำของฉัน เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้...
ฉันไม่สน...ว่าจะใช่เขา หรือจะเป็นวิญญาณของเขา หรือเป็นตะบักตะบวยอะไร
หัวใจฉันยังคงปักใจให้เชื่อว่า...ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็ขอให้ได้เจอเขาอีกสักครั้งก็ยังดี...
คนที่ฉันเฝ้าคิดคะนึงถึงไม่เว้นวัน
.
อาจารย์สอนเปียโน เพลงแว่วนี้กับฉันเป็นคนแรก...
และว่าที่รักเลอค่าครั้งแรกของฉัน....
ธรณ์ ....
ที่....รัก....
.......
เพลงแว่ว...แผ่วกังวานหวานใดปาน...เพลงรักระรื่น...
กลับคะนึงถึงวันคืน...เคยชิดชื่นอุรา...
แสงนวล...ประกายฉายผ่านฟ้าคราม...แลอร่ามตา
เปรียบวงพักตร์ผ่องเพี้ยงจันทรา...นวลแสงแววตาประกาย
หวัง...ประสบฉันยังอยากพบ...เธอไม่วาย
รัก...มิหน่ายรักเราสุดหมาย...แลสุดหวัง
ร้าวรอน...เพลงสะท้อนแต่สำเนียง...เพียงแผ่วแผ่ว...ดัง
โลกเรานี้แท้ไม่มี...ยืนยัง...
แต่ความรัก...เราจีรัง...คงคู่ฟ้า...ยั่งยืน
.........
เวลาที่ได้ยินเพลง Echo นี้ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นจากเงามหึมาของต้นไม้ใหญ่ สระบัว เสียงแบ็คกราวด์เป็นเสียงใบไม้กระทบกัน นกร้องโต้ตอบราวกับจะประสานเสียง และลมแผ่วเบารอบตัว มันช่างเหมือนการชมคอนเสิร์ตที่ไพเราะและออร์แกนิคที่สุด ...สำหรับฉัน
“น้ำ...ชอบมาอ่านหนังสือแถวนี้จังนะ”
ทันใด เบื้องหน้าฉันก็ปรากฏเป็นผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งเหมือนฉัน แต่เธออวบเล็กๆ ใบหน้าหมวยได้ที่ ต่างกับฉัน ที่ใบหน้าไทยเต็มที่
ยัยกิ่ง....เธอทำฉันตื่นจากภวังค์
“บรรยากาศดีไหมล่ะ ต้องรีบมาจองนั่งตรงนี้ เดี๋ยวไม่ว่าง”
“ไม่ว่าง ก็มีม้านั่งใต้คณะมนุษย์ฯ เราเยอะแยะไป ต้องเดินมาไกลจะตาย กว่าจะมาถึงตรงนี้”
“ฉันรอเขาซ้อมใหญ่เพลงโปรด”
“เพลงโปรดไรของแก”
“ตอนประมาณ 11 โมง ชมรมดนตรีตรงนู้นจะซ้อมใหญ่เพลงพระราชนิพนธ์กัน มีเพลง Echo ด้วย” ฉันพูดพลางชี้ไปทางตึกที่ดูเก่าขลังในระยะ 400 เมตรจากเก้าอี้ที่ฉันนั่ง
“Echo ไรอ่ะ”
“=_= ก็เพลงที่แกได้ยินแว่วๆ อยู่นี่ไงล่ะ เพลงพระราชนิพนธ์ร. 9 เพราะสุดๆ นั่งด้วยกันสิ นี่เขาซ้อมกันเป็นท่อนๆ อีก 15 นาทีเขาจะซ้อมรวมทั้งวงเลย อลังการณ์”
“ไหน...ที่ร้องเนี่ยะเหรอ...เออๆ แหม...เพลงพระราชนิพนธ์..เพราะดีนะ...เพลงนี้ไม่ยักเคยได้ยิน...แต่โหลดฟังในเน็ตเอาไม่ได้รึยังไง....เออ ช่างเถอะ ยังไงฉันก็มาคุยกับแกเรื่องรายงานกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษที่ต้องส่งอาจารย์อยู่แล้ว...ไม่งั้นไม่เดินถ่อมาไกลถึงนี่หรอก” กิ่งบ่นกระปอดกระแปด
“แหม แค่นี้ทำเป็นสำออย”
“ใครจะถึกอย่างแกล่ะ ทั้งเรียน ทั้งทำงานสอนพิเศษ ทั้งขายของ รับจ็อบ โอ๊ย ทำงานโน่นนี่นั่น สารพัด”
ฉันได้แต่ยิ้มขำๆ สำหรับคำคอมเมนต์จากเพื่อน
ขี้เกียจจะอธิบายต่อว่าเพราะอะไร ถึงต้องทำอะไรมากมายขนาดนั้น
แต่ต่อให้เยอะยุ่งลำบากแค่ไหน
เมื่อไรที่ฉันได้ฟังเพลงที่ชอบ ก็ทำให้เรื่องวุ่นวายต่างๆ หลุดกระเด็นออกไปจากตัวฉันได้
“ว่าแต่แกชอบฟังอะไรขนาดนั้น ทำไมไม่เข้าชมรมดนตรีให้มันรู้แล้วรู้รอดไปวะ”
“ก็คิดๆ อยู่ แต่ฉันเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่เป็นสักอย่าง จะมีเวลาซ้อมรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ก็เขาสอนล่ะมั้ง ในชมรมน่ะ โอกาสดีเลยนะ”
“อืม พอจะปรับตัวกับชีวิตในมหาลัยปี 1 ได้บ้างแล้ว ก็ว่าจะไปถามวันนี้ล่ะ กิ่งแกเข้าชมรมดนตรีด้วยกันไหม”
“ฉันเล็งชมรมวรรณศิลป์ไว้”
“ใกล้คณะเราดีนะ”
“อืม เดินใกล้ดี ฮ่าๆๆ”
“แกนี่ออกกำลังบ้างนะ ก่อนที่เครื่องช่างน้ำหนักจะรับน้ำหนักแกไม่ไหว”
“นี่ปากหรืออะไร จะทำไหม รายงานเนี่ยะ =_=^”
“ฮ่าๆ ก็ฉันเป็นห่วงแก อย่าคิดมากน่า”
“=_=^ ฉันก็ดีใจที่ทำให้แกยิ้มได้ วันๆ แกหน้าคว่ำบ้าง นิ่งบ้าง นึกว่าทำเป็นอยู่แค่ 2 หน้า”
“ไม่ใช่เครปนี่ จะได้มีให้เลือกหลายหน้า”
“เอาเถอะมุกแก จะไปทำอะไรก็ทำไป”
แล้วก็ถึงเวลาซ้อมใหญ่
และเพลง Echo ก็เริ่มต้นบรรเลง
แต่คราวนี้ ไม่เหมือนหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพราะเป็นเสียงเปียโน กับเสียงร้องเท่านั้น ไม่เหมือนที่มีเครื่องดนตรีสารพัดเป็นวงเหมือนอย่างที่ผ่านมา
และไม่ใช่เสียงร้องเวอร์ชั่นภาษาไทยเหมือนเมื่อกี๊ที่ได้ยิน และที่ได้ยินหลายสัปดาห์ก่อนด้วย
ต้องยอมรับว่า เวอร์ชั่นเปียโนนี่ เพราะจับจิตจับใจ
Echo - of a sweet melody...of tender love
keeps bringing memory...from heaven above.
Soft lights - Gliding through empty space...'yond cloudy skies,
remind me of your dear face...and lovelight in your eyes....
How - I long to be with you...once again.
Hope - and pray, oh yes I do,....all in vain.
Our Song - of it is nothing left...but the echo.
Though time is unforgiving...I know
Our love will...Linger on...for eternity.
โห เสียงร้อง เวอร์ชั่นนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ
เป็นเสียงผู้ชาย
ผิดกับทุกที ที่ไม่เป็นทีมนักร้องประสานเสียง ก็จะเป็นเสียงผู้หญิง
ร้องดีมากแฮะ...รู้สึกราวกับ ร้องความในใจมาบอกเราอย่างนั้น
“ทำหน้าเขินอะไร เขาซ้อมร้องเหอะ ไม่ได้มาร้องให้แก”
“ฮ่าๆ เขาร้องดีในระดับทำฉันเคลิ้มได้นะหมอนี่ เราไปดูกันใกล้ๆ ไหมแก”
กิ่งนิ่งไปพัก...ไม่รู้ว่าไม่อยากไป หรือคำนวณว่า เดินมาไกล ได้นั่งไม่นาน ต้องออกไปเดินอีกแล้ว
แค่ 400 เมตร ไม่ได้หนักหนาหรอกน่า
แม้ฉันจะคิดในใจ แต่สีหน้าฉันอาจสื่อไปหมดแล้ว
“เออ ชมรมนี้อาจมีคนหน้าตาดีให้ได้แทะเล็มบ้าง” กิ่งพูดออกมาในที่สุด
“ให้ได้อย่างนี้สิ!” เมื่อหาเหตุผลให้ร่วมหัวจมท้ายได้แล้ว พวกเราก็เร่งฝีเท้าไปยังทิศของอาคารชมรมดนตรีต่อ
พวกเราลุกจากเก้าอี้ โดยไม่ลืมวางจองที่ไว้บางส่วน หยิบกระเป๋าสะพายติดตัวแล้วบึ่งไปที่ชมรมดนตรีทันที
อาคารสีน้ำตาล ที่ดูคลาสสิค รีโทร เข้ากับกลิ่นอายเครื่องดนตรีคลาสสิคพิลึก
เราแอบแง้มหน้าต่าง มองเข้าไปในตึกชั้น 1 ... มีผู้คนมากมาย แต่เหมือนเขาไมได้ซ้อมกันตรงนี้แฮะ
พวกเราเดินเข้าประตูสองบานที่สูงโปร่งโอ่อ่าแต่เก่ากึ้ก
มองเห็นเปียโนตัวเล็กๆ 1 หลัง แล้วก็เครื่องดนตรีที่อยู่ในตู้ บ้างวางอย่างเป็นระเบียบ บ้างวางอย่างระเกะระกะ
“สวัสดีค่ะ คือ เดินตามเสียงเพลงมา อยากจะไปดูใกล้ๆ ได้ไหมคะ”
ฉันเอ่ยถามผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ คล้ายๆ เป็นโต๊ะลงทะเบียนอะไรสักอย่าง
เหล่ไปเห็นกิ่ง หันซ้าย หันขวา เหมือนเรดาร์หาผู้ชายหน้าตาดีจะเปิดคลื่นเต็มสปีด
“อ๋อ ได้ค่ะ ชั้น 2 นะคะ แต่ต้องดูอยู่นอกห้องนะคะ เพราะว่า เดี๋ยวเปิดประตูแล้วมันจะมีเสียงดังรบกวนการซ้อมค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“แล้วสนใจสมัครเข้าชมรมไหมคะ”
“สนใจคะ เดี๋ยวดูแล้วจะลงมาคุยรายละเอียดนะคะ”
ว่าแล้วพวกเราก็รีบรุดขึ้นไปที่ชั้น 2
บันไดไม้ ใหญ่โตโอ่โถง ไม่เพียงดูคลาสสิค แต่ยังดูขลัง ปน น่าสะพรึงเล็กๆ
ชมรมดนตรีที่นี่ เปิดมานานเท่าไรแล้วนะ ..
เมื่อเราเดินขึ้นไปถึงห้องชั้นสอง ภาพที่เห็นคือ เปียโนแกรนด์สีดำขนาดใหญ่
มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังบรรเลงอยู่
โดยรอบมีผู้คนประมาณ 20 ปียืนดูอยู่รอบๆ อย่างตั้งใจ
ยิ่งเราเดินเข้าไปใกล้ ยิ่งเห็นว่าผู้ชายคนที่บรรเลงนี้...หน้าตาดีมาก คิ้วเข้ม จมูกโด่งคมสัน ตาโต ผิวขาว ยิ่งเล่นเปียโนเพลงแว่ว....
ใครดูแล้วไม่เคลิ้มให้ถีบกิ่งเลย
“โหว์.... นักเปียโนหล่อโคตร งานดีมาก เล่นเปียโนเก่งอีก” ไม่ทันคิดจบ กิ่งก็เพ้อออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
ที่เปียโนมีขาตั้งและไมโครโฟน....สำหรับนักเปียโน
อย่าบอกนะว่า...เจ้าของเสียงนี่...คือสุดหล่อนี่ด้วย
How - I long to be with you...once again.
Hope - and pray, oh yes I do,....all in vain.
Our Song - of it is nothing left...but the echo.
พวกเราฟังเพลงสุดไพเราะนี้กันสักพัก กิ่งก็กระซิบขึ้นเบาๆ
“อยากจะเป็นลมว่ะ ชักอยากย้ายชมรมแระ” กิ่งกระซิบเบาๆ ขณะที่เราสองคนแอบส่องการซ้อมสุดขนลุกนี้
“ดีมาก แกอยู่สองชมรมเลยสิวะ”
“ปัญหาคือ ฉันเล่นดนตรีอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“คิดว่าฉันเล่นได้รึไง”
“แกยังมีใจรัก ส่วนฉันนี่ เฮ้ย! ”
“เฮ้ยอะไรแก เบาๆ หน่อย” ฉันรีบปิดปากกิ่ง แล้วกระซิบพลางหันซ้ายหันขวา
ไปรบกวนการซ้อม เดี๋ยวพาลเขาไม่รับเข้าชมรมขึ้นมาจะว่ายังไง
“พวกเราต้องรีบไปส่งรายงานแล้วว่ะแก อะไรวะ แป๊บเดียวจะสี่โมงแล้ว”
กิ่งพูดพลางชี้นาฬิกาด้วยความร้อนรน
“เออ ไว้วันอื่นค่อยมาใหม่แล้วกัน”
ฉันเหลียวไปมองการซ้อมในห้องอีกครั้ง เหมือนเขาจะซ้อมเสร็จกันแล้ว
พวกเรารีบลงไปที่ชั้นล่าง เจอสาวที่นั่งโต๊ะลงทะเบียนพอดี
“ไว้จะมาสมัครอีกทีนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”
ไม่รอคำตอบ พวกเราก็เดินออกมาด้านนอก
แต่ยังไม่ทันจะห่างจากตัวอาคารสุดขลัง แหล่งที่มาแห่งเสียงเพลงเหมือนดังฝันของฉัน
ตุ้บ! โครม! “โอ๊ย!” แคร็ก! จ๋อม!
เจ็บ...
เหมือนมีอะไรสักอย่างที่หนักๆ ปึกใหญ่ปึกหนึ่งตกใส่ฉันอย่างจัง...
เจ็บอย่างกะครกหล่นลงมาใส่จากชั้น 72
นอกจากเจ็บแล้ว คือ มึน