[CR] แบกเป้เที่ยวเมียนมาร์ 7 วัน 5 เมือง ด้วยงบไม่ถึงหมื่น ตอนที่ 4 ตะลุยมัณฑเลย์..ก่อนเทกลับบ้าน (ตอนจบ)

ผู้ชาย
“มิงกาลาบา” คงจะกลายเป็นคำกล่าวครั้งสุดท้ายในกระทู้นี้ เพราะตอนจบได้เดินทางมาถึงแล้ว  
อมยิ้ม34
Day6 (16 พฤษภาคม 2560) วัดพระมหามัยมุนีย์ (Maha Muni Temple) - พระราชวังมัณฑเลย์ (Mandalay Golden Palace)-วัดชเวนันดอร์(Shwenandaw Temple)--วัดอตุมาชิ (Atumashi Temple)-วัดกุโสดอร์ (kuthodaw pagoda)-วัดพระธาตุซันดามุนีย์ (Sanda Muni Pagoda)-จุดชมวิวเมืองมัณฑเลย์ (Mandalay Hill)-Kyauk Taw Gyi Buddha Image – mingala Market
Day7 (17 พฤษภาคม 2560) เมือง Tada U – สนามบินนานาชาติมัณฑเลย์ (Mandalay Int; Airport)อมยิ้ม33
อ่านย้อนหลังตอนที่ 1โหนรถเมย์ตะลุยย่างกุ้ง https://pantip.com/topic/36507616/comment2
อ่านย้อนหลังตอนที่ 2 ผจญภัยในอาณาจักรแห่งทะเลเจดีย์ https://pantip.com/topic/36542154
อ่านย้อนหลังตอนที่ 3 นั่งสองแถว ปั่นสองล้อ เที่ยวสองเมือง https://pantip.com/topic/36556681
อมยิ้ม33

ในตอนสุดท้ายท้ายสุดนี้ ผมจะพาคุณซึ่งกำลังอ่านอยู่นี้ตื่นเช้ากันหน่อยๆ เพราะ Day6 ของการเดินทางจะพาไปดูพิธีอันศักสิทธิ์อีกหนึ่งพิธีกรรมของเมียนมาร์ ... ทว่าทันใดนั้นเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น ขณะนี้เวลา 03.30 น. ผมกับเพื่อนร่วมทางรีบตื่นไปแปรงฟันล้างหน้าเปลี่ยนชุด (ยังไม่อาบน้ำ เข้าเกินไป อิอิ) แล้วออกเดินทางไปยังวัดพระมหามัยมุนีย์ ซึ่งอยู่ห่างจากโฮสเทลของเราประมาณ 2 กม. เดินกันมืดๆ มากัน 2 คน ท่ามกลางฝูงสุนัขที่คอยเห่าทักทาย และแล้วก็เดินมาถึงหน้าวัด เริ่มมองเห็นผู้คนเดินมาวัดกัน  
เวลา 04.20 น. เราเดินมาถึงบริเวณประตูทางเข้าไปภายในวิหารซึ่งกำลังจะเปิดให้คนเข้าไปพอดี ทันใดนั้นเราก็ไม่รีรอที่จะหาที่ถอดรองเท้า เราเอาไปถอดเรียงกันไว้บริเวณริมกำแพงวัด หวังเพียงว่าคงจะไม่หาย แล้วก็รีบเดินแซงผู้คนเข้าไปนั่งหน้าสุด โดยเขาจะกั้นที่นั่งไว้ให้ผู้ชายมีสิทธิ์ได้นั่งใกล้พระมหามัยมุนีย์ ส่วนผู้หญิงจะได้นั่งด้านหลังเขตกั้น วัดแห่งนี้เข้าชมฟรี

เวลาประมาณ 04.30 น. ประตูเหล็กที่จะเข้าไปหาองค์พระมหามันมุนีย์ก็ได้เปิดออกโดยผู้ที่จะไปทำพิธีล้างหน้าพระพักตร์พระมหามัยมุนีย์ เสียงดนตรีเริ่มดังขึ้นมาพร้อมกับบรรยากาศชวนขนลุกและความน่าหลงใหลที่จะได้เห็นองค์พระมหามัยมุนีย์ เพราะก่อนหน้าที่เคยเห็นแต่ทีวีและหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความฝันของผมที่อยากมาดูให้เห็นกับตามสักครั้งในชีวิต

เมื่อประตูเปิดออก ลำดับพิธีกรรมต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นมาพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของผู้ที่มาร่วมพิธีดังมาจากด้านหลัง แต่น่าเสียงดายที่บริเวณซุ้มประตูเข้าสู่องค์พระมหามัยมุนีย์กำลังมีการบูรณะ ทำให้บดบังองค์พระเล็กน้อย

พระมหามัยมุนีย์ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ ปัจจุบันคือ 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของเมียนมาร์ ชาวเมียนมาร์เชื่อว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เนื่องจากเคยได้รับลมหายใจจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ แต่พระเจ้าปดุงตีเมืองยะไข่แตกและอัญเชิญพระมหามัยมุนีย์ล่องแม่น้ำอิระวดีมาประดิษฐานไว้ที่เมืองมัณฑเลย์ ซึ่งตรงกับช่วงการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์

พิธีกรรมการล้างพระพักตร์ของพระมาหามัยมุนีย์จะเริ่มตั้งแต่เอาผ้ามาคลุมองค์พระพุทธรูป ถวายดอกไม้ ล้างหน้า แปรงฟันให้องค์พระพุทธรูปด้วยแปรงทองคำ ถวายอาหารด้วยภาชนะทองคำ ระหว่างนั้นก็จะมีการพัดให้องค์พระพุทธรูปตลอดเวลา

เราสามารถนำผ้าสะอาดมาร่วมพิธีเช็ดหน้าพระพักตร์ของพระมหามัยมุนีย์ได้ แต่ต้องเอาไปรวมกับผ้าผืนอื่นๆ ในช่วงที่เราเดินเข้ามาจะมีพานให้วาง หลังจากเสร็จพิธีแล้วเราค่อยไปเอาคืน หรือสามารถนำขนมนมเนยไปถวายให้กับองค์พระมหามัยมุนีย์ได้โดยจะมีผู้รอรับสิ่งของถวายจากเรา(เดินเอาไปให้เขาด้านในห้องพิธีเลย) หลังจากเสร็จพิธีแล้วเราก็จะได้ขนมนมเนยนั่นกลับมาให้เราได้รับประทานเป็นอาหารมงคลได้
เจ้าอาวาสยังเป็นคนเดียวกันกับที่เคยเห็นในภาพถ่าย

และแล้วก็เสร็จพิธี ผมได้มีโอกาสเข้ามาดูใกล้ที่สุดติดกับองค์พระมหามัยมุนีย์ แต่ทว่า ด้านในมณฑปที่ประดิษฐานองค์พระมหามัยมุนีย์ยุงเยอะมาก

หลังจากเสร็จพิธี เจ้าหน้าที่ก็อนุญาตให้ประชาชนขึ้นไปปิดทองได้ โดยก่อนปิดทองจะมีการนำยางรักซึ่งมีลักษณะสีดำและเหนียวมาทาก่อนเราจึงสามารถปิดทองได้ โดยทองที่นำมาติดจะต้องเป็นแผ่นทองคำจริงๆ (พึ่งเคยเห็นกับตาว่าการลงรักปิดทองเป็นอย่างงี้นี่เอง) ตอนแรกไอ้เราก็นึกว่าเขาเอาอะไรมาทา ก็เลยลองจับดู เหนียวหนึบติดมือเลย ห้ามเซลฟี่กับองค์พระขณะปิดทองคำระยะใกล้ๆ นะครับ เนื่องจากว่ามีกล้องวงจรปิดติดอยู่และถ่ายทอดสดกันภายในวัด

นี่คือวิหารที่พระมหามัยมุนีย์ประดิษฐานอยู่ ตอนกลางคืนจะมีการฉายไฟใส่มณฑป มองเห็นมาจากที่พักของผมสวยมาก

ออกจากวัดมาพร้อมกับเรื่องเล่าที่ว่าจะไม่เล่าแต่ต้องเล่า 55+ ตอนออกมาจากวัดมาหารองเท้าซึ่งถอดอยู่ใกล้ๆ กับถังขยะตอนเข้าไปชมพิธีล้างหน้าพระพักตร์พระมหามัยมุนีย์ ปรากฏว่า รองเท้าของเพื่อนที่มาด้วยกันซึ่งเป็นรองเท้าแตะหายไป แต่รองเท้าผ้าใบของผมยังอยู่ ตอนแรกนึกว่าสุนัขคาบไปรึเปล่า แต่มันหายไปทั้งคู่เลย หาดูโดยรอบก็ไม่เจอ พอสังเกตขยะในถังกลับเป็นถังเปล่า จึงสรุปได้ว่ารองเท้าแตะของเพื่อนน่าจะโดนคนเก็บขยะเอาไปด้วย ไอ้เราก็เล่นมาถอดรองเท้าไว้ใกล้กับถังขยะ โชคดีที่รองเท้า Nike ของผมยังอยู่ ที่รองเท้าผ้าใบไม่หายไปคงจะเป็นว่าคนประเทศนี้ส่วนใหญ่เขานิยมใส่รองเท้าแตะกัน 55+ แปลกมาก ทว่าเช้าวันนั้นเพื่อนผมก็ต้องเดินเท้าเปล่ากลับโฮสเทล

ระหว่างทางก็ชมบรรยากาศยามเช้าของเมืองไป มีพระสงฆ์ออกมาบิณฑบาตเยอะมาก

กลับมาที่โฮสเทล อาบน้ำ รับประทานอาหารเช้าแล้วก็นอนต่อ รอ Check out เพื่อเปลี่ยนที่พักเนื่องจากอยากได้ประสบการณ์ที่หลากหลาย เวลาประมาณ 11.00 น. ออกเดินเท้าเพื่อไปยังที่พักอีกแห่งซึ่งจองล่วงหน้ามาแล้วผ่าน agoda.com อยู่ห่างจากที่พักเดิมประมาณ 1.2 ก.ม โรงแรมนี้ชื่อ ABC Backpacker @ Golden City Light ถ้านอนห้องเตียงรวมราคา 276 บาท/คน/คืน รวมอาหารเช้าฟรี ตั้งอยู่หน้าไชน่าทาวน์เลย
พอเดินเข้าไปติดต่อห้องพักก็มี Welcome drink มาให้เป็นน้ำส้มคั้นคนละแก้ว รู้สึกสดชื่นมาก บริเวณห้องโถงรู้สึกเหมือนสไตล์โรงแรมมากกว่าที่พักแบบ Backpack ต่างจากที่พักเดิมพอสมควร ส่วนห้องพักที่เป็นเตียงรวม ภายในห้องนอนได้ 4 คน เป็นเตียงสองชั้นและมีห้องน้ำภายในตัว 1 ห้อง เตียงติดกับประตูเลย อารมณ์แบบถ้าใครอ้วนๆ ก็เข้าไปในห้องไม่ได้ ห้องอยู่ชั้น 1 ติดกับ Lobby เลย มีลิฟต์ แต่ไม่มีที่ตากเสื้อผ้า ถ้าต้องการซักผ้าตากเสื้อผ้าต้องไปตากบริเวณบันไดหนีไฟจะมีเช็คขลึงตากบริเวณนั้น (แคบมาก)  

Check-in เที่ยงกว่าๆ เข้ามาดูห้องก็ถือว่าใช้ได้เลย สะอาด มีน้ำดื่ม สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาสระผม ฟรี คืนนี้คงจะได้นอนรวมกับฝรั่งอีก 2 คน

ช่วงบ่ายอากาศร้อนจัดมาก ยังดีที่โรงแรมมีร่มให้แขกยืมใช้ฟรี จากโรงแรมเดินต่อไปยังพระราชวังมัณฑเลย์อีก 2 กม. ภายในเมืองฝุ่นค่อนข้างเยอะเนื่องจากมีการขนดินขนหินขนทรายมาสร้างตึกอาคารบ้านเรือน ถ้าใครแพ้ฝุ่นควรพกมาร์คปิดปากมาด้วย เดินไปสักพักก็มาถึงพระราชวังแล้ว OMG! กำแพงวังยามาก มีแม่นน้ำล้อมรอบ ที่ตกใจนี่คือต้องเดินอ้อมไปเพื่อไปวัดชเวนันดอร์ 55+ ไกลมาก)

พระราชวังมัณฑเลย์ ถูกเรียกขานในฉายา พระราชวังทองคำ สร้างโดยพระเจ้ามินดง เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย เป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สองได้ทิ้งระเบิดจากเครื่องบินลงพระราชวังทำให้พระราชวังได้รับความเสียหายอย่างมาก ส่วนทรัพย์สมบัติที่อยู่ในพระราชวังถูกประมูลขายโดยนายทหารชาวอังกฤษในสมัยนั้น

เนื่องจากราคาเข้าชมพระราชวังแพงเราจตึงได้แค่ยืนมองดูจากข้างนอก แค่น้ำก็อิ่มใจแล้ว บริเวณทางเดินรอบพระราชวังรอบนอกร่มรื่นมาก มีต้นไม้ตลอดทาง

จากมุมพระราชวังจะมองเห็น Mandalay Hill ซึ่งบริเวณโดยรอบจะมีวัดสำคัญต่างๆ มากมาย

เดินออกจากริมแม่น้ำรอบพระราชวังไปทางวัดชเวนันดอร์ (Shwenandaw Temple) ระหว่างทางจะได้เจอวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นากมาย รวมไปถึงวัวตัวนี้ 55+

ภาพด้านล่างก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งของคนที่นี่คือการสารฝาบ้านด้วยไม้ เอาไว้สร้างบ้านและขาย

ส่วนเจ้นี้น่าจะกำลังก่อไฟปิ้งปลาแน่ๆ เพราะบริเวณใกล้ๆ ผัวแกกำลังหาปลาอยู่ในคลองน้ำ 55+

เดินมาเหนื่อยก็แวะซื้อโค้กสักกระป๋อง 450 จ๊าด โอ้วววที่ร้านนี้เจอกัปตันยูซีจินด้วย วันทยาหัตถ์

ในที่สุดก็เดินมาถึงบริเวณวัดชเวนันดอร์ เจอแก๊งแท็กซี่กำลังนั่งเล่นอะไรกันสักอย่าง ทันใดนั้นก็มีเสียงคำทักทายดังออกว่ามา “Taxi?” เราก็ตอบกลับทันทีว่า "์No Taxi, I'm walk" 55+

พอเลี้ยวเข้ามาบริเวณวิหารชเวนันดอร์ ปรากฏว่าต้องเสียค่าเข้าชม 5 USD เราเลยยืนมองอยู่ด้านนอกก็พอใจแล้ว

วิหารชเวนันดอร์ ในอดีตนั้นเคยเป็นวัดชเวนันดอร์มาก่อน ซึ่งปัจจุบันตั้งในเขตพระราชวังมัณฑะเลย์ เป็นสิ่งปลูกสร้างยุคสมัยของพระเจ้ามินดงเพียงหลังเดียวที่ยังเหลือรอด
ชื่อสินค้า:   Backpack Myanmar 2017
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่