อย่างเช่น มีชายคนหนึ่งไปปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ด้วยการตามรู้กายที่เคลื่อนไหวทุกคืน อยู่ ๒ ปี แต่เขากลับทำนอกเหนือจากรูปแบบของอาจารย์ โดยอาจารย์สอนให้ตามรู้กายด้วยการลืมตา ตามรู้กายรู้ใจตามธรรมดาไม่เกร็ง สติหลุดไปเผลอไปก็กลับมาที่เดิม เห็นความคิดก็กลับ แต่เขากลับนั่งหลับตา เล่นกับลมปราณ แน่วแน่ให้จิตเกาะกายที่เคลื่อนไหว หูฟังเสียงลมที่หายใจ แล้ววันหนึ่งเขาก็พบความลับบางอย่างเขาเห็นกายในกาย เขาก็เข้าใจเลยว่าที่สวดมนต์ทุกคืนว่าเห็นกายในกาย เห็นจิตในจิตมันคงเป็นอย่างนี้ ปัจจัตตัง (สิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) คงเป็นอย่างนี้ แล้วไม่กี่วันต่อมาเขาก็เห็นอีก มีสิ่งมา
กระทบเขาเห็นเลือดวิ่งจากหัวใจสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เขามองทะลุเสื้อผ้า เนื้อหนัง เขางงว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไปถามผู้รู้ (พระในสำนัก) มีอยู่คนหนึ่งจบนักธรรมตอบว่า น่าจะเป็นไฟโทสะ เขาควรทำอย่างไร
1.นิ่งเฉยให้มันตายไปกับเขา

ไปรู้ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้
2.พูด = มันบ้า จินตนาการไปเอง หลง อยากดัง ฯลฯ
ในอดีตกาลมีคนเคยกล่าวว่า สักวันหนึ่งเราจะบินให้ทุกคนดู คนแทบทั้งหมดว่ามันบ้าจะเป็นไปได้อย่างไร ต่อมามีคนทดลอง ใช้เวลา 10-50 ปี ในที่สุดทุกวันนี้มีเครื่องบิน (เสียเวลาไปเยอะเลยนะ)
(ตั๊กม๊อ กล่าวว่า ศาสนาต่อไปนี้ จะมีแต่ผู้รู้ ไม่มีผู้ปฏิบัติ หายากยิ่ง)
ถ้ามีคนค้นพบธรรมในกาย (ปัจจัตตัง) ที่เป็นความลับของโลกเขาควรทำอย่างไร?
กระทบเขาเห็นเลือดวิ่งจากหัวใจสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เขามองทะลุเสื้อผ้า เนื้อหนัง เขางงว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไปถามผู้รู้ (พระในสำนัก) มีอยู่คนหนึ่งจบนักธรรมตอบว่า น่าจะเป็นไฟโทสะ เขาควรทำอย่างไร
1.นิ่งเฉยให้มันตายไปกับเขา
2.พูด = มันบ้า จินตนาการไปเอง หลง อยากดัง ฯลฯ