1
ย้อนหลังไปเมื่อ 7-8 ปีก่อน เรามีความจำเป็นต้องหอบลูกเล็กขึ้นเครื่องบินไปทำธุระด่วนในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้กันเพียงลำพังสองคนแม่ลูก การเดินทางครั้งนั้นเป็นการเดินทางครั้งแรกที่พ่อของลูกไม่ได้ไปด้วย เราจึงต้องรับมือกับลูกชายจอมซนเพียงคนเดียว ลองนึกภาพผู้หญิงคนหนึ่งหอบข้าวของพะรุงพะรังแถมยังต้องอุ้มต้องจูงเด็ก 2 ขวบพร้อมหมีเน่าของลูกดูนะคะว่า สภาพจะกะเร้อกะรัง และบ้าหอบฟางขนาดไหน
พอขึ้นเครื่อง ระหว่างที่เดินมายังที่นั่งของเรา เราสังเกตเห็นผู้ชายคนนึงนั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แวบแรกที่เห็น...นึกกลัว เพราะว่าเขาใส่หมวก ใส่แว่นกันแดด และใส่หน้ากากอนามัย เราคิดในใจ ตายละวา ไม่สบาย เป็นอะไรหรือเปล่านี่ เดี๋ยวมาติดลูกเราละแย่เลย ลูกยิ่งเป็นภูมิแพ้ และหอบหืด รับเชื้อไวมากอยู่ด้วย เราเลยยิ่งใจคอไม่ดี อีกใจหนึ่งก็คิดไปไกลว่าเขาอาจเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า เพราะดูทรงแล้วปิดหน้าปิดตามิดชิดมาก แต่จากนั้นความคิดก็หยุดเตลิด แล้วเราก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีกเลย เนื่องจากมัวแต่สาละวนกับการเก็บของเข้าที่เก็บของชั้นบนและดูแลลูก ช่วงนั้นลูกกำลังช่างพูด ต้องคอยเอามือจุ๊ๆให้เงียบบ้าง เกรงใจ กลัวคนอื่นจะรำคาญ
ช่วงเครื่องบินร่อนขึ้นก่อนจะตั้งลำ ลูกคงจะเจ็บหูเพราะความดันอากาศจึงร้องไห้ดังลั่นออกมา ร้องไม่ร้องเปล่า ยังดิ้นเอาเท้าไปถีบพนักเก้าอี้ข้างหน้าด้วย ผู้ชายคนนั้นหันมามองด้วยสัญชาตญาน แต่ไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดอะไร เรารีบเอ่ยปากขอโทษ เขายกมือเป็นสัญญาณว่า...ไม่เป็นไร พร้อมกับพยักหน้ารับคำขอโทษ เอื้อมมือมาจับขาลูกแบบหยอกๆ นิดนึง แล้วหันกลับไป ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะใส่หน้ากากอยู่
จากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไป ลูกก็ถามนู่นถามนี่ไปตามประสาเด็ก เรามองคนรอบๆข้าง คุณลุงคนกับคุณป้าที่นั่งเบาะหลัง หลับ ส่วนผู้ชายคนข้างหน้าใส่หูฟังอยู่ ก็เลยค่อยเบาใจ แต่พอเครื่องใกล้จะลง ลูกดันหลับ ดังนั้นพอเครื่องลง เราเลยกะว่าจะรอให้ทุกคนในเครื่องออกไปให้หมดก่อน แล้วเราค่อยออกเป็นคนท้ายๆ
พอคนลงใกล้จะหมด เราก็ลุกขึ้นจะเอาของจากชั้นบน จังหวะที่กำลังเอาของ ก็เห็นผู้ชายคนนั้นลุกขึ้น อ้าว นึกว่าลงไปแล้ว เพิ่งเห็นว่าเขาใส่เสื้อยืด สีขาว และนุ่งกางเกงยีน เราเอี้ยวตัวหลบ ชี้มือชี้ไม้เป็นทำนองบอกให้เขาไปก่อน แต่เขาบอก “ไม่เป็นไรครับ” พูดไม่พูดเปล่า ยังมาช่วยเรายกของลงด้วย เราบอกขอบคุณ แล้วก็หันมาอุ้มลูกแนบอก เตรียมจะกวาดของที่กองพะเนินเทินทึกมาไว้ในมือ
หันมาอีกที อ้าว เขายังยืนอยู่ เราทำหน้างงๆ เขาเลยบอก “พี่ของเยอะ ให้ผมช่วยนะ” ใจอยากปฏิเสธ แอบคิดว่าเขาเห็นเราตัวกลมๆ จะคิดว่าเราท้องหรือเปล่าวะ ถึงได้คิดช่วยเด็กและสตรีมีครรภ์ แต่มีสิ่งหนึ่งดลใจให้พยักหน้ารับ พร้อมเอ่ยปากบอก “ขอบคุณค่ะ” เขาเลยเอื้อมมือมาช่วยถือของให้และเดินนำหน้าออกมา
ระหว่างทางที่เดินออกมาจากเครื่องถึงที่รับกระเป๋า เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย มีเพียงช่วงที่เดินลงบันไดเครื่องบินที่เขาหันมาดูหน่อยนึงว่าเราอุ้มลูกลงมาไหวมั้ยเท่านั้น จากนั้นเดินมาไม่นานก็ถึงรถเข็นกระเป๋า เราเอ่ยปากขอบคุณเขาอีกครั้ง พร้อมพูดว่า หนักแย่เลย เขาบอก “ไม่เป็นไร สบายมากครับผม” จังหวะนั้น ลูกตื่นมาพอดี เขาเลยเอามือมาจับมือลูก ถอดหน้ากากออก แล้วบอก “พี่ไปก่อนนะ เป็นเด็กดีนะ บั๊ยๆๆ” หัวเราะเบาๆ ก่อนใส่หน้ากากกลับเหมือนเดิม โบกมือให้ลูก แล้วก็ยกมือสวัสดีเรา เรารับไหว้ ส่งยิ้มให้ “โชคดีนะคะ” แล้วจากนั้นต่างคนก็ต่างค้อมหัวให้กัน
เรามองเขาเดินไปจนลับตา เรายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านิ่งอยู่นานแค่ไหน มารู้ตัวอีกที ได้ยินเสียงลูกถาม
“แม่ครับ ทำไมคุยกับคนแปลกหน้า ห้ามคุยกับคนแปลกหน้า................”
แม่เงียบ ก่อนตอบว่า
“ แม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่คุยกับคนแปลกหน้าบางคนได้ครับ แต่พี่คนนี้ เค้าไม่ใช่คนแปลกหน้าของเราหรอกครับลูก เราต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้าของเค้า”
เด็ก 2 ขวบนิดๆ คงไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูด แต่ก็ถามต่อว่า
“แม่รู้จักเค้าเหรอครับ”
“ไม่รู้จักหรอกครับ แต่เขาคือพี่ผลิต ลูก เขาคือพี่ผลิต ”
เป๊ก ผลิตโชค : หน้ากาก---มิตรภาพ---เด็กน้อย---คนแปลกหน้า---เรื่องที่ยังคาใจ
ย้อนหลังไปเมื่อ 7-8 ปีก่อน เรามีความจำเป็นต้องหอบลูกเล็กขึ้นเครื่องบินไปทำธุระด่วนในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้กันเพียงลำพังสองคนแม่ลูก การเดินทางครั้งนั้นเป็นการเดินทางครั้งแรกที่พ่อของลูกไม่ได้ไปด้วย เราจึงต้องรับมือกับลูกชายจอมซนเพียงคนเดียว ลองนึกภาพผู้หญิงคนหนึ่งหอบข้าวของพะรุงพะรังแถมยังต้องอุ้มต้องจูงเด็ก 2 ขวบพร้อมหมีเน่าของลูกดูนะคะว่า สภาพจะกะเร้อกะรัง และบ้าหอบฟางขนาดไหน
พอขึ้นเครื่อง ระหว่างที่เดินมายังที่นั่งของเรา เราสังเกตเห็นผู้ชายคนนึงนั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แวบแรกที่เห็น...นึกกลัว เพราะว่าเขาใส่หมวก ใส่แว่นกันแดด และใส่หน้ากากอนามัย เราคิดในใจ ตายละวา ไม่สบาย เป็นอะไรหรือเปล่านี่ เดี๋ยวมาติดลูกเราละแย่เลย ลูกยิ่งเป็นภูมิแพ้ และหอบหืด รับเชื้อไวมากอยู่ด้วย เราเลยยิ่งใจคอไม่ดี อีกใจหนึ่งก็คิดไปไกลว่าเขาอาจเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า เพราะดูทรงแล้วปิดหน้าปิดตามิดชิดมาก แต่จากนั้นความคิดก็หยุดเตลิด แล้วเราก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีกเลย เนื่องจากมัวแต่สาละวนกับการเก็บของเข้าที่เก็บของชั้นบนและดูแลลูก ช่วงนั้นลูกกำลังช่างพูด ต้องคอยเอามือจุ๊ๆให้เงียบบ้าง เกรงใจ กลัวคนอื่นจะรำคาญ
ช่วงเครื่องบินร่อนขึ้นก่อนจะตั้งลำ ลูกคงจะเจ็บหูเพราะความดันอากาศจึงร้องไห้ดังลั่นออกมา ร้องไม่ร้องเปล่า ยังดิ้นเอาเท้าไปถีบพนักเก้าอี้ข้างหน้าด้วย ผู้ชายคนนั้นหันมามองด้วยสัญชาตญาน แต่ไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดอะไร เรารีบเอ่ยปากขอโทษ เขายกมือเป็นสัญญาณว่า...ไม่เป็นไร พร้อมกับพยักหน้ารับคำขอโทษ เอื้อมมือมาจับขาลูกแบบหยอกๆ นิดนึง แล้วหันกลับไป ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะใส่หน้ากากอยู่
จากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไป ลูกก็ถามนู่นถามนี่ไปตามประสาเด็ก เรามองคนรอบๆข้าง คุณลุงคนกับคุณป้าที่นั่งเบาะหลัง หลับ ส่วนผู้ชายคนข้างหน้าใส่หูฟังอยู่ ก็เลยค่อยเบาใจ แต่พอเครื่องใกล้จะลง ลูกดันหลับ ดังนั้นพอเครื่องลง เราเลยกะว่าจะรอให้ทุกคนในเครื่องออกไปให้หมดก่อน แล้วเราค่อยออกเป็นคนท้ายๆ
พอคนลงใกล้จะหมด เราก็ลุกขึ้นจะเอาของจากชั้นบน จังหวะที่กำลังเอาของ ก็เห็นผู้ชายคนนั้นลุกขึ้น อ้าว นึกว่าลงไปแล้ว เพิ่งเห็นว่าเขาใส่เสื้อยืด สีขาว และนุ่งกางเกงยีน เราเอี้ยวตัวหลบ ชี้มือชี้ไม้เป็นทำนองบอกให้เขาไปก่อน แต่เขาบอก “ไม่เป็นไรครับ” พูดไม่พูดเปล่า ยังมาช่วยเรายกของลงด้วย เราบอกขอบคุณ แล้วก็หันมาอุ้มลูกแนบอก เตรียมจะกวาดของที่กองพะเนินเทินทึกมาไว้ในมือ
หันมาอีกที อ้าว เขายังยืนอยู่ เราทำหน้างงๆ เขาเลยบอก “พี่ของเยอะ ให้ผมช่วยนะ” ใจอยากปฏิเสธ แอบคิดว่าเขาเห็นเราตัวกลมๆ จะคิดว่าเราท้องหรือเปล่าวะ ถึงได้คิดช่วยเด็กและสตรีมีครรภ์ แต่มีสิ่งหนึ่งดลใจให้พยักหน้ารับ พร้อมเอ่ยปากบอก “ขอบคุณค่ะ” เขาเลยเอื้อมมือมาช่วยถือของให้และเดินนำหน้าออกมา
ระหว่างทางที่เดินออกมาจากเครื่องถึงที่รับกระเป๋า เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย มีเพียงช่วงที่เดินลงบันไดเครื่องบินที่เขาหันมาดูหน่อยนึงว่าเราอุ้มลูกลงมาไหวมั้ยเท่านั้น จากนั้นเดินมาไม่นานก็ถึงรถเข็นกระเป๋า เราเอ่ยปากขอบคุณเขาอีกครั้ง พร้อมพูดว่า หนักแย่เลย เขาบอก “ไม่เป็นไร สบายมากครับผม” จังหวะนั้น ลูกตื่นมาพอดี เขาเลยเอามือมาจับมือลูก ถอดหน้ากากออก แล้วบอก “พี่ไปก่อนนะ เป็นเด็กดีนะ บั๊ยๆๆ” หัวเราะเบาๆ ก่อนใส่หน้ากากกลับเหมือนเดิม โบกมือให้ลูก แล้วก็ยกมือสวัสดีเรา เรารับไหว้ ส่งยิ้มให้ “โชคดีนะคะ” แล้วจากนั้นต่างคนก็ต่างค้อมหัวให้กัน
เรามองเขาเดินไปจนลับตา เรายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านิ่งอยู่นานแค่ไหน มารู้ตัวอีกที ได้ยินเสียงลูกถาม
“แม่ครับ ทำไมคุยกับคนแปลกหน้า ห้ามคุยกับคนแปลกหน้า................”
แม่เงียบ ก่อนตอบว่า
“ แม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่คุยกับคนแปลกหน้าบางคนได้ครับ แต่พี่คนนี้ เค้าไม่ใช่คนแปลกหน้าของเราหรอกครับลูก เราต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้าของเค้า”
เด็ก 2 ขวบนิดๆ คงไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูด แต่ก็ถามต่อว่า
“แม่รู้จักเค้าเหรอครับ”
“ไม่รู้จักหรอกครับ แต่เขาคือพี่ผลิต ลูก เขาคือพี่ผลิต ”