ห้วงฝันวันรัก --- บทที่ 1

คำโปรยห้วงฝันวันรัก : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


บทที่ 1



              ภาพความชุลมุนวุ่นวายตรงหน้าที่เต็มไปด้วยรถตำรวจและรถพยาบาลจอดเรียงกันอยู่หน้าบ้าน สร้างความตื่นตกใจแก่คนเพิ่งมาถึงอย่างกิรณาจนต้องจอดรถทิ้งไว้กลางถนนดื้อๆ วิ่งฝ่าละอองฝนเข้ามาในบ้าน

              เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ในโรงจอดรถบ้านกิรณา ในเวลาเดียวกันนั้น ชาวบ้านในละแวกต่างมุงดูเหตุการณ์กันอยู่นอกอาณาเขตที่ตำรวจปิดล้อมไว้ ชวนให้กิรณาสะดุดตากับรถยุโรปสีดำคันหนึ่งซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกห่างจากรั้วบ้านไปเงียบๆ

              หญิงสาวคงหยุดสายตาที่รถคันนั้น ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่พยาบาลแบกเปลหามผ่านหน้าไปในลักษณะเร่งรีบและร้อนรน หายขึ้นไปบนระเบียงบ้าน

              กิรณาซึ่งไม่รู้เรื่องมาก่อนจึงหน้าตาตื่นตามเข้าไปในบ้านด้วยอีกคน วินาทีนั้นถึงกับช็อค! เพราะเจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังช่วยกันอุ้มร่างที่หมดสติของบิดานอนลงบนเปลหาม ขณะที่บริเวณใกล้เคียงกันนั้น มีร่างของมารดานอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น !

              “แม่ !”

              กิรณากรีดร้องสุดเสียง สะดุ้งจนตัวโยน

              แสงแดดที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างห้องนอนเข้ามาแยงตาจนกิรณาต้องหยีตา ฉุดหญิงสาวตื่นจากการหลับใหลในที่สุด หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเงียบงันปกคลุมอยู่รอบกาย ภาพความว่างเปล่าไร้ซึ่งความชุลมุนวุ่นวายอย่างที่เห็นเมื่อครู่ ยืนยันได้ดีว่าหล่อนแค่ฝันร้ายไปเท่านั้น…

              กิรณาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงดังเดิมทั้งที่ยังคงเหงื่อชุ่มกาย หายใจหอบถี่ราวกับเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาอย่างหนัก แต่แล้วดวงตาคู่งามที่เปียกชื้นด้วยน้ำตากลับมองไปรอบห้องตัวเองอีกครั้ง

              ด้วยความที่หญิงสาวเพิ่งย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ได้ไม่นาน อาจยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จนจิตตกเก็บเอาไปฝันร้ายก็เป็นได้...

              ถึงอย่างนั้นก็ตาม ภาพสุดท้ายที่เห็นในความฝันคือมารดานอนจมกองเลือดสีแดงฉานอยู่หน้าโทรทัศน์บริเวณห้องรับแขก...สภาพของมารดานั้นโหดร้ายเกินกว่าที่กิรณาจะทำใจได้ แล้วไหนจะสภาพของบิดาอีกคนที่นอนหมดสติอยู่บนเปลหาม ความเจ็บปวดรวดร้าวกับภาพในความฝันยังชัดเจนในความรู้สึก

              กิรณาสลัดผ้าห่มให้พ้นกาย ลุกจากเตียงไปหาบิดามารดาด้วยความเป็นห่วง

              หากทว่าแค่ก้าวพ้นประตูห้องนอนออกมา...

              หญิงสาวได้ยินเสียงเพลงสตริงในยุค 80 ดังลอยมาจากชั้นล่าง มันเป็นเพลงที่บิดาชอบเปิดฟังในทุกๆ เช้า ความเป็นห่วงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับบิดามารดาเลยหายไปในพริบตา หญิงสาวคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา

              “นึกครึ้มอะไรขึ้นมาฮึเจ้าลูกหว้า”

              จำรัสร้องทักอย่างงงๆ เพราะกำลังสุนทรีย์กับเพลงในวันวานที่เคยขับร้องไว้ในวัยหนุ่ม อยู่ดีไม่ว่าดีลูกสาวสุดที่รักก็แอบเข้ามาทางด้านหลังขโมยหอมแก้มกันแต่เช้า

              ลูกสาวสุดที่รักอย่างกิรณาเพียงยิ้มๆ เนื่องจากลงบันไดมายังชั้นล่างเห็นแล้วว่าบิดายังปกติดี และถ้าหล่อนเดาไม่ผิด บิดาคงฟังเพลงฆ่าเวลารออาหารเช้าฝีมือมารดาอีกตามเคย

              ระหว่างนั้นเองที่อรวี...มารดาของกิรณาออกมาจากห้องครัว พร้อมอาหารเช้าวางลงโต๊ะ

              “เบาเสียงเพลงหน่อยค่ะคุณ ยังเช้าอยู่เลย ฉันเกรงใจบ้านอื่นเขา” อรวีหันมาต่อว่าจำรัส

              จำรัสอยู่หน้าเครื่องเล่นซีดีเพลงก็จริง แต่กลับผละมาที่โต๊ะอาหารเฉย ขณะเดียวกันนั้นยังคงนั่งอยู่บนรถเข็นซึ่งเป็นสภาพปกติของเขา

              “คุณนี่จริงๆ ผมเปิดเพลงฟังทีไร ชอบหงุดหงิดใส่ผมอยู่เรื่อย” จำรัสไม่พอใจที่ถูกบ่น

              “ไม่ใช่เพราะเสน่ห์นักร้องเสียงทองอย่างผมรึไงที่ทำให้คุณตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นมาแล้ว”

              “อย่าพาลสิคะคุณ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”

              “ผมไม่ได้พาล!” จำรัสเถียงสวนกลับมาทันควัน

              กลัวเกิดศึกขนาดย่อมระหว่างบิดามารดาเสียก่อน คนเดินไปหรี่เสียงเพลงที่เครื่องเล่นซีดีจึงเป็นกิรณาแทน ก่อนหน้านี้หล่อนเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งตกอยู่บนพื้นหน้าเครื่องเล่นซีดี ลักษณะเหมือนบิดาน่าจะโยนทิ้งไว้ กิรณาเลยเก็บขึ้นมาอ่าน หน้าที่เปิดค้างไว้มีข่าวของนักธุรกิจชื่อดังรายหนึ่งย่องเงียบกว้านซื้อที่ดินในจังหวัดบ้านเกิดของครอบครัวหล่อน

              “อ้าว ยังไม่แต่งตัวอีกเหรอยายลูกหว้า หรือว่าวันนี้ไม่ต้องไปทำงาน”

              อรวีขี้เกียจเถียงกับจำรัสอีก หันมาสนใจลูกสาวแทนแล้ว แปลกใจที่ลูกสาวไม่ได้อยู่ในชุดทำงานเหมือนทุกเช้า

              ลูกสาวมัวแต่อ่านหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นเองถึงได้รู้ตัว !

              “ตายจริง หว้าสายแล้วค่ะ”

              กิรณาลืมเสียสนิทว่าตัวเองมีงานต้องทำ รีบวิ่งตาลีตาเหลือกกลับขึ้นไปชั้นบน

              “แล้วจะกินข้าวเช้าด้วยกันรึเปล่ายายลูกหว้า” อรวียังอุตส่าห์ตะโกนถามไล่หลังไปด้วยความเป็นห่วง

              หากกิรณาแค่อาบน้ำ แต่งตัว ก็ไม่เหลือเวลาให้ทำอย่างอื่นแล้ว พอกลับลงมาชั้นล่างพร้อมอยู่ในเสื้อฟอร์มบรรณารักษ์เรียบร้อย เลยตรงดิ่งไปเปิดประตูรั้วเพื่อเอารถออก

              “ชิ่วๆ ไปเดี๋ยวนี้นะไอ้หมาบ้า บ้านฉันไม่ใช่ส้วมแกนะยะ”

              กิรณาตวาดไล่เมื่อเห็นสุนัขพันธุ์พูเดิลสีขาวตัวหนึ่ง เดินวนไปวนมาอยู่หน้าบ้านสลับกับดมๆ พื้นแถวนั้น

              เจ้าพูเดิลจากที่จะหย่อนก้นลงนั่งทำธุระต่อหน้าต่อตากิรณา ถูกไล่ตะเพิดก็ขวัญกระเจิง วิ่งหนีหลบเข้าไปในบ้านฝั่งตรงข้าม

              นั่นเองคนกำลังรีบๆ อย่างกิรณาถึงกับควันออกหู เพราะบ้านฝั่งตรงข้ามเล่นเปิดประตูรั้วไว้อ้าซ่าจงใจปล่อยสุนัขออกมาชัดๆ ขณะที่เจ้าของบ้านน่ะเหรอ กิรณาเห็นตั้งแต่ออกมาเปิดประตูรั้วแล้วว่า ‘แม่คุณ’ ยังคงอยู่หน้าประตูรั้วบ้านข้างๆ กิรณานี่เอง !

              “เลี้ยงหมาภาษาอะไรของน้องเนี่ยถึงได้ปล่อยให้มันออกมาอึเรี่ยราดหน้าบ้านคนอื่นเขา”

               กิรณาอดไม่ได้เข้าไปเอาเรื่อง

               เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามเป็นเด็กสาววัยรุ่นรูปร่างผอมบาง อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนกุดคอลึกกับกางเกงขาสั้นรัดรูปตัวจิ๋ว แต่ทว่าเด็กสาววัยรุ่นคนนั้นไม่ได้รับรู้สักนิดว่าสุนัขตัวเองถูกไล่ตะเพิดไปแล้ว มัวแต่ยืนกระมิดกระเมียนคุยอยู่กับชายหนุ่มข้างบ้านกิรณา จังหวะนั้นเองที่กิรณาเข้าไปเอาเรื่อง เลยชะงักงัน

               ชายหนุ่มที่กำลังยืนคุยอยู่กับเด็กสาวบ้านฝั่งตรงข้าม เป็นฝ่ายเหลือบสายตามองมาทางกิรณา...เขาคือดรัลนายแพทย์หนุ่มเจ้าของบ้านหลังติดกับหล่อน

               กิรณามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับนายแพทย์หนุ่มผู้นี้แล้วตอนที่เพิ่งย้ายมาใหม่ๆ แต่ก็แค่เคยพูดคุยทักทายกันสั้นๆ ตามมารยาท เขาไม่รู้ตัวหรอกว่า ใบหน้าคร้ามคมที่ออกไปทางชายไทยแท้บวกกับรูปร่างสูงใหญ่ แอบล่ำนิดๆ ของเขานั้น สะดุดหัวใจสาวเจ้าตั้งแต่แรกเห็นแล้ว แววตานิ่งลึกคู่นั้นของเขาที่สบมองมา กิรณาเลยรู้สึกวูบไหว ไม่กล้าสบตาด้วย

               “เอิ่ม...เมื่อกี้ฉันไม่ได้ว่าคุณนะคะ ฉันหมายถึงเด็กที่คุยอยู่กับคุณน่ะค่ะ”

               กิรณารีบชี้แจง กลัวเขาเข้าใจผิดคิดว่าไปต่อว่าเขา ก่อนหันกลับไปสนใจเด็กสาวบ้านฝั่งตรงข้าม พยายามตั้งสติปั้นหน้าขรึมขู่แม้ดูกระอักกระอ่วนไปหน่อยก็ตาม

               “นี่น้อง วันหน้าวันหลังถ้าจะมายืนอ่อย  เอ๊ย...เอ่อ...ฉันหมายถึงยืนคุยกับชาวบ้านชาวช่องน่ะ ก็ช่วยดูแลหมาของตัวเองด้วย  ไม่ใช่ปล่อยออกมาเพ่นพ่านแบบนี้”

               “ป้าพูดอะไรของป้าเนี่ย” สาวบ้านฝั่งตรงข้ามตอบกลับมาหน้าตาเฉย ไม่วายมองสำรวจ ‘ป้า’ ตั้งแต่หัวจรดเท้า

               คนถูกเรียกว่าป้าอย่างกิรณาถึงกับสะอึก

               “เรียกใครว่าป้ายะ”

               อีกฝ่ายเบะปากใส่ ไม่ได้กริ่งเกรงในอาการเหวี่ยงวีนนั้นแต่อย่างใด ทำเอากิรณาจากที่กำลังพยายามควบคุมสติอยู่ดีๆ เห็นกิริยามารยาทของสาวบ้านฝั่งตรงข้ามแล้วความโกรธพุ่งปรี๊ด ลืมตัวไปทันทีทันใดว่ายังมีชายหนุ่มข้างบ้านยืนอยู่ด้วย

               “พูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะนังเด็กใจแตก  ฉันเห็นอยู่ทนโธ่ว่าจงใจเปิดประตูปล่อยหมาออกมา ยังมาทำหน้าอินโนเซนต์ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก”

               “นี่ป้าว่าฉันเป็นเด็กใจแตกเหรอ”

               “ก็ใช่น่ะสิ”  กิรณาโต้กลับหน้าแดงจัด  “อายุแค่นี้ออกมายืนอ่อยผู้ชายแต่เช้า ไม่ให้เรียกว่าใจแตกแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

               “ป้า !”

               “พอ !  พอได้แล้ว  ทั้งคู่นั่นแหละ”

               ดรัลทนไม่ได้เป็นฝ่ายโพล่งขึ้นมาขัดสองสาวเสียเอง  ทั้ง ‘ป้า’ ทั้ง ‘เด็กใจแตก’ จึงชะงักไปตามๆ กัน หันกลับมาสนใจชายหนุ่มหนึ่งเดียวในวงสนทนา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่