สำหรับเราแล้ว นมแม่ดีที่สุด แต่สุขภาพลูกสำคัญที่สุดค่ะ

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ วันนี้จะเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังค่ะ ขอบอกก่อนนะคะว่าไม่ได้เขียนเพื่อโจมตีใคร เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆค่ะ

เราคลอดลูกคนที่สองประมาณสัปดาห์กว่าๆ นี้เองค่ะ มีความตั้งใจเต็มร้อยที่อยากให้ลูกทานนมแม่ค่ะ เลยซื้อเครื่องปั๊มนมมาเตรียมไว้ตั้งแต่ยังไม่คลอดแล้วค่ะ ไม่พอนะคะ แผ่นซับน้ำนม ถุงใส่น้ำนม หมอนให้นม เตรียมไว้หมดค่ะ หนังสือเรื่องนมแม่ก็อ่านค่ะ โดยเฉพาะเมื่อมาอ่านเจอว่า นมแม่ไม่มีไม่พอให้ลูก ยิ่งทำให้มีความมั่นใจ ว่าเราน่าจะมีนมแม่ให้ลูกได้ ทั้งๆที่ตอนท้องแรกก็ไม่มีน้ำนมให้นะคะ และด้วยสุขภาพ ทำให้สามารถให้ได้แค่เดือนเดียว จึงคิดว่าเพราะคราวที่แล้วนั้น โรงพยาบาลที่คลอดอาจจะไม่ได้สนับสนุนนมแม่เท่าไร ไม่ได้ให้ลูกมาดูดทั้งวันทั้งคืนแบบโรงพยาบาลนี้ที่เลือก และในโรงพยาบาลแรก ก็นำนมผงมาให้แม่สำหรับให้ลูกด้วย จึงคิดว่านี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีนมแม่ (ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับนมแม่ จะเห็นว่าเหตุผลข้อแรกที่จะทำให้มีนม คือ โรงพยาบาลที่คลอดต้องสนับสนุนนมแม่ ให้มีการให้ลูกมาดูดเร็วๆ ดูดบ่อยๆ ทุก 3 ชั่วโมง) เราเลยโทษไปว่าสงสัยเพราะท้องแรกไม่ได้รับการสนับสนุน เลยทำให้ไม่มีนม ท้องนี้โรงพยาบาลนี้ออกตัวแรงซะขนาดนี้ มีนมแน่นอน ซื้อๆๆๆๆอุปกรณ์ทั้งหลายเตรียมไว้ให้พร้อมรองรับนมดีกว่า (ยังดีที่ไม่บ้าจี้ขนาดซื้อตู้แช่แข็งมารองรับนมนะเนี่ย)

น้ำหนักลูกแรกคลอดคือ 2886 กรัมค่ะ

เราผ่าคลอด ดังนั้นพอคลอดลูกวันแรกตอนบ่ายคุณพยาบาลก็พาลูกมาให้ดูดนมที่เตียงเลยค่ะ ซึ่งก็คงยังไม่มีน้ำนมออกมา

หลังจากนั้นทุกๆวันก็ให้นมลูกทุก 3 ชั่วโมง โดยแรกๆพยาบาลพาลูกมาที่ห้อง แต่เมื่อเราเดินได้แล้วในวันที่สอง ก็ไปให้ลูกดูดนมในห้องสำหรับให้นมค่ะ จากนั้นเมื่อกลับมาที่ห้องเราก็มาปั๊มต่อ เพราะเอาเครื่องปั๊มที่ซื้อมาไปที่โรงพยาบาลด้วยค่ะ (พร้อมมาก) และขอบอกว่าเมื่อยมากๆ จากแผล จากการนอน จากการอุ้มลูกให้นม เพราะต้องเอาแขนประคองเค้าไปด้วย

จนวันที่สามในเครื่องปั๊มเริ่มมีน้ำนมหยดๆออกมาค่ะ ดีใจมากๆ

แต่ปรากฏว่าในวันที่สาม เมื่อคุณหมอชั่งน้ำหนักน้ำหนักลดลงไปเหลือ 2554 กรัมค่ะ คุณหมอจึงบอกให้ป้อนนมถั่วเหลืองด้วยไซริงมื้อเว้นมื้อ 10 ซีซีค่ะ

วันที่สี่น้ำหนักลูกขึ้นมาเป็น 2648 กรัมค่ะ คุณหมอบอกว่าแปลว่าน้ำนมแม่มาพอแล้ว หยุดให้นมเสริมได้ค่ะเราดีใจมากเพราะไม่คิดว่าน้ำนมจะพอได้ แต่ถ้าคุณหมอบอกอย่างนี้จึงออกจากโรงพยาบาลด้วยรอยยิ้มว่านมเรามีแล้ว มีนมให้ลูกกินแล้ว เย้

หลังจากนั้น อีก 2 วัน คุณหมอนัดเข้าไปเช็ค ตกใจมากเพราะน้ำหนักลูกลดลงเหลือ 2551 กรัม คุณหมอเลยบอกว่าให้นมแม่ต่อไปข้างละ 20 นาทีและให้นมถั่วเหลืองด้วยไซริง 10 ถึง 20 ซีซี อาจจะทุกมื้อก็ได้ แล้วอีกสองวันกลับมาหาคุณหมอใหม่ โดยให้ใช้ไซริงค์ขนาด 3 ซีซี เหตุผลที่ให้ใช้ไซริงค์เพราะว่าเด็กจะได้ไม่ติดขวดนมเพราะถ้าเด็กขวดนมแล้วจะไม่ยอมกลับมาดูดเต้าแม่อีก

ด้วยความเชื่อมั่น เราจึงทำตามที่คุณหมอบอกทุกประการ ซึ่งขอบอกเลยว่ามันเหนื่อยมาก เพราะพอก่อนลูกจะตื่น เราต้องไปเตรียมนมถั่วเหลืองชงไว้ เตรียมไซริง เตรียมสมุดไว้จด เพราะต้องให้ถึงเกือบเจ็ดไซริงก์ทีเดียว ถ้าไม่จด คงลืมแน่แน่ว่าให้ไปหลอดแล้ว (คือ เราเป็นคนเป๊ะมากน่ะค่ะ น่าจะเรียกว่ามากเกินไปด้วยซ้ำค่ะ)

สำหรับเราการให้นมถั่วเหลืองด้วยไซริงก์ยากมากๆ เพราะต้องค่อยๆให้ทีละนิดเดียว แล้วเดี๋ยวก็ออกมา ซึ่งเราต้องทำอย่างนี้วันละ8-9รอบ ตามที่คุณหมอบอก ด้วยความหวังว่าทำอย่างนี้แล้วน้ำหนักลูกจะขึ้น เราจึงทำทุกมื้อ ซึ่งขอบอกเลยว่าเหนื่อยมากๆกว่าจะให้นมสองข้าง ต่อด้วยการเสริมด้วยไซริงแบบช้าๆ ก็ปาเข้าไปบางรอบถึงกับชั่วโมง 15 นาทีหรือชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว เพราะลูกก็ง่วงจะหลับเราก็คอยต้องกระตุ้น จึงทำให้ช้ามากๆ เหลือเวลานอน นิดเดียวก็ต้องตื่นมาให้รอบต่อไปแล้ว แต่เพื่อลูก ก็สู้ต่อไป (เดี๋ยวจะมาบอกนะคะ ว่าภายหลังคิดเองว่าทำไมลูกถึงหลับๆๆๆ เราก็ต้องปลุกๆๆๆ ให้นมไปหลับไป ฉีดไซริงไปหลับไปขนาดนี้ค่ะ)

จากนั้น กลับไปให้คุณหมอพบอีกครั้งตามที่นัดไว้สองวัน ด้วยใจเชื่อมั่นว่าน้ำหนักลูกเราต้องขึ้นแน่ๆ ปรากฏว่าจากน้ำหนัก 2551 กรัมครั้งที่แล้วคราวนี้ลูกเหลือเพียง 2500 กรัม และตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาสี่วันแล้วลูกยังไม่อึเลย พอเห็นน้ำหนักลูกปุ๊บน้ำตาใหลทันที งงว่าทำไมเราทำตามที่คุณหมอบอกทุกอย่างแต่น้ำหนักก็ไม่ขึ้น แถมลดเอาๆด้วย นี่ก็ไม่มีอึออกมานะ

พอเจอคุณหมอ คุณหมอเลยให้ลูกสวน เพื่อที่จะนำอุจจาระไปตรวจ ส่วนเรื่องน้ำหนักคุณหมอบอกว่าให้กระตุ้นเรื่องนมแม่เพิ่มโดยการให้นมข้างละ 30 นาที เพื่อเป็นการกระตุ้นน้ำนมคุณแม่  และเพิ่มปริมาณนมถั่วเหลืองเป็นมื้อละ 45 ซีซี โดยให้ด้วยไซริง ลูกจะได้เอาเต้าด้วย เราจึงถามคุณหมอว่าใช้ไซริง 3 ซีซีนี่เหรอคะ เพราะถ้าหารดูแล้วแปลว่าในแต่ละ มื้อเราต้องให้ไซริงถึง 15 หลอดทีเดียว คุณหมอบอกว่าใช่ค่ะ คุณแม่ต้องอดทนหน่อย น้ำนมแม่จะได้มา เพียงพอให้ลูก

และจากการตรวจเม็ดเลือดขาวในอึ พบว่ามีเม็ดเลือดขาวออกมาด้วย จึงสันนิฐานว่าอาจจะเกิดจากการแพ้อาหาร จึงให้คุณยิ้มดอาหารTop5  ที่เสี่ยงกับการแพ้ของลูก คือ นมวัว ไข่ นมถั่วเหลือง แป้งสาลี(ขนมปัง ก๊วยเตี๊ยว เกี๋ยว) และซีฟู้ดค่ะ พร้อมกับคุณหมอจึงสั่งเปลี่ยนนมเสริมเป็น Nutramigen LGG ค่ะ เพราะของเดิมเป็นนมถั่วเหลืองค่ะ

ลูกเรากลับมาจากโรงพยาบาลด้วยท่าที่อ่อนระโหยมากค่ะ เพราะว่าโดนสวนมา เรากลับมาด้วยความรู้สึกเครียดมากๆ เพราะห่วงลูกมากๆ และความเชื่อถือลดลง งง ไม่รู้ว่าหลงมาผิดทางหรือป่าว แต่กลับมามื้อแรกก็ทำตามที่คุณหมอสั่ง คือ ให้นมแม่ข้างละ 30 นาที ต่อด้วยไซริงนมอีก 45 ซีซี แต่ว่าการทำตามเป็นไปด้วยความทุลักทุเลมากๆค่ะ ตอนให้ดูดนมแม่ ดูดปุ๊บๆก็หลับ กว่าจะครบได้ข้างละ 30 นาที และกว่าจะป้อนนมกันได้ เหนื่อยกันทั้งบ้านค่ะ เพราะต้องคอยมาลุ้นกันว่าหลับไหม กินไหม เพราะน้องหลับแทบตลอดค่ะ ป้อนก็หกออกมา คนป้อนก็เครียดกลัวจะไม่ได้อาหาร สงสารลูกมาก คิดว่าเค้าเหนื่อยมากๆแล้วค่ะ จากการโดนสวนอึไป
จนลูกนอน วันนี้ลูกนอน แต่เราไม่ดีใจเลย เพราะลูกดูอ่อนระโหยโรยแรงมากๆ ไม่นานก็ตื่น ตื่นกินแป้บเดียวก็หลับๆๆๆๆ และที่สำคัญดูไม่มีแรงเลยค่ะ ดูเค้าซึมๆ ไม่ค่อยร้อง นอนซึมๆค่ะ ที่นี้ลูกนอนแทบตลอดค่ะ จากบ่ายๆ ถึงเย็นๆ จนค่ำๆวันนั้น เราถึงกับดูเลยว่าลูกหายใจไหม คือมันดูแย่มากๆค่ะ เค้าไม่ร้องเลย นอนๆๆๆ

จนในที่สุด เราทนไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจบอกแฟนว่า ไปเถอะ ไปโรงพยาบาลกัน แต่ไม่ไปแล้วนะโรงพยาบาลเดิม เราไม่ไหว กลัวลูกไม่ปลอดภัย เพราะเราเห็นเค้าหายใจเบามาก เราโทรไปโรงพยาบาลอีกแห่ง เพื่อถามว่ามีหมอเด็กตอนนี้ไหม (ประมาณสองทุ่มค่ะ) พอโรงพยาบาลบอกมีปุ๊บ เราสั่งแฟน และลูกสาวคนโตเก็บของ จัดกระเป๋าใหญ่ เตรียมไปนอนโรงพยาบาลทันที แล้วรีบไปเลยค่ะ

การไปโรงพยาบาล แผนกกลางคืน เราก็คิดนะคะ ว่าแน่นอนว่าคนไข้ที่มากลางคืน ไม่ฉุกเฉินเร่งด่วนจริงคงไม่มา ก็กลัวเชื้อโรคเหมือนกันค่ะ แต่ยังไงก็ดีกว่าเสี่ยงที่จะอยู่บ้านต่อไปแบบไร้เรี่ยวแรงของลูกค่ะ

พอได้เจอคุณหมอ ดีใจมากค่ะ เล่าให้ฟังคร่าวๆ หมอบอกว่า หมอเห็นด้วยว่านมแม่ดีที่สุดสำหรับลูก แต่สุขภาพลูกสำคัญที่สุดค่ะ หมอจึงจะให้เสริมนม 45 ซีซี โดยลดนมแม่เหลือ 10-15  นาทีต่อข้างก่อน และที่สำคัญใช้ขวดนมให้นมเสริมค่ะ เพื่อให้ลูกกินได้เร็ว และได้กินนมเสริมค่ะ เพื่อที่ให้เค้ากลับมาแข็งแรงก่อน อันนี้สำคัญที่สุด พร้อมทั้งตรวจดูให้ว่าลูกเรายังโอเคอยู่ ค่ำนี้เราอุ้มลูกตลอด ความปวด ความเมื่อย หายไปหมดเลยค่ะ ไม่อยากปล่อยลูกเลย

เราฟังประโยคที่ว่า “หมอเห็นด้วยว่านมแม่ดีที่สุดสำหรับลูก แต่สุขภาพลูกสำคัญที่สุด” ดีใจมากๆค่ะ เพราะเห็นด้วยมากๆ และก็ไม่ไหวแล้วด้วย จึงขอคุณหมอว่าขอนอนที่โรงพยาบาลจนกว่าเราจะคิดว่าลูกปลอดภัยแล้ว เราถึงจะกลับค่ะ คุณหมอบอกว่าแล้วแต่สะดวก เพราะถ้ากลับบ้านก็ได้ แต่เราอยากให้ปลอดภัยก่อน โดยจะขอดูการกินนม และน้ำหนักน้องเป็นสำคัญค่ะ

ทีแรกด้วยความที่น้องเพิ่งอายุ 1 สัปดาห์กว่าๆ ทางโรงพยาบาลจะให้อยู่ NICU แต่เราไม่เอาค่ะ ลูกเราไม่ได้ป่วยขนาดนั้น และเราอยากดูแลลูกเอง เพียงแต่ขออยู่โรงพยาบาลเพื่อให้ใกล้หมอ เพื่อความมั่นใจ มีคนมาช่วยดูทันทีที่มีปัญหาเท่านั้นเอง

โชคดีที่ในที่สุดก็ได้ห้องค่ะ ที่สามารถนอนกันได้ทั้งครอบครัว มื้อแรกที่ลูกกินนมขวดหมด ดีใจกันมากค่ะ ในตอนนั้น ถ้าลูกจะติดขวด มันก็ยังดีกว่าลูกไม่หายใจนะคะ (คือ ตอนที่เค้าซึมเนี่ย มันน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆสำหรับเราค่ะ เค้านิ่ง ซึม หมดเรี่ยวหมดแรงเอามากๆค่ะ)

วันแรกในที่สุดก็ถึงเวลาชั่งน้ำหนัก น้ำหนักน้องขึ้นมาแล้วค่ะ เราดีใจมากๆ ยิ้มออกทันที แต่ก็ยังไม่ยอมกลับค่ะ เผื่อเครื่องชั่งไม่เท่ากัน จึงขออยู่ต่ออีก 1 คืน เพื่อดูน้ำหนักอีกครั้งค่ะ ถ้าอีกวันยังคงขึ้นอยู่ เราถึงจะยอมกลับบ้านค่ะ แต่ตอนนี้ในใจนั้นรู้สึกสบายใจขึ้นมามากๆแล้วค่ะ และวันนี้เค้าอึออกมาด้วย เรายิ่งสบายใจใหญ่เลยค่ะ

คุณหมอน่ารักมาก แวะมาเยี่ยมวันละ 2 รอบ พร้อมกับให้กำลังใจตลอด ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ (จริงๆอยากเอ่ยชื่อคุณหมอ แต่ไม่ได้ขออนุญาตคุณหมอไว้ค่ะ)

จนวันที่สอง คุณหมอมาเยี่ยมตอนเช้า พยาบาลยังไม่ได้เข้ามาชั่งน้ำหนักให้ คุณหมอน่ารักมาก บอกให้คุณพยาบาลเอาเครื่องชั่งมาชั่งเลย จะได้รู้เลย ปรากฎว่าน้องน้ำหนักขึ้นมาจากเมื่อวานด้วย เราจึงสบายใจ และตัดสินใจกลับบ้านได้ค่ะ เพราะว่าจริงๆแล้วตอนที่อยู่โรงพยาบาล เรา และครอบครัวไม่ใช่คนป่วยจึงไม่ได้เรียกพยาบาลเลยค่ะ มีแค่นึ่งขวดนม และเช็ดตัวน้อง วัดไข้ ชั่งน้ำหนักเองค่ะ ที่เหลือเราทำกันเองหมดค่ะ)

ตอนนี้น้องโตขึ้นมาหน่อยแล้วค่ะ น้องแข็งแรง เราเองก็พยายามให้นมแม่อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยมีอ่ะนะคะ ที่ผ่านมาเราก็พยายามเรื่องนมแม่อยู่นะคะ
-    เราให้นมโดยเอาเข้าเต้าเกือบทุกมื้อ (มีแค่เวลาที่เราไปธุระนอกบ้านเท่านั้นที่ไม่ได้ให้ค่ะ แต่น้อยครั้งมากค่ะ) ให้ข้างละ 15-20 นาทีค่ะ แล้วจึงให้นมขวดค่ะ และในสองเดือนแรก หลังจากให้นมเสร็จเราก็มาปั๊มนมต่อ 10-15 นาทีค่ะ (อันนี้ไม่สามารถทำได้ทุกครั้งหรอกค่ะ เพราะต้องกล่อมลูก ดูลูก แต่ทุกครั้งที่มีคนช่วยดูลูก เราปั๊มทุกครั้งค่ะ)  ช่วงสองเดือนแรกนี้ พอลูกนอนยาวหน่อย เราก็ตื่นมาปั๊มตอนกลางคืนที่ลูกหลับด้วยค่ะ
-    นวดเปิดท่อไป 4ครั้งแล้วค่ะ แต่เนื่องด้วยความไม่สะดวก และเวลา จึงต้องหยุดไว้แค่นี้ค่ะ นวดจนพี่ที่นวดบอกว่าท่อเราตันตั้งแต่คนแรก แต่ถึงยังไง น้ำนมเราก็คงไม่ได้มีมากเท่าคนอื่นที่จะพอให้ลูกกินหรอกค่ะ เพียงแต่นวดไปพี่เค้าก็อยากให้มันมีมากขึ้นค่ะ พี่เค้าน่ารักมากๆค่ะ
-    อาหารนี่กินไก่ผัดขิง แกงเลียง ต้มยำปลาช่อน ขาหมูแบบจีน กินทุกมื้อมาสองเดือนค่ะ
-    กินน้ำขิงในเดือนแรก เสริมด้วยน้ำเปลือกไม้นมนางในเดือนที่สองค่ะ
-    Bromocriptine, Fenugreek และยาประสระน้ำนม กินมาหมดแล้วค่ะ ขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ค่ะ
หลังจากที่ทำมาหมดแล้วทุกอย่างนี้ ลองมื้อที่ไม่เข้าเต้า ปั๊มออกมาก็ได้สองข้างรวมกัน 3 ซีซีค่ะ T_T  มันเศร้าเหลือเกินค่ะ จนเราไปปรึกษาหมอท่านหนึ่งเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ หมอบอกว่ามันเป็นไปได้ค่ะที่จะไม่มีน้ำนม บางคนถึงขนาดไม่มีสักหยดก็มีนะคะ เราเลยคิดว่ามันไม่ใช่ว่าทุกคนต้องมีนมเพียงพอให้ลุกนะคะ แต่เรามั่นใจว่าแม่ทุกคนหวังดี เป็นห่วง มีความรักที่เพียงพอให้ลูกแน่นอนค่ะ

เราไม่อยากจะบอกนะคะ ว่าตอนนี้ลูกเราแข็งแรง เต่งตึงดีแล้วค่ะ เรายังอยากจะขอขอบคุณบริษัทนมผงเลยค่ะ เพราะถ้าลำพังนมแม่อย่างเดียว สำหรับเราแล้ว ลูกแย่กว่านี้แน่นอนค่ะ มันคือตัวช่วยที่ดีมากๆสำหรับลูกและเราค่ะ

เพียงแต่อยากจะบอกว่าเราเข้าใจ ตระหนักดีนะคะว่านมแม่ดีที่สุด เราเองก็อยากจะมีให้ลูกค่ะ เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้เค้าแข็งแรง แต่มันมีน้อยมากจริงๆค่ะ (เคยปั๊มดูตอนที่ไม่ให้นม มีแค่ 3 CC เองค่ะ) เราคิดว่าการให้ลูกดูดนานๆ เพื่อกระตุ้นนั้นคงจะดีค่ะ แต่ดีในวันที่ลูกพร้อม แข็งแรง มีเรี่ยวแรงดูดนะคะ ในวันที่เค้าไม่พร้อม เค้าต้องการอาหารนั้น บางทีนมเสริมก็จำเป็นค่ะ  การเสริมนมที่ถูกวิธีจะช่วยให้แม่และลูกไม่เหนื่อยเกินไป และจะทำให้น้ำนมมาเร็วขึ้นด้วยซ้ำ

เดี๋ยวมาต่อส่วนเนื้อหาสำคัญ ที่เพื่อนจากตปท ช่วยมาเสริมให้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่