หนังโคดเจ๋งอ่ะบอกเลย ทีนี้มาดูเชิงประวัติศาสตร์สงครามโลกกันบ้าง
คำเตือน : ข้อความถัดจากนี้อาจมีส่วนสปอยของหนัง
เมื่อไดอาน่าออกมาจากเกาะลับของชาวอเมซอน เธอมุ่งหมายจะจบสงครามที่เรียกว่า " the war to end all wars " นั่นหมายความว่า superhero ที่ Gal Gadot เล่นนั้น ไม่เพียงต้องต่อสู้กับเทพที่ชั่วร้าย แต่ต้องสู้กับเทคโนโลยีทางทหารต่างๆที่มีในสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบินรบ ปืนกล และสิ่งที่สำคัญที่สุดในพล็อตเรื่องก็คือ แก็ซพิษ
สงครามอาวุธเคมีเป็นส่วนสำคัญในเรื่อง wonder woman และแม้ว่า DC comics อาจจะไม่ใช่แหล่งสำคัญที่จะมองหาความถูกต้องตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวของแก็ซพิษในหนังก็ทำได้สมจริงตามประวัติศาสตร์มากกว่าหนัง superhero อีกหลายเรื่อง
สงครามอาวุธเคมี
แก็ซพิษมีจุดประสงค์ใช้เพื่อหวังผลชนะสงคราม เรื่องนี้ Wonder Woman คิดถูกร้อยเปอร์เซ็น
ในหนัง นายพลเยอรมันผู้ชั่วร้ายกะจะใช้สุดยอดแก็ซพิษโคดอันตรายของเขาจัดการอังกฤษแบบทีเดียวให้สิ้นซาก ในโลกแห่งความเป็นจริง ลวดหนามและปืนกลได้เปลี่ยนสงครามภาคพื้นดิน ให้กลายเป็นสงครามสนามเพลาะ คุมเชิงกันและกันจนแนวหน้าไม่อาจรุกคืบไปได้ มันจึงขึ้นอยู่กับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในการหาทางแก้ไข

สนามเพลาะใน WWI
ผลจากการคิดค้นอันที่จริงก็ทำให้เกิดสิ่งที่ดีมีประโยชน์ออกมาบ้าง อย่าง ยางสังเคราะห์ และ อัลตร้าซาวด์ แต่ก็เกิดสิ่งชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีสมมรถนะการทำลายล้างสูงอย่าง แก็ซพิษ และ ยุทธวิธีในการทำลายเป้าหมายที่เป็นพลเมืองทั่วไป (ไม่ใช่ทหาร)
สงครามแก็ซพิษอันที่จริงก็มีใช้กันในบางรูปแบบมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการใช้ควันไฟในการไล่ศัตรูให้ออกมาจากโพรงหรือถ้ำ และการเพิ่มสารหนูหรือซัลเฟอร์ลงไปในวัตถุดิบที่ใช้เผา จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แต่ถึงอย่างไร อาวุธแบบนี้ก็ไม่ได้ผลใดๆเลยในที่เปิดโล่ง
การโจมตีด้วยแก็ซพิษในสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มจากเอาแก็ซน้ำตาใส่ในปลอกกระสุนแล้วยิงด้วยปืนใหญ่ เป็นการใช้เพื่อไล่ศัตรูให้ออกจากที่มั่นในสนามเพลาะ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่แก็ซจะเพียงพอกับการใช้งานให้ได้ผล อันที่จริงเมื่อตอนที่เยอรมันใช้กระสุนแก็ซพิษที่บรรจุแก็ซพิษชื่อ Dianisidine กับฝรั่งเศส ทหารฝรั่งเศสไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นแก็ซเลยด้วยซ้ำ อ่อนจริงๆ เจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่งได้เชมเปน 1 ลังฟรีๆ เพราะชนะพนันว่า เขาสามารถยืนอยู่กลางหมอกของแก็ซพิษได้เป็นเวลา 5 นาที
เยอรมันยกระดับสงครามแก็ซพิษด้วยการผลิตในแบบโรงงานอุตสาหกรรม ก่อนสงครามจะปะทุขึ้น นักเคมีของเยรมันเป็นผู้นำในการทำสีย้อม แก็ซคลอรีนที่เป็นพิษ เป็นผลที่ได้จากอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งหมายถึงมีแก็ซคลอรีนจำนวนมากเก็บไว้อยู่ในโกดัง ในเดือนเมษายน 1915 เยอรมันมีคลอรีนสะสมในคลัง 6,000 กระบอก คิดเป็นแก็ซน้ำหนักกว่า 150 ตันเพื่อใช้รุกคืบสนามเพลาะที่ Ypres
เมื่อลมพัดในทิศที่เหมาะสม เยอรมันได้ปล่อยแก็ซเพื่อจัดการฝรั่งเศสที่ห่างออกไป 4 ไมล์ ส่วนกองทัพของแคนนาดาผู้ซึ่งต้องปะทะกับเยรมันในวันต่อมาต้องเจอกับการโจมตีด้วยแก็ซพิษที่หนักยิ่งกว่า
ผลของมันน่าสยดสยองมาก หมอกสีเขียวทำให้ปอดของเหยื่อเต็มไปด้วยน้ำและของเหลว ไม่ต่างอะไรกับจมน้ำตายบนบก ประมาณการว่ามีคนถูกฆ่าตายไปถึง 1,000 - 5,000 คน ส่วนจำนวนผู้บาดเจ็บสาหัสมีมากยิ่งกว่า
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าสู่ สงครามอาวุธเคมี ต่างแข่งขันกันพัฒนาอาวุธแก็ซพิษใหม่ๆที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเก่า
คลอรีนไม่สมบูรณ์แบบเพราะมันต้องใช้ปริมาณมาก ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรวบรวมแก็ซได้พอและต้องใช้ท่อส่งแก็ซเพื่อวางจุดปล่อยแก็ซให้อยู่ในตำแหน่ง นี่ทำให้คลอรีนเหมาะใช้ในการป้องกันฐานที่มั่น มากกว่าการโจมตีเพื่อรุกคืบ ผลของมันเลยทำให้สงครามสนามเพลาะยิ่งยืดเยื้อไปยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนนี้ ทหารทุกคนต้องใส่หน้ากากกันแก็ซพิษและเครื่องช่วยหายใจ
คุณมันตาร์ดจอมโหด
กองทัพต้องการแก็ซพิษที่ใช้ปริมาณน้อย และสามารถยิงด้วยปืนใหญ่ได้ ซึ่งนำไปสู่แก็ซที่ร้ายแรงที่สุดในสงครามครั้งนี้ phosgene ซึ่งมีกลิ่นคล้ายฟาง และทำลายปอดจนคนขาดอากาศหายใจทั้งยืน
85% ของผู้ที่ตายจากแก็ซพิษในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นผลงานของ phosgene
แต่ชื่อเสียงของมันไม่โด่งดังเท่าญาติสนิทที่น่ากลัวยิ่งกว่า นั่นก็คือ....
แก็ซมันตาร์ด ซึ่งก็คือแก็ซในหนัง Wonder Woman มีความรุนแรงน้อยกว่าอาวุธเคมีชนิดอื่นๆ มีอัตราการตายเพียงแค่ 2% เท่านั้น ถึงอย่างนั้นเยอรมันก็เรียกมันว่า "ราชาแห่งแก็ซ" เพราะมีเหตุผล แม้ว่าเทียบกับแก็ซอื่นมันจะทำให้ตายในอัตราที่ต่ำ แต่มันกลับมีประสิทธิภาพมากในการจัดการทุกๆคนที่สัมผัสแก็ซให้ไร้ความสามารถที่จะต่อสู้ หน้ากากกันแก็ซพิษไร้ประโยชน์กับแก็ซมาสตาร์ดซึ่งทำให้เกิดแผลพุพองไปทั่วผิวหนังทุกจุดที่แก็ซสัมผัสโดน แน่นอนว่าหายใจเข้าไปยิ่งหนักกว่าเดิม

สภาพของเหยื่อที่สัมผัสแก็ซมัสตาร์ด
หนังแสดงถึงสุดยอดแก็ซมัสตาร์ดซึ่งน่าจะมีส่วนประกอบของไฮโดรเจนและกัดกร่อนหน้ากากจนใช้การไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้ว เยอรมันคิดค้นวิธีจัดการหน้ากากกันแก็ซพิษในยุคเริ่มแรกได้ พวกเขาผสมแก็ซคลอรีนพิษกับแก็ซน้ำตาที่อยู่ในรูปของ Chloro-formate หน้ากากกันแก็ซพิษในช่วงนั้นกันคลอรีนแต่ไม่กันแก็ซน้ำตา แก็ซจึงเข้าไปในหน้ากากจนคนใส่ทนไม่ไหว เริ่มไอ สำลัก และถอดหน้ากากออกเพื่อให้หายใจได้ดีขึ้น และสูดเอาคลอรีนเข้าไปในที่สุด
แม้ว่าแก็ซไฮโดรเจนมัสตาร์ดแบบในหนังจะไม่มีอยู่จริง แต่ก็มีแก็ซที่เรียกว่า ไนโตรเจนมัสตาร์ด แก็ซชนิดนี้ให้ผลคล้ายคลึงกับแก็ซมันตาร์ด แต่เรื่องราวตอนจบของมันกลับต่างออกไปสิ้นเชิง
หลังสงคราม หมอแห่งมหาวิทยาลัยเยลสองคนได้ค้นพบว่า เหยื่อที่ได้รับแก็ซพิษไนโตรเจนมัสตาร์ดจะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดต่ำ พวกเขาคิดว่าแก็ซพิษได้ทำลายเม็ดเลือดขาว ดังนั้นน่าจะสามารถนำมาใช้เป็นเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นเกินการควบคุม ซึ่งทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง ในเวลาต่อมาอนุพันธ์ของในโตรเจนมัสตาร์ดได้นำมาช่วยชีวิตคน
ในโลกแห่งความเป็นจริง ยังมีความพยายามคิดค้นสุดยอดแก็ซพิษอื่นๆอีก เช่น แก็ซ Lewisite พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี 1920 รู้จักกันในชื่อ "dew of death" และว่ากันว่า "มีพิษร้ายแรงกว่ามัสตาร์ดแก็ซ 72 เท่า" แค่หยดหนึ่งบนมือก็ทำให้ถึงตายได้ สหรัฐมีแก็ซชนิดนี้สะสมอยู่ 20,000 ตัน
แก็ซพิษที่ทำให้พุพอง หรือ Phosgene oxime นั้นสร้างความระคายเคืองยิ่งกว่าแก็ซมันตาร์ด แก็ซชนิดนี้ถูกพัฒนาให้เป็นอาวุธโดยรัสเซีย มีการผลิตครั้งแรกในปี 1929 และไม่เคยถูกนำออกมาใช้
เครื่องบินทิ้งระเบิด
ฉากไคลแม็กซ์ของหนังจะมีอาวุธในสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกชนิดหนึ่งนั่นคือ "เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดยักษ์" ในช่วงที่สงครามปะทุขึ้นใหม่ๆ ศาสตร์การบินเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ และการทิ้งระเบิดก็เป็นของแปลกใหม่ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะใช้ประโยชน์ได้มากน้อยขนาดไหน นักบินอิตาลี Giulio Gavotti ได้ทำการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินเป็นครั้งแรกของโลก โดยขว้างระเบิดจากเครื่องบินลงใส่ทหารตุรกี ในปี 1911 วัตถุระเบิดหนัก 3 ปอนด์สร้างผลกระทบเพียงน้อยนิด
แม้ว่าเรือเหาะ Zeppelin สามารถขนวัตถุระเบิดปริมาณมากๆได้ แต่ด้วยความที่เรือเหาะไม่สามารถบินต้านกระสลมแรง และการที่ไม่สามารถต่อกรกับสมรรถนะดีขึ้นเรื่อยๆของเครื่องบินแบบปีก 2 ชั้น (biplane) ทำให้การทิ้งระเบิดถูกพักเอาไว้

เรือเหาะ Zeppeline
แต่เมื่อถึงปี 1918 เยอรมันมีอาวุธสงครามอันใหม่ คือ เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่แบบหลายเครื่องยนต์ ซึ่งสามารถบินไปโจมตีเมืองของศัตรูที่อยู่ห่างออกไปเป็นร้อยๆไมล์ได้ อย่าง Gotha G.V ก็น่าประทับใจพอตัว แต่ Zeppelin-Staaken R.VI ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเป็นเครื่องบินปีก 2 ชั้น 4 เครื่องยนต์ ความกว้างของปีก 139 ฟุต คล้ายกับ B-29 Superfortress ของสงครามโลกครั้งที่ 2 และสามารถขนระเบิดได้ถึง 4,500 ปอนด์ บินด้วยความเร็วสูงสุดเพียงแค่ 85 ไมล์/ชั่วโมง แต่เจ้ายักตัวนี้ก็ทนทานมาก และไม่เคยโดนอังกฤษยิงตกเลยแม้แต่ครั้งเดียวจากการบินไปโจมตีกว่า 50 ครั้ง แม้ว่าปกติจะขนระเบิดไปในปริมาณน้อย แต่เจ้ายักษ์ตัวนี้ก็เคยขนระเบิดหนักถึง 2,200 ปอนด์ขึ้นโจมตี หนึ่งในนั้นที่โดนคือโรงพยาบาลเชลซีในลอนดอน

Zeppelin-Staaken R.VI
ใน Wonder Woman เครื่องบินทิ้งระเบิดใช้ขนระเบิดแก็ซพิษ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นหรือทดลองทำมาก่อนในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้ว่าทุกคนจะตระหนักถึงความเป็นไปได้ของมัน ในความเป็นจริงแล้ว การโจมตีด้วยสารเคมีทางเครื่องบินครั้งแรกของโลก กระทำโดยอังกฤษ ในปี 1919 โดยใช้โจมตีรัสเซีย (สารที่ใช้คืออนุพันธ์ของ arsenic) ในปี 1920 สโลแกน "เครื่องบินทิ้งระเบิดผ่านด่านเข้ามาได้เสมอ" กลายเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และมันเป็นการยอมรับไปในตัวว่า ประชาชนพลเมืองจำเป็นต้องมีหน้ากากกันแก็ซพิษและหลุมหลบภัยเพื่อให้รอดชีวิต
สงครามเพื่อจบสงครามทั้งมวลปิดฉากลงในปี 1918 ด้วยความช่วยเหลือหรือไม่ก็ตามของ Wonder Woman แต่พัฒนาการของอาวุธเคมียังมีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังเช่นแก็ซ ซาริน ที่ใช้ในซีเรีย ซึ่งโหดร้ายรุนแรงกว่าจุดเริ่มต้นของมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 มากนัก
http://www.popularmechanics.com/culture/movies/a26769/world-war-i-poison-gas-wonder-woman/
Wonder Woman กับเรื่องจริงของแก็ซพิษที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1
หนังโคดเจ๋งอ่ะบอกเลย ทีนี้มาดูเชิงประวัติศาสตร์สงครามโลกกันบ้าง
คำเตือน : ข้อความถัดจากนี้อาจมีส่วนสปอยของหนัง
เมื่อไดอาน่าออกมาจากเกาะลับของชาวอเมซอน เธอมุ่งหมายจะจบสงครามที่เรียกว่า " the war to end all wars " นั่นหมายความว่า superhero ที่ Gal Gadot เล่นนั้น ไม่เพียงต้องต่อสู้กับเทพที่ชั่วร้าย แต่ต้องสู้กับเทคโนโลยีทางทหารต่างๆที่มีในสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบินรบ ปืนกล และสิ่งที่สำคัญที่สุดในพล็อตเรื่องก็คือ แก็ซพิษ
สงครามอาวุธเคมีเป็นส่วนสำคัญในเรื่อง wonder woman และแม้ว่า DC comics อาจจะไม่ใช่แหล่งสำคัญที่จะมองหาความถูกต้องตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวของแก็ซพิษในหนังก็ทำได้สมจริงตามประวัติศาสตร์มากกว่าหนัง superhero อีกหลายเรื่อง
สงครามอาวุธเคมี
แก็ซพิษมีจุดประสงค์ใช้เพื่อหวังผลชนะสงคราม เรื่องนี้ Wonder Woman คิดถูกร้อยเปอร์เซ็น
ในหนัง นายพลเยอรมันผู้ชั่วร้ายกะจะใช้สุดยอดแก็ซพิษโคดอันตรายของเขาจัดการอังกฤษแบบทีเดียวให้สิ้นซาก ในโลกแห่งความเป็นจริง ลวดหนามและปืนกลได้เปลี่ยนสงครามภาคพื้นดิน ให้กลายเป็นสงครามสนามเพลาะ คุมเชิงกันและกันจนแนวหน้าไม่อาจรุกคืบไปได้ มันจึงขึ้นอยู่กับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในการหาทางแก้ไข
สนามเพลาะใน WWI
ผลจากการคิดค้นอันที่จริงก็ทำให้เกิดสิ่งที่ดีมีประโยชน์ออกมาบ้าง อย่าง ยางสังเคราะห์ และ อัลตร้าซาวด์ แต่ก็เกิดสิ่งชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีสมมรถนะการทำลายล้างสูงอย่าง แก็ซพิษ และ ยุทธวิธีในการทำลายเป้าหมายที่เป็นพลเมืองทั่วไป (ไม่ใช่ทหาร)
สงครามแก็ซพิษอันที่จริงก็มีใช้กันในบางรูปแบบมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการใช้ควันไฟในการไล่ศัตรูให้ออกมาจากโพรงหรือถ้ำ และการเพิ่มสารหนูหรือซัลเฟอร์ลงไปในวัตถุดิบที่ใช้เผา จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แต่ถึงอย่างไร อาวุธแบบนี้ก็ไม่ได้ผลใดๆเลยในที่เปิดโล่ง
การโจมตีด้วยแก็ซพิษในสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มจากเอาแก็ซน้ำตาใส่ในปลอกกระสุนแล้วยิงด้วยปืนใหญ่ เป็นการใช้เพื่อไล่ศัตรูให้ออกจากที่มั่นในสนามเพลาะ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่แก็ซจะเพียงพอกับการใช้งานให้ได้ผล อันที่จริงเมื่อตอนที่เยอรมันใช้กระสุนแก็ซพิษที่บรรจุแก็ซพิษชื่อ Dianisidine กับฝรั่งเศส ทหารฝรั่งเศสไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นแก็ซเลยด้วยซ้ำ อ่อนจริงๆ เจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่งได้เชมเปน 1 ลังฟรีๆ เพราะชนะพนันว่า เขาสามารถยืนอยู่กลางหมอกของแก็ซพิษได้เป็นเวลา 5 นาที
เยอรมันยกระดับสงครามแก็ซพิษด้วยการผลิตในแบบโรงงานอุตสาหกรรม ก่อนสงครามจะปะทุขึ้น นักเคมีของเยรมันเป็นผู้นำในการทำสีย้อม แก็ซคลอรีนที่เป็นพิษ เป็นผลที่ได้จากอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งหมายถึงมีแก็ซคลอรีนจำนวนมากเก็บไว้อยู่ในโกดัง ในเดือนเมษายน 1915 เยอรมันมีคลอรีนสะสมในคลัง 6,000 กระบอก คิดเป็นแก็ซน้ำหนักกว่า 150 ตันเพื่อใช้รุกคืบสนามเพลาะที่ Ypres
เมื่อลมพัดในทิศที่เหมาะสม เยอรมันได้ปล่อยแก็ซเพื่อจัดการฝรั่งเศสที่ห่างออกไป 4 ไมล์ ส่วนกองทัพของแคนนาดาผู้ซึ่งต้องปะทะกับเยรมันในวันต่อมาต้องเจอกับการโจมตีด้วยแก็ซพิษที่หนักยิ่งกว่า
ผลของมันน่าสยดสยองมาก หมอกสีเขียวทำให้ปอดของเหยื่อเต็มไปด้วยน้ำและของเหลว ไม่ต่างอะไรกับจมน้ำตายบนบก ประมาณการว่ามีคนถูกฆ่าตายไปถึง 1,000 - 5,000 คน ส่วนจำนวนผู้บาดเจ็บสาหัสมีมากยิ่งกว่า
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าสู่ สงครามอาวุธเคมี ต่างแข่งขันกันพัฒนาอาวุธแก็ซพิษใหม่ๆที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเก่า
คลอรีนไม่สมบูรณ์แบบเพราะมันต้องใช้ปริมาณมาก ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรวบรวมแก็ซได้พอและต้องใช้ท่อส่งแก็ซเพื่อวางจุดปล่อยแก็ซให้อยู่ในตำแหน่ง นี่ทำให้คลอรีนเหมาะใช้ในการป้องกันฐานที่มั่น มากกว่าการโจมตีเพื่อรุกคืบ ผลของมันเลยทำให้สงครามสนามเพลาะยิ่งยืดเยื้อไปยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนนี้ ทหารทุกคนต้องใส่หน้ากากกันแก็ซพิษและเครื่องช่วยหายใจ
คุณมันตาร์ดจอมโหด
กองทัพต้องการแก็ซพิษที่ใช้ปริมาณน้อย และสามารถยิงด้วยปืนใหญ่ได้ ซึ่งนำไปสู่แก็ซที่ร้ายแรงที่สุดในสงครามครั้งนี้ phosgene ซึ่งมีกลิ่นคล้ายฟาง และทำลายปอดจนคนขาดอากาศหายใจทั้งยืน
85% ของผู้ที่ตายจากแก็ซพิษในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นผลงานของ phosgene
แต่ชื่อเสียงของมันไม่โด่งดังเท่าญาติสนิทที่น่ากลัวยิ่งกว่า นั่นก็คือ....
แก็ซมันตาร์ด ซึ่งก็คือแก็ซในหนัง Wonder Woman มีความรุนแรงน้อยกว่าอาวุธเคมีชนิดอื่นๆ มีอัตราการตายเพียงแค่ 2% เท่านั้น ถึงอย่างนั้นเยอรมันก็เรียกมันว่า "ราชาแห่งแก็ซ" เพราะมีเหตุผล แม้ว่าเทียบกับแก็ซอื่นมันจะทำให้ตายในอัตราที่ต่ำ แต่มันกลับมีประสิทธิภาพมากในการจัดการทุกๆคนที่สัมผัสแก็ซให้ไร้ความสามารถที่จะต่อสู้ หน้ากากกันแก็ซพิษไร้ประโยชน์กับแก็ซมาสตาร์ดซึ่งทำให้เกิดแผลพุพองไปทั่วผิวหนังทุกจุดที่แก็ซสัมผัสโดน แน่นอนว่าหายใจเข้าไปยิ่งหนักกว่าเดิม
สภาพของเหยื่อที่สัมผัสแก็ซมัสตาร์ด
หนังแสดงถึงสุดยอดแก็ซมัสตาร์ดซึ่งน่าจะมีส่วนประกอบของไฮโดรเจนและกัดกร่อนหน้ากากจนใช้การไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้ว เยอรมันคิดค้นวิธีจัดการหน้ากากกันแก็ซพิษในยุคเริ่มแรกได้ พวกเขาผสมแก็ซคลอรีนพิษกับแก็ซน้ำตาที่อยู่ในรูปของ Chloro-formate หน้ากากกันแก็ซพิษในช่วงนั้นกันคลอรีนแต่ไม่กันแก็ซน้ำตา แก็ซจึงเข้าไปในหน้ากากจนคนใส่ทนไม่ไหว เริ่มไอ สำลัก และถอดหน้ากากออกเพื่อให้หายใจได้ดีขึ้น และสูดเอาคลอรีนเข้าไปในที่สุด
แม้ว่าแก็ซไฮโดรเจนมัสตาร์ดแบบในหนังจะไม่มีอยู่จริง แต่ก็มีแก็ซที่เรียกว่า ไนโตรเจนมัสตาร์ด แก็ซชนิดนี้ให้ผลคล้ายคลึงกับแก็ซมันตาร์ด แต่เรื่องราวตอนจบของมันกลับต่างออกไปสิ้นเชิง
หลังสงคราม หมอแห่งมหาวิทยาลัยเยลสองคนได้ค้นพบว่า เหยื่อที่ได้รับแก็ซพิษไนโตรเจนมัสตาร์ดจะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดต่ำ พวกเขาคิดว่าแก็ซพิษได้ทำลายเม็ดเลือดขาว ดังนั้นน่าจะสามารถนำมาใช้เป็นเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นเกินการควบคุม ซึ่งทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง ในเวลาต่อมาอนุพันธ์ของในโตรเจนมัสตาร์ดได้นำมาช่วยชีวิตคน
ในโลกแห่งความเป็นจริง ยังมีความพยายามคิดค้นสุดยอดแก็ซพิษอื่นๆอีก เช่น แก็ซ Lewisite พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี 1920 รู้จักกันในชื่อ "dew of death" และว่ากันว่า "มีพิษร้ายแรงกว่ามัสตาร์ดแก็ซ 72 เท่า" แค่หยดหนึ่งบนมือก็ทำให้ถึงตายได้ สหรัฐมีแก็ซชนิดนี้สะสมอยู่ 20,000 ตัน
แก็ซพิษที่ทำให้พุพอง หรือ Phosgene oxime นั้นสร้างความระคายเคืองยิ่งกว่าแก็ซมันตาร์ด แก็ซชนิดนี้ถูกพัฒนาให้เป็นอาวุธโดยรัสเซีย มีการผลิตครั้งแรกในปี 1929 และไม่เคยถูกนำออกมาใช้
เครื่องบินทิ้งระเบิด
ฉากไคลแม็กซ์ของหนังจะมีอาวุธในสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกชนิดหนึ่งนั่นคือ "เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดยักษ์" ในช่วงที่สงครามปะทุขึ้นใหม่ๆ ศาสตร์การบินเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ และการทิ้งระเบิดก็เป็นของแปลกใหม่ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะใช้ประโยชน์ได้มากน้อยขนาดไหน นักบินอิตาลี Giulio Gavotti ได้ทำการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินเป็นครั้งแรกของโลก โดยขว้างระเบิดจากเครื่องบินลงใส่ทหารตุรกี ในปี 1911 วัตถุระเบิดหนัก 3 ปอนด์สร้างผลกระทบเพียงน้อยนิด
แม้ว่าเรือเหาะ Zeppelin สามารถขนวัตถุระเบิดปริมาณมากๆได้ แต่ด้วยความที่เรือเหาะไม่สามารถบินต้านกระสลมแรง และการที่ไม่สามารถต่อกรกับสมรรถนะดีขึ้นเรื่อยๆของเครื่องบินแบบปีก 2 ชั้น (biplane) ทำให้การทิ้งระเบิดถูกพักเอาไว้
เรือเหาะ Zeppeline
แต่เมื่อถึงปี 1918 เยอรมันมีอาวุธสงครามอันใหม่ คือ เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่แบบหลายเครื่องยนต์ ซึ่งสามารถบินไปโจมตีเมืองของศัตรูที่อยู่ห่างออกไปเป็นร้อยๆไมล์ได้ อย่าง Gotha G.V ก็น่าประทับใจพอตัว แต่ Zeppelin-Staaken R.VI ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเป็นเครื่องบินปีก 2 ชั้น 4 เครื่องยนต์ ความกว้างของปีก 139 ฟุต คล้ายกับ B-29 Superfortress ของสงครามโลกครั้งที่ 2 และสามารถขนระเบิดได้ถึง 4,500 ปอนด์ บินด้วยความเร็วสูงสุดเพียงแค่ 85 ไมล์/ชั่วโมง แต่เจ้ายักตัวนี้ก็ทนทานมาก และไม่เคยโดนอังกฤษยิงตกเลยแม้แต่ครั้งเดียวจากการบินไปโจมตีกว่า 50 ครั้ง แม้ว่าปกติจะขนระเบิดไปในปริมาณน้อย แต่เจ้ายักษ์ตัวนี้ก็เคยขนระเบิดหนักถึง 2,200 ปอนด์ขึ้นโจมตี หนึ่งในนั้นที่โดนคือโรงพยาบาลเชลซีในลอนดอน
Zeppelin-Staaken R.VI
ใน Wonder Woman เครื่องบินทิ้งระเบิดใช้ขนระเบิดแก็ซพิษ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นหรือทดลองทำมาก่อนในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้ว่าทุกคนจะตระหนักถึงความเป็นไปได้ของมัน ในความเป็นจริงแล้ว การโจมตีด้วยสารเคมีทางเครื่องบินครั้งแรกของโลก กระทำโดยอังกฤษ ในปี 1919 โดยใช้โจมตีรัสเซีย (สารที่ใช้คืออนุพันธ์ของ arsenic) ในปี 1920 สโลแกน "เครื่องบินทิ้งระเบิดผ่านด่านเข้ามาได้เสมอ" กลายเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และมันเป็นการยอมรับไปในตัวว่า ประชาชนพลเมืองจำเป็นต้องมีหน้ากากกันแก็ซพิษและหลุมหลบภัยเพื่อให้รอดชีวิต
สงครามเพื่อจบสงครามทั้งมวลปิดฉากลงในปี 1918 ด้วยความช่วยเหลือหรือไม่ก็ตามของ Wonder Woman แต่พัฒนาการของอาวุธเคมียังมีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังเช่นแก็ซ ซาริน ที่ใช้ในซีเรีย ซึ่งโหดร้ายรุนแรงกว่าจุดเริ่มต้นของมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 มากนัก
http://www.popularmechanics.com/culture/movies/a26769/world-war-i-poison-gas-wonder-woman/