เข้ามาเห็นคอมเม้นและคะแนนโหวตที่มีให้ในบทก่อนหน้านี้ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันทีเลยค่ะ5555 ขอบคุณทุกท่านมากๆ เลยนะคะ^^ บทนี้ค่อนข้างยาว รันขอแบ่งเป็น 2 ตอนย่อยนะคะ
คำโปรยห้วงฝันวันรัก :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้'กิรณา' ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ได้เพียงไม่นาน แต่แล้วชีวิตกลับต้องพลิกผันเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง หล่อนได้ข้ามผ่านไปยังช่วงเวลาอนาคต!
ภายใต้ความลึกลับของกาลเวลาที่ชวนพิศวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการที่หญิงสาวต้องมารับรู้ถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบุพการี โดยไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ 'ดรัล' ในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับสาวข้างบ้านอย่างกิรณาตั้งแต่แรกพบเสียเท่าไหร่ แต่จำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายเงื่อนงำที่เกิดขึ้น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต...เหตุการณ์ในช่วงเวลาใดกันแน่ที่มีแต่ความหลอกลวง..
บทที่ 1:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/36562845
บทที่ 2(1)
นานแล้วที่กิรณาเอาแต่นั่งเหม่อลอยมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปตรงหน้าเงียบๆ เพียงลำพังในศาลาวัด ภาพมารดาที่ใส่กรอบอย่างดี วางอยู่หน้าพิธี สะเทือนใจผู้เป็นลูกสาวน้ำตาไหลรินโดยไม่รู้ตัว...รอยยิ้มสดใสของมารดายังคงชัดเจนในความทรงจำ
งานศพอรวีถูกจัดขึ้นสองวันแล้วในแบบเรียบง่ายตามฐานะครอบครัวต่างจังหวัด ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน แต่ก่อนที่กิรณาจะมาดูศพมารดาที่วัดแห่งนี้ ดรัลพาหล่อนไปหาบิดาที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันถึงสิ่งที่เขาพูดให้หญิงสาวเห็นเต็มสองตา และนั่นทำให้กิรณาช็อกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะบิดาหล่อนไม่ใช่แค่เพียงนอนป่วยด้วยอาการหอบอย่างที่เข้าใจ แต่กลับอยู่ในสภาพนอนแน่นิ่งกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ไม่รับรู้อะไรอยู่ในห้องฉุกเฉิน
ดรัลบอกว่าคืนเกิดเหตุจำรัสทะเลาะกับอรวีรุนแรงมาก จากรูปการณ์ตำรวจเลยสันนิษฐานว่า ทั้งสองคงยื้อแย่งปืนกันจนปืนลั่นใส่ภรรยา
‘คุณพ่อคุณคงทั้งตกใจแล้วก็เสียใจมากเลยอาการหอบกำเริบ แต่นับว่ายังโชคดีที่ท่านหมดสติไปก่อน ไม่อย่างนั้นอาจขาดอากาศหายใจเฉียบพลันได้ ท่านล้มหัวฟาดกับขอบโต๊ะน่ะลูกหว้า ส่วนคุณแม่คุณ...ผมเสียใจด้วย ท่านเสียก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลแล้ว’
กิรณาฟังเรื่องที่เขาเล่าแล้วใจหาย หล่อนแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ไม่สิ หล่อนไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมาแม้บิดามารดาจะมีปากเสียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่บ่อยครั้งก็ตาม หากไม่มีทางที่จะรุนแรงถึงขั้นทำร้ายกันได้
“พร้อมรึยังลูกหว้า”
ดรัลมาตาม ยามนั้นเองหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในภวังค์เศร้าครุ่นคิดเรื่องบิดามารดาถึงได้รู้สึกตัว ปาดน้ำตาทิ้ง
“แขกมากันแล้วเหรอคะ” กิรณาถามแม้เสียงยังเจือสะอื้น
“คุณไหวรึเปล่า ให้ผมช่วยดูแลให้ก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณดรัล ฉันเริ่มโอเคขึ้นแล้ว”
กิรณาพยายามปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้น ทว่าดวงหน้ายังซีดเซียว ดรัลซึ่งอยู่ช่วยกิรณามาตั้งแต่บ่ายจัดเตรียมอาหารสำหรับแขกที่มาร่วมงานศพ เห็นอาการสาวเจ้าแล้วสงสารจับหัวใจ แต่ญาติทางฝั่งอรวีเริ่มทยอยกันมาแล้ว ลูกสาวอย่างกิรณาควรไปต้อนรับ ดรัลเลยจำต้องแข็งใจให้กิรณาลุกขึ้น โดยที่เขาช่วยประคองร่างที่อ่อนแรงของหญิงสาวออกไปต้อนรับแขกด้านนอก
พิธีสวดพระอภิธรรมศพผ่านพ้นไปในค่ำคืนนั้น ดรัลขับรถมาส่งกิรณาที่บ้าน ระหว่างทางทั้งเขาและหล่อนต่างเงียบกันไปทั้งคู่ กิรณานั่งซึม ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในความมืดมิด ชีวิตที่หญิงสาวกำลังเผชิญอยู่เวลานี้ทั้งหม่นหมองและมืดมนไม่ต่างจากท้องฟ้ายามนี้นักหรอก เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากชนิดที่กิรณายังตั้งตัวไม่ทัน หากไม่เพียงแค่เรื่องของบิดามารดาเท่านั้น...เรื่องดรัลก็ด้วย
กิรณาอาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มข้างกายมัวแต่สนใจรถบนท้องถนนสบมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
วันนี้ดรัลอยู่กับหล่อนแทบทั้งวัน เขาคอยเอาใจ ดูแลช่วยเหลือหล่อนสารพัด ถ้าเทียบกับดรัลคนก่อนที่หล่อนเคยรู้จัก ดรัล ณ ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ความสนิทสนมที่เขามีให้มันกะทันหันเกินไปจนทำให้สาวเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คือความจริงหรือความฝันกันแน่ เพราะถ้าหล่อนไม่หลงเข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก ผู้ชายมาดขรึมอย่างดรัลเนี่ยนะจะมา...เอิ่ม...สนใจหล่อน
แทบไม่เคยเห็นว่าจะมีวี่แวว !
กิรณาหยิกแขนตัวเอง แล้วร้องโอยออกมาเพราะเจ็บจริง แถมยังมีรอยแดงที่แขนยืนยันถึงความซาดิสม์ของหล่อนอีกต่างหาก เรียกรอยยิ้มขันจากชายหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถอยู่ข้างๆ
“ทำอะไรของคุณ เดี๋ยวก็ได้ฟกช้ำดำเขียวกันพอดี”
กิรณาอึกอักเล็กน้อย กลัวเขาเห็นเลยรีบกุมแขนตัวเองปิดรอยแดงนั้น
“ฉันแค่ทดสอบอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ ว่าแต่...เอ่อ...ทำไมวันนี้คุณจู่ๆ ถึงได้...เอิ่ม...แบบคอยมา...เอ่อ...”
“ดูแลคุณน่ะเหรอ” ดรัลพูดต่อให้เองเสร็จสรรพ
รถติดสัญญาณไฟจราจรพอดี ดรัลเลยสบโอกาสนั้นหันมามองหญิงสาวข้างกายได้อย่างถนัดตา “วันนี้คุณถามผมแปลกๆ หลายอย่างแล้วนะลูกหว้า มีอะไรรึเปล่า”
“...”
ไม่มีคำตอบจากสาวข้างกายนอกจากสีหน้าเหยเกที่แทนคำตอบนั้น
ถึงอย่างนั้นสำหรับดรัลแล้วกลับรู้สึกเบาใจขึ้นเยอะ เพราะอย่างน้อยสีหน้านั้นของหญิงสาวก็ยังดูดีกว่าตอนอยู่ที่งานศพมาก น้ำตาก็เหือดแห้งไปแล้ว เขาเลยเอ่ยออกมาว่า
“บอกตามตรงนะลูกหว้า ที่งานศพ ผมไม่สบายใจเลย คุณดูเหม่อๆ ไม่สู้ดี ญาติๆ คุณก็เห็น พวกเขาเป็นห่วงคุณมากนะ ถ้าคุณกังวลเรื่องที่พวกเขาต้องเหนื่อยมางานศพคุณแม่คุณที่นี่ คุณไม่ต้องกังวลเลย ทุกคนเข้าใจคุณดีว่าเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน คุณพ่อคุณก็ยังต้องอยู่รักษาที่นี่”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณกับญาติๆ เข้าใจฉัน”
กิรณายังจำภาพตอนที่ญาติทางฝั่งอรวีกับจำรัสลงรถเข้ามาในศาลางานศพอรวีได้ ทุกคนนั่งรถตู้รวมตัวกันมาจากลำปางด้วยใจล้วนๆ
กิรณากลับมาเงียบอีกครั้ง ดรัลเห็นเช่นนั้นก็เอื้อมมือมาเกาะกุมมือหญิงสาว บีบมือให้กำลังใจ กิรณาเลยคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา
“ขอบคุณนะคะคุณดรัล ฉันดีขึ้นเยอะแล้วละค่ะ เรื่องมัน เอิ่ม เกิดขึ้นกะทันหันจริงๆ ฉันเลยยังเบลอๆ พูดอะไรแปลกๆ ออกไป” กิรณาอ้อมแอ้มหาเหตุผลบอกเขาไปอย่างนั้น
หล่อนคงเบลอจริงนั่นแหละ เพราะจนถึงตอนนี้หล่อนยังจำอะไรได้เลยด้วยซ้ำ...แม้แต่ความรู้สึกในวันเกิดเหตุก็ตาม
ห้วงฝันวันรัก --- บทที่ 2(1)
คำโปรยห้วงฝันวันรัก : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 1: [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นานแล้วที่กิรณาเอาแต่นั่งเหม่อลอยมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปตรงหน้าเงียบๆ เพียงลำพังในศาลาวัด ภาพมารดาที่ใส่กรอบอย่างดี วางอยู่หน้าพิธี สะเทือนใจผู้เป็นลูกสาวน้ำตาไหลรินโดยไม่รู้ตัว...รอยยิ้มสดใสของมารดายังคงชัดเจนในความทรงจำ
งานศพอรวีถูกจัดขึ้นสองวันแล้วในแบบเรียบง่ายตามฐานะครอบครัวต่างจังหวัด ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน แต่ก่อนที่กิรณาจะมาดูศพมารดาที่วัดแห่งนี้ ดรัลพาหล่อนไปหาบิดาที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันถึงสิ่งที่เขาพูดให้หญิงสาวเห็นเต็มสองตา และนั่นทำให้กิรณาช็อกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะบิดาหล่อนไม่ใช่แค่เพียงนอนป่วยด้วยอาการหอบอย่างที่เข้าใจ แต่กลับอยู่ในสภาพนอนแน่นิ่งกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ไม่รับรู้อะไรอยู่ในห้องฉุกเฉิน
ดรัลบอกว่าคืนเกิดเหตุจำรัสทะเลาะกับอรวีรุนแรงมาก จากรูปการณ์ตำรวจเลยสันนิษฐานว่า ทั้งสองคงยื้อแย่งปืนกันจนปืนลั่นใส่ภรรยา
‘คุณพ่อคุณคงทั้งตกใจแล้วก็เสียใจมากเลยอาการหอบกำเริบ แต่นับว่ายังโชคดีที่ท่านหมดสติไปก่อน ไม่อย่างนั้นอาจขาดอากาศหายใจเฉียบพลันได้ ท่านล้มหัวฟาดกับขอบโต๊ะน่ะลูกหว้า ส่วนคุณแม่คุณ...ผมเสียใจด้วย ท่านเสียก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลแล้ว’
กิรณาฟังเรื่องที่เขาเล่าแล้วใจหาย หล่อนแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ไม่สิ หล่อนไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมาแม้บิดามารดาจะมีปากเสียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่บ่อยครั้งก็ตาม หากไม่มีทางที่จะรุนแรงถึงขั้นทำร้ายกันได้
“พร้อมรึยังลูกหว้า”
ดรัลมาตาม ยามนั้นเองหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในภวังค์เศร้าครุ่นคิดเรื่องบิดามารดาถึงได้รู้สึกตัว ปาดน้ำตาทิ้ง
“แขกมากันแล้วเหรอคะ” กิรณาถามแม้เสียงยังเจือสะอื้น
“คุณไหวรึเปล่า ให้ผมช่วยดูแลให้ก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณดรัล ฉันเริ่มโอเคขึ้นแล้ว”
กิรณาพยายามปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้น ทว่าดวงหน้ายังซีดเซียว ดรัลซึ่งอยู่ช่วยกิรณามาตั้งแต่บ่ายจัดเตรียมอาหารสำหรับแขกที่มาร่วมงานศพ เห็นอาการสาวเจ้าแล้วสงสารจับหัวใจ แต่ญาติทางฝั่งอรวีเริ่มทยอยกันมาแล้ว ลูกสาวอย่างกิรณาควรไปต้อนรับ ดรัลเลยจำต้องแข็งใจให้กิรณาลุกขึ้น โดยที่เขาช่วยประคองร่างที่อ่อนแรงของหญิงสาวออกไปต้อนรับแขกด้านนอก
พิธีสวดพระอภิธรรมศพผ่านพ้นไปในค่ำคืนนั้น ดรัลขับรถมาส่งกิรณาที่บ้าน ระหว่างทางทั้งเขาและหล่อนต่างเงียบกันไปทั้งคู่ กิรณานั่งซึม ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในความมืดมิด ชีวิตที่หญิงสาวกำลังเผชิญอยู่เวลานี้ทั้งหม่นหมองและมืดมนไม่ต่างจากท้องฟ้ายามนี้นักหรอก เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากชนิดที่กิรณายังตั้งตัวไม่ทัน หากไม่เพียงแค่เรื่องของบิดามารดาเท่านั้น...เรื่องดรัลก็ด้วย
กิรณาอาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มข้างกายมัวแต่สนใจรถบนท้องถนนสบมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
วันนี้ดรัลอยู่กับหล่อนแทบทั้งวัน เขาคอยเอาใจ ดูแลช่วยเหลือหล่อนสารพัด ถ้าเทียบกับดรัลคนก่อนที่หล่อนเคยรู้จัก ดรัล ณ ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ความสนิทสนมที่เขามีให้มันกะทันหันเกินไปจนทำให้สาวเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คือความจริงหรือความฝันกันแน่ เพราะถ้าหล่อนไม่หลงเข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก ผู้ชายมาดขรึมอย่างดรัลเนี่ยนะจะมา...เอิ่ม...สนใจหล่อน แทบไม่เคยเห็นว่าจะมีวี่แวว !
กิรณาหยิกแขนตัวเอง แล้วร้องโอยออกมาเพราะเจ็บจริง แถมยังมีรอยแดงที่แขนยืนยันถึงความซาดิสม์ของหล่อนอีกต่างหาก เรียกรอยยิ้มขันจากชายหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถอยู่ข้างๆ
“ทำอะไรของคุณ เดี๋ยวก็ได้ฟกช้ำดำเขียวกันพอดี”
กิรณาอึกอักเล็กน้อย กลัวเขาเห็นเลยรีบกุมแขนตัวเองปิดรอยแดงนั้น
“ฉันแค่ทดสอบอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ ว่าแต่...เอ่อ...ทำไมวันนี้คุณจู่ๆ ถึงได้...เอิ่ม...แบบคอยมา...เอ่อ...”
“ดูแลคุณน่ะเหรอ” ดรัลพูดต่อให้เองเสร็จสรรพ
รถติดสัญญาณไฟจราจรพอดี ดรัลเลยสบโอกาสนั้นหันมามองหญิงสาวข้างกายได้อย่างถนัดตา “วันนี้คุณถามผมแปลกๆ หลายอย่างแล้วนะลูกหว้า มีอะไรรึเปล่า”
“...”
ไม่มีคำตอบจากสาวข้างกายนอกจากสีหน้าเหยเกที่แทนคำตอบนั้น
ถึงอย่างนั้นสำหรับดรัลแล้วกลับรู้สึกเบาใจขึ้นเยอะ เพราะอย่างน้อยสีหน้านั้นของหญิงสาวก็ยังดูดีกว่าตอนอยู่ที่งานศพมาก น้ำตาก็เหือดแห้งไปแล้ว เขาเลยเอ่ยออกมาว่า
“บอกตามตรงนะลูกหว้า ที่งานศพ ผมไม่สบายใจเลย คุณดูเหม่อๆ ไม่สู้ดี ญาติๆ คุณก็เห็น พวกเขาเป็นห่วงคุณมากนะ ถ้าคุณกังวลเรื่องที่พวกเขาต้องเหนื่อยมางานศพคุณแม่คุณที่นี่ คุณไม่ต้องกังวลเลย ทุกคนเข้าใจคุณดีว่าเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน คุณพ่อคุณก็ยังต้องอยู่รักษาที่นี่”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณกับญาติๆ เข้าใจฉัน”
กิรณายังจำภาพตอนที่ญาติทางฝั่งอรวีกับจำรัสลงรถเข้ามาในศาลางานศพอรวีได้ ทุกคนนั่งรถตู้รวมตัวกันมาจากลำปางด้วยใจล้วนๆ
กิรณากลับมาเงียบอีกครั้ง ดรัลเห็นเช่นนั้นก็เอื้อมมือมาเกาะกุมมือหญิงสาว บีบมือให้กำลังใจ กิรณาเลยคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา
“ขอบคุณนะคะคุณดรัล ฉันดีขึ้นเยอะแล้วละค่ะ เรื่องมัน เอิ่ม เกิดขึ้นกะทันหันจริงๆ ฉันเลยยังเบลอๆ พูดอะไรแปลกๆ ออกไป” กิรณาอ้อมแอ้มหาเหตุผลบอกเขาไปอย่างนั้น หล่อนคงเบลอจริงนั่นแหละ เพราะจนถึงตอนนี้หล่อนยังจำอะไรได้เลยด้วยซ้ำ...แม้แต่ความรู้สึกในวันเกิดเหตุก็ตาม