เราเคยคบกับผู้ชายบ้างานมาก่อน(ตอนที่รู้จักเค้าอายุ 31) ทำงานเพราะหน้าที่ พ่อเค้าเป็นประธานบริษัทและนักการเมือง เค้าเป็น vp งานของตัวก็หนักอยู่แล้ว แต่ช่วงพ่อเค้าต้องประชุมสภานี่เรียกว่าหัวไม่ได้ว่าง หางไม่ได้เว้น เรารู้จักกันก็เพราะเรื่องงาน เจอหน้ากันต่อเมื่อเรื่องงาน(เคยถึงขั้นต้องเจอกันที่สนามบินแล้วแยกกัน) ช่วงเวลาสั้นๆ แต่รู้เลยว่าไปกันไม่ไหว เค้ามาไทยเราไม่ว่าง เราไปหาเค้า เค้าไม่ว่าง(เค้าไปอยู่อีกเมืองไปแล้ว)
แต่ตอนนั้นเค้าก็โทรทางไกลมาหาเราทุกวัน ไม่กี่นาทีสั้นๆก็ยังได้คุยกัน หลายครั้งเค้าโทรมา เค้าก็ประชุมอยู่ เค้าบอกว่าคุยได้ ไม่คุยตอนนี้ รอเค้ากลับบ้านเค้าอาจจะเผลอหลับไปเลย ก็ดูทรงแล้วลำบาก เพื่อนเราก็แนะนำ(เพื่อนเราก็รู้จักเค้าตามข่าวในวงการเดียวกัน)ว่าคบคนแบบนี้ไม่เวริค เค้าอยู่คนละ class กับเรา คบไปก็ลำบาก หลายๆอย่างก็ไม่อำนวยเลย เราก็ห่างกันไปค่ะ
ตอนนี้เรามาคบกับผู้ชายอายุพอๆกัน(เค้าน้อยกว่านิดหน่อย) แต่บ้างานหนักหน่วงมาก เรารู้จักกันเพราะเค้าบินมาประชุมที่ไทย และมีวันว่างหนึ่งวัน เค้าก็มาเจอเราโดยบังเอิญเพราะงานของเราค่ะ คุยกันก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง คือเค้าดีหมด ทำไมถึงยังไม่มีแฟน
เค้าบอกเราว่าเค้าจะบินมาไทยอีกทีได้คงอีกสัก1-2เดือน น่าจะหาเวลาลาพักร้อนได้หนึ่งอาทิตย์ เราเองก็อยากเจอเค้า เค้าบอกว่าถ้าเราบินไปหาเค้าได้ก็บินมา เค้าจะจัดการดูแลคชจ.ให้ทั้งหมด เพราะเค้าลาติดกันแบบเรายังไม่ได้
เราไปเจอกันที่กวางโจว เจอกันคือเค้าทำงานก่อนเลยค่ะ ทำงานก่อนเจอเราอีก คือก็รู้ละว่าไม่ว่าง แต่ก็พยายามจะมาหา เราก็รอเค้าทำงานจนเจอกัน greeting ได้แป่บเดียว เค้าทำงานต่อค่ะ 55 เราก็มีเข้าไปใกล้ๆเค้า เค้าจูงมือเราไปที่เตียงเลย ห่มผ้าให้ บอกให้เรานอนไปก่อน เค้าต้องทำงาน งานไม่เสร็จ วางขวดน้ำให้ บอกว่าต้องการชากาแฟหิวข้าวอะไรก็บอกจะสั่งให้ แล้วก็ปิดประตูกลับไปทำงาน!!
วันถัดมาเค้าบอกเราไว้ก่อนแล้วว่าจะมี call conference ตอนสิบโมง ทั้งๆที่ไฟลท์เราสองคนจะบินไปเซี่ยงไฮ้ตอนบ่ายตรง เรานั่งรอเค้าจน11:30 บ้าไปแล้ว เราสองคนเกือบตกเครื่อง แต่ตอนนั้นเค้าบอกว่าตกก็ต้องตก แล้วซื้อตั๋วใหม่กัน เพราะต้องส่งงาน สุดท้ายก็ทันไฟลท์ ผ่านไป
อันนี้แค่เหตุการณ์เดียว อื่นๆมีเยอะมาก เราตื่นมาตีสาม เค้ายังนั่งทำงานอยู่เลยค่ะ(เค้าเป็น consultant ของบริษัทท๊อป10ของโลกสายไอที) เราพอรู้ว่าเค้าบ้างาน และก็คิดว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีมาตลอด พ่อเราก็เป็นคนบ้างาน ทำงานแม้แต่วันอาทิตย์ แต่ไม่ถึงขนาดคนนี้ค่ะ อันนี้คือที่เรามาตั้งกระทู้ เพราะตอนนี้เค้าก็ยังนั่งทำงานอยู่ T T
เราไว้ใจเค้ามากๆ ไม่ห่วงเลยว่าเค้าจะมีaffair แต่กลัวระยะยาวว่าคนประเภทนี้ work life balance เค้าจะมีวันที่เงยหน้าอ้าปากกับคนอื่นเค้าบ้างรึป่าว เราถามระยะยาวเค้าว่าจะเอายังไง เค้าบอกว่าสายงายเค้าย้ายมาอยู่ประเทศไทยได้ง่ายมาก ต้นปีหน้าเค้าจะย้ายมาไทยถาวร ระหว่างนี้ก็จะหาเวลามาหาเราให้ได้ทุกๆสองเดือน ถ้าทำไม่ได้อาจจะให้เราบินไปแทน(ทริปที่ผ่านมา เค้าจ่ายให้เราไปราวๆหกหมื่น เรายังเสียดายเงินแทนเลยค่ะ) เรามีนัดเจอกันที่ฮ่องกงเพราะมีงานแต่งงานพี่ชายเราเดือนเก้า เราบอกเค้าว่า ถ้าติดงานก็ไม่ต้องไปหรอก เค้าบอกว่า ไปได้ อยากไป แต่อย่าโกรธเค้า ถ้าเค้าต้องทำงานไปด้วย
เราอยากรู้ความคิดอ่านของผู้ชายบ้างาน(บ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราเห็นเค้าก็ดูมีความสุขดีกับงานด้วย แค่บ่นว่าหิว แต่ไม่อยากกินข้าว เพราะงานไม่เสร็จ) จะมีวันที่เค้าหันเหให้กับชีวิตด้านอื่นรึป่าวคะ เราเชื่อว่าเค้าทำเพราะความรับผิดชอบต่อตัวเองเฉยๆ เพราะพ่อแม่เค้าก็สุขสบายไม่มีปัญหาอะไร ดูเค้าไม่ได้อยู่ในสภาวะกดดันให้ต้องทำงานเหมือนหุ่นยนต์แบบนี้ แต่เค้าไม่หยุดเลย ทำงานเหมือนกลัวว่าคอมจะหายไป เราเดินไปวนๆ เค้ายังไม่รู้ตัวเลยค่ะ
เราบอกให้เค้าออกกำลังกาย กินข้าวให้เป็นเวลา อยากได้แค่นี้ เค้าก็บอกว่าเค้าทำบ้าง แค่ไม่บ่อย(แต่ส่งรูปอัพเดทมาให้เราทีไรมีแต่หน้าจอค่ะ) ถ้าทำงานหนัก แล้วสุดท้ายตายหน้าคอมมันไม่คุ้มนะ อยากให้เค้าทำอย่างอื่นบ้าง แต่ไม่รู้ต้องพูดยังไงให้เค้าเข้าใจเรา มีใครแนะนำวิธีรับมือมนุษย์สายนี้ให้เราได้มั๊ยคะ เค้าดีทุกเรื่องจริงๆค่ะ เว้นเรื่องบ้างานกับแต่งตัวไม่เป็น(ขอให้นึกสภาพโปรแกรมเมอร์)
### ผู้ชายบ้างานในวัย30+ จะทีวันที่เค้าเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อครอบครัวมั๊ยคะ ###
แต่ตอนนั้นเค้าก็โทรทางไกลมาหาเราทุกวัน ไม่กี่นาทีสั้นๆก็ยังได้คุยกัน หลายครั้งเค้าโทรมา เค้าก็ประชุมอยู่ เค้าบอกว่าคุยได้ ไม่คุยตอนนี้ รอเค้ากลับบ้านเค้าอาจจะเผลอหลับไปเลย ก็ดูทรงแล้วลำบาก เพื่อนเราก็แนะนำ(เพื่อนเราก็รู้จักเค้าตามข่าวในวงการเดียวกัน)ว่าคบคนแบบนี้ไม่เวริค เค้าอยู่คนละ class กับเรา คบไปก็ลำบาก หลายๆอย่างก็ไม่อำนวยเลย เราก็ห่างกันไปค่ะ
ตอนนี้เรามาคบกับผู้ชายอายุพอๆกัน(เค้าน้อยกว่านิดหน่อย) แต่บ้างานหนักหน่วงมาก เรารู้จักกันเพราะเค้าบินมาประชุมที่ไทย และมีวันว่างหนึ่งวัน เค้าก็มาเจอเราโดยบังเอิญเพราะงานของเราค่ะ คุยกันก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง คือเค้าดีหมด ทำไมถึงยังไม่มีแฟน
เค้าบอกเราว่าเค้าจะบินมาไทยอีกทีได้คงอีกสัก1-2เดือน น่าจะหาเวลาลาพักร้อนได้หนึ่งอาทิตย์ เราเองก็อยากเจอเค้า เค้าบอกว่าถ้าเราบินไปหาเค้าได้ก็บินมา เค้าจะจัดการดูแลคชจ.ให้ทั้งหมด เพราะเค้าลาติดกันแบบเรายังไม่ได้
เราไปเจอกันที่กวางโจว เจอกันคือเค้าทำงานก่อนเลยค่ะ ทำงานก่อนเจอเราอีก คือก็รู้ละว่าไม่ว่าง แต่ก็พยายามจะมาหา เราก็รอเค้าทำงานจนเจอกัน greeting ได้แป่บเดียว เค้าทำงานต่อค่ะ 55 เราก็มีเข้าไปใกล้ๆเค้า เค้าจูงมือเราไปที่เตียงเลย ห่มผ้าให้ บอกให้เรานอนไปก่อน เค้าต้องทำงาน งานไม่เสร็จ วางขวดน้ำให้ บอกว่าต้องการชากาแฟหิวข้าวอะไรก็บอกจะสั่งให้ แล้วก็ปิดประตูกลับไปทำงาน!!
วันถัดมาเค้าบอกเราไว้ก่อนแล้วว่าจะมี call conference ตอนสิบโมง ทั้งๆที่ไฟลท์เราสองคนจะบินไปเซี่ยงไฮ้ตอนบ่ายตรง เรานั่งรอเค้าจน11:30 บ้าไปแล้ว เราสองคนเกือบตกเครื่อง แต่ตอนนั้นเค้าบอกว่าตกก็ต้องตก แล้วซื้อตั๋วใหม่กัน เพราะต้องส่งงาน สุดท้ายก็ทันไฟลท์ ผ่านไป
อันนี้แค่เหตุการณ์เดียว อื่นๆมีเยอะมาก เราตื่นมาตีสาม เค้ายังนั่งทำงานอยู่เลยค่ะ(เค้าเป็น consultant ของบริษัทท๊อป10ของโลกสายไอที) เราพอรู้ว่าเค้าบ้างาน และก็คิดว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีมาตลอด พ่อเราก็เป็นคนบ้างาน ทำงานแม้แต่วันอาทิตย์ แต่ไม่ถึงขนาดคนนี้ค่ะ อันนี้คือที่เรามาตั้งกระทู้ เพราะตอนนี้เค้าก็ยังนั่งทำงานอยู่ T T
เราไว้ใจเค้ามากๆ ไม่ห่วงเลยว่าเค้าจะมีaffair แต่กลัวระยะยาวว่าคนประเภทนี้ work life balance เค้าจะมีวันที่เงยหน้าอ้าปากกับคนอื่นเค้าบ้างรึป่าว เราถามระยะยาวเค้าว่าจะเอายังไง เค้าบอกว่าสายงายเค้าย้ายมาอยู่ประเทศไทยได้ง่ายมาก ต้นปีหน้าเค้าจะย้ายมาไทยถาวร ระหว่างนี้ก็จะหาเวลามาหาเราให้ได้ทุกๆสองเดือน ถ้าทำไม่ได้อาจจะให้เราบินไปแทน(ทริปที่ผ่านมา เค้าจ่ายให้เราไปราวๆหกหมื่น เรายังเสียดายเงินแทนเลยค่ะ) เรามีนัดเจอกันที่ฮ่องกงเพราะมีงานแต่งงานพี่ชายเราเดือนเก้า เราบอกเค้าว่า ถ้าติดงานก็ไม่ต้องไปหรอก เค้าบอกว่า ไปได้ อยากไป แต่อย่าโกรธเค้า ถ้าเค้าต้องทำงานไปด้วย
เราอยากรู้ความคิดอ่านของผู้ชายบ้างาน(บ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราเห็นเค้าก็ดูมีความสุขดีกับงานด้วย แค่บ่นว่าหิว แต่ไม่อยากกินข้าว เพราะงานไม่เสร็จ) จะมีวันที่เค้าหันเหให้กับชีวิตด้านอื่นรึป่าวคะ เราเชื่อว่าเค้าทำเพราะความรับผิดชอบต่อตัวเองเฉยๆ เพราะพ่อแม่เค้าก็สุขสบายไม่มีปัญหาอะไร ดูเค้าไม่ได้อยู่ในสภาวะกดดันให้ต้องทำงานเหมือนหุ่นยนต์แบบนี้ แต่เค้าไม่หยุดเลย ทำงานเหมือนกลัวว่าคอมจะหายไป เราเดินไปวนๆ เค้ายังไม่รู้ตัวเลยค่ะ
เราบอกให้เค้าออกกำลังกาย กินข้าวให้เป็นเวลา อยากได้แค่นี้ เค้าก็บอกว่าเค้าทำบ้าง แค่ไม่บ่อย(แต่ส่งรูปอัพเดทมาให้เราทีไรมีแต่หน้าจอค่ะ) ถ้าทำงานหนัก แล้วสุดท้ายตายหน้าคอมมันไม่คุ้มนะ อยากให้เค้าทำอย่างอื่นบ้าง แต่ไม่รู้ต้องพูดยังไงให้เค้าเข้าใจเรา มีใครแนะนำวิธีรับมือมนุษย์สายนี้ให้เราได้มั๊ยคะ เค้าดีทุกเรื่องจริงๆค่ะ เว้นเรื่องบ้างานกับแต่งตัวไม่เป็น(ขอให้นึกสภาพโปรแกรมเมอร์)