คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
1. ช่วงปี 37-39 ก่อนฟองสบู่แตก คือดอกเบี้ยสูงมาก ประจำได้ประมาณ 12%
บัญชีประเทศมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรง มีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และความร้อนแรงของเศรษฐกิจ แต่มีการเปิด BIBF ฟองสบู่เลยไม่แฟบ แต่พองโตขึ้นอีก จนไปแตกในประมาณปี 39-40
ดอกเบี้ยในประเทศที่สูงมาก ประกอบกับการใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตระกร้า (เกือบๆจะ fix คงที่) พอมีการเปิด BIBF ก็มีการกู้เงินมหาศาลเพื่อเข้ามาฝากกินดอก (ดอกเบี้ยที่ญี่ปุ่นต่ำมาก น่าจะ 2% มาฝากในไทยได้ 10% แบบแทบไม่มีความเสี่ยง เพราะความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารชาติรับไป เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเราใช้ระบบตระกร้า)
2. ค่าเงินบาทจริงๆ จะเปลี่ยนแปลงตามพื้นฐานของประเทศ และความต้องการ demand & supply ของเงินบาท ก่อนหน้าเงินบาทลอยตัว เราใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตระกร้าเงิน ซึ่งค่อนข้างจะคงที่ เวลาค่าเงินจริงๆ เปลี่ยนแปลง ธนาคารชาติก็เป็นคนแบกรับความเสี่ยงตรงนี้ โดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปอุดหนุน
ช่วงก่อนปี 2540 ค่าเงินบาท แข็งเกินพื้นฐานไปมาก และมีพวกเก็งกำไรค่าเงินมองออก เพราะเราขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง
ธนาคารชาติพยายามรักษาอัตราแลกเปลี่ยนไว้โดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งในช่วงแรกๆ ต้านหรือรักษาไว้ได้
พอโดนโจมตีค่าเงินระลอกต่อมา เงินสำรองระหว่างประเทศหมด ก็ไม่สามารถรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบเดิมไว้ได้ เลยต้องปล่อยลอยตัว (เดิมคือ ธนาคารชาติแบกรับความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงค่าเงินไว้ โดยใช้เงินสำรองซื้อขายอุดหนุนค่าเงิน ต่อมาเงินหมด ต้องปล่อยให้ผู้ส่งออก ผู้กู้เงินบาท ผู้ถือเงินบาท รับความเสี่ยงไปเอง เรียกว่าระบบลอยตัว ค่าเงินจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตาม demand & supply ความต้องการเงินบาท)
3. ปี 2560 ปัจจุบัน เรามีเงินสำรองระหว่างประเทศ 184000 ล้านดอลล่า เทียบช่วงปี 39-40 มีประมาณ 27000-38000 ล้าน (อันนี้ตัวเลขไม่แน่ใจนะครับ ช่วงหลังต่อสู้ค่าเงินน่าจะเหลือน้อยกว่านี้อีก)
ปี 39-40 เรามีเงินทุนสำรองน้อยกว่าหนี้ต่างประเทศครับ มีหนี้ประมาณ 108000 มีทุนสำรองประมาณ 37000 เรียกว่า ถ้าต่างประเทศเรียกเงินที่เรากู้ยืมมากลับพร้อมๆกัน เราไม่มีจ่ายครับ
ปี 60 เรามีทุนสำรอง 184000 มีหนี้ 134000 ล้าน คือ เรามีหนี้น้อยกว่าเงินสำรองที่เรามีแล้ว เขาเรียกหนี้คืน เราก็มี หรือพูดง่ายๆ ว่า ตอนนี้ เราเป็นเจ้าหนี้ประเทศอื่นๆแล้วก็ได้
ถ้าคุณจำได้ ช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ ที่เขาประกาศว่าเราจะเป็นประเทศเจ้าหนี้แล้ว ก็คือกรณีนี้แหละครับ เพราะหลังจากนั้น เราได้ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ผมคิดว่า สนามบินสุวรรณภูมิที่สร้างเสร็จ รองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น มีส่วนอย่างมากในการทำให้เราได้ดุลบัญชีเดินสะพัด และเหลือเงินสำรองเยอะขนาดนี้นะครับ
4. เศรษฐกิจตอนนี้ ปัญหาต่างจากปี 40 ที่เป็นปัญหาที่เกิดกับคนรวยๆ บริษัทใหญ่ๆ เพราะเป็นปัญหาจากหนี้สินต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงค่าเงินแบบรุนแรง กระทบกับภาคการเงิน
แต่ปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ เกิดกับคนระดับล่างๆ จะเป็นอาการซึม ค้าขายไม่คล่องตัว
ถ้าให้ทำนาย ก็จะไม่เกิดปัญหาแบบฉับพลันแบบในปี 40 แต่ระหว่างนี้ ถ้ามีปัญหา ก็จะเป็นเรื่องของการซึมลงไปเรื่อยๆ ครับ
บัญชีประเทศมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรง มีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และความร้อนแรงของเศรษฐกิจ แต่มีการเปิด BIBF ฟองสบู่เลยไม่แฟบ แต่พองโตขึ้นอีก จนไปแตกในประมาณปี 39-40
ดอกเบี้ยในประเทศที่สูงมาก ประกอบกับการใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตระกร้า (เกือบๆจะ fix คงที่) พอมีการเปิด BIBF ก็มีการกู้เงินมหาศาลเพื่อเข้ามาฝากกินดอก (ดอกเบี้ยที่ญี่ปุ่นต่ำมาก น่าจะ 2% มาฝากในไทยได้ 10% แบบแทบไม่มีความเสี่ยง เพราะความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารชาติรับไป เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเราใช้ระบบตระกร้า)
2. ค่าเงินบาทจริงๆ จะเปลี่ยนแปลงตามพื้นฐานของประเทศ และความต้องการ demand & supply ของเงินบาท ก่อนหน้าเงินบาทลอยตัว เราใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตระกร้าเงิน ซึ่งค่อนข้างจะคงที่ เวลาค่าเงินจริงๆ เปลี่ยนแปลง ธนาคารชาติก็เป็นคนแบกรับความเสี่ยงตรงนี้ โดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปอุดหนุน
ช่วงก่อนปี 2540 ค่าเงินบาท แข็งเกินพื้นฐานไปมาก และมีพวกเก็งกำไรค่าเงินมองออก เพราะเราขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง
ธนาคารชาติพยายามรักษาอัตราแลกเปลี่ยนไว้โดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งในช่วงแรกๆ ต้านหรือรักษาไว้ได้
พอโดนโจมตีค่าเงินระลอกต่อมา เงินสำรองระหว่างประเทศหมด ก็ไม่สามารถรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบเดิมไว้ได้ เลยต้องปล่อยลอยตัว (เดิมคือ ธนาคารชาติแบกรับความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงค่าเงินไว้ โดยใช้เงินสำรองซื้อขายอุดหนุนค่าเงิน ต่อมาเงินหมด ต้องปล่อยให้ผู้ส่งออก ผู้กู้เงินบาท ผู้ถือเงินบาท รับความเสี่ยงไปเอง เรียกว่าระบบลอยตัว ค่าเงินจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตาม demand & supply ความต้องการเงินบาท)
3. ปี 2560 ปัจจุบัน เรามีเงินสำรองระหว่างประเทศ 184000 ล้านดอลล่า เทียบช่วงปี 39-40 มีประมาณ 27000-38000 ล้าน (อันนี้ตัวเลขไม่แน่ใจนะครับ ช่วงหลังต่อสู้ค่าเงินน่าจะเหลือน้อยกว่านี้อีก)
ปี 39-40 เรามีเงินทุนสำรองน้อยกว่าหนี้ต่างประเทศครับ มีหนี้ประมาณ 108000 มีทุนสำรองประมาณ 37000 เรียกว่า ถ้าต่างประเทศเรียกเงินที่เรากู้ยืมมากลับพร้อมๆกัน เราไม่มีจ่ายครับ
ปี 60 เรามีทุนสำรอง 184000 มีหนี้ 134000 ล้าน คือ เรามีหนี้น้อยกว่าเงินสำรองที่เรามีแล้ว เขาเรียกหนี้คืน เราก็มี หรือพูดง่ายๆ ว่า ตอนนี้ เราเป็นเจ้าหนี้ประเทศอื่นๆแล้วก็ได้
ถ้าคุณจำได้ ช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ ที่เขาประกาศว่าเราจะเป็นประเทศเจ้าหนี้แล้ว ก็คือกรณีนี้แหละครับ เพราะหลังจากนั้น เราได้ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ผมคิดว่า สนามบินสุวรรณภูมิที่สร้างเสร็จ รองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น มีส่วนอย่างมากในการทำให้เราได้ดุลบัญชีเดินสะพัด และเหลือเงินสำรองเยอะขนาดนี้นะครับ
4. เศรษฐกิจตอนนี้ ปัญหาต่างจากปี 40 ที่เป็นปัญหาที่เกิดกับคนรวยๆ บริษัทใหญ่ๆ เพราะเป็นปัญหาจากหนี้สินต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงค่าเงินแบบรุนแรง กระทบกับภาคการเงิน
แต่ปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ เกิดกับคนระดับล่างๆ จะเป็นอาการซึม ค้าขายไม่คล่องตัว
ถ้าให้ทำนาย ก็จะไม่เกิดปัญหาแบบฉับพลันแบบในปี 40 แต่ระหว่างนี้ ถ้ามีปัญหา ก็จะเป็นเรื่องของการซึมลงไปเรื่อยๆ ครับ
แสดงความคิดเห็น
สัญญาณสภาวะเศรษฐกิจก่อนฟองสบู่แตกมีอะไรบ้าง?
1. ในช่วงปี พศ. 2540 ช่วงนั้นมีอะไรที่ส่งสัญญาณก่อนฟองสบู่แตกบ้าง
2. แล้วทำไมในปี พศ. 2540 ค่าเงินบาทถึงลอยตัว
3. ในช่วงปี พศ. 2560 มีแนวโน้มจะเกิดสภาวะฟองสบู่หรือ วิกฤติเศรษฐกิจขึ้นอีกมั้ย?
4. มีสัญญาณอะไรที่เตือนๆมาบ้างแล้ว